สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 56 เคสที่ 29 ปวดหลัง (1)
วันนี้ผมขอพาทุกท่านเข้าสู่การรับเคสธรรมดาของสภานักเรียนอีกเช่นเคย ดูเหมือนว่าพอเปิดเทอมมาได้สักพัก เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง สภานักเรียนก็ได้เริ่มทำงานตามปกติ
ก่อนหน้านี้ผมอาจแค่ร้อนใจไปเอง ทั้งที่รออีกนิดเดียวก็ได้ทำงานแล้วแท้ๆ
เข้าเรื่อง
แน่นอน พอบอกว่าเป็นเคสธรรมดา แสดงว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ
และไม่มีอะไรเป็นพิเศษหมายความว่ายังไงน่ะเหรอ?
ก็หมายความว่าแบบนี้ไงล่ะ…
“ทำไมต้องแบกหนังสือเรียนมาทุกวันด้วยนะ ปวดหลังจะตายอยู่แล้ว เรื่องที่จะขอให้สภานักเรียนช่วยก็เรื่องนี้แหละ”
น้านแหละฮะ เคสบ้าเคสบออะไรก็ไม่รู้
ผมกับพลอยรับฟังเจ้าของเคสที่เป็นเด็กหนุ่มชั้นมอสี่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“พี่ประธานกับรองก็เข้าใจใช่มั้ย? วันนึงเรียนตั้งหลายวิชา ให้ขนไปขนกลับก็พาลเอาสังขารจะเดี้ยงก่อนวัยอันควร ทั้งๆที่ต้องเรียนอยู่ทุกวันแท้ๆ เก๊ะที่โต๊ะก็มี ทำไมถึงให้ขนกลับกันนะ…”
หยุดบ่นเรื่องไร้สาระด้วยเสียงแบบนั้นสักทีเห๊อะ
ที่พวกผมกำลังฟังอยู่นั่นคือ เคสที่เด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนี้ขอให้ช่วย
เป็นเด็กหนุ่มผมดำขลับ มีจุดเด่นที่ใบหน้าคือรอยแผลเป็นเล็กๆเหนือคิ้วขวา
ดูเหมือนครูประจำชั้นของน้องคนนี้ จะไม่ชอบให้เด็กในห้องทิ้งหนังสือไว้ห้องเรียนด้วยเหตุผลเรื่องความเรียบร้อย…
…อีกทั้งยังมีเด็กนักเรียนบางคนที่ไม่ชอบพกกระเป๋ามาเรียน ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของนักเรียนไม่ค่อยน่ามอง
คงนึกภาพออกกันสินะ? อย่างเช่นว่าช่วงเช้าที่นักเรียนกำลังเดินเข้าโรงเรียน แต่ทุกคนดันเดินตัวปลิวไม่ถือหรือสะพายกระเป๋ามาสักคนเลยไงล่ะ
ครูประจำชั้นคนที่ว่า ไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบที่กล่าวไว้ข้างต้น ลงท้ายก็เลยออกกฎพิเศษประจำห้องคือห้ามให้นักเรียนทิ้งหนังสือไว้ในห้องเรียน
กรรมเลยมาตกที่เด็กในห้อง ต้องมาขนหนังสือไปกลับทุกวี่ทุกวัน
“ดูสิ หลังผมงอเป็นกุ้งแล้วเนี่ย”
“ไม่ดูเฟ้ย”
ผมตอบขณะที่เจ้าของเคสขดหลังให้ดู
“กระดูกสันหลังจะเคลื่อนมั้ยน้า…”
“กระดูกสันหลังนะว้อยไม่ใช่เลโก้! มันไม่เคลื่อนง่ายขนาดนั้นหรอก!”
“สงสัยประธานจะไม่เข้าใจแฮะ แล้วรองล่ะ? เข้าใจเรื่องที่ผมอยากให้ช่วยมั้ย?”
เจ้าของเคสถามพลอยแบบนั้น
พลอยกุมคาง
“พอเข้าใจอยู่นะคะ…แต่ว่านั่นเป็นกฎที่ครูประจำชั้นของน้องตั้งขึ้นเองนี่คะ? ในกรณีนี้พวกเราสภานักเรียนคงไปช่วยห้ามหรือตักเตือนไม่ได้…”
แม้จะเป็นกฎที่โมเมขึ้นเอง แต่ก็ไม่ได้ผิดกฎโรงเรียน หรืออีกนัยก็คือ…โรงเรียนมันก็ไม่มีกฎให้ทิ้งหรือเอาหนังสือกลับบ้านอยู่แล้ว
สภานักเรียนต้องใช้กฎโรงเรียนในการห้ามปรามสิ่งไม่ควร และในกรณีนี้…สภาทำไม่ได้แฮะ
“เพราะงั้นน้องควรจะรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ ไปร้องเรียนฝ่ายปกครองกันเอง หรือพูดคุยกับครูประจำชั้นจะได้ผลกว่านะคะ”
ถ้าใช้เสียงส่วนมากของนักเรียนในห้องที่ประสบปัญหาเดียวกัน อาจจะกดดันฝ่ายครูประจำชั้นให้ถอนกฎออกไปเองได้ก็ได้
เจ้าของเคสส่ายศีรษะ
“เฮ้อ…สภานักเรียนก็ช่วยไม่ได้หรือเนี่ย”
“ฉันก็ทำได้แค่ในหน้าที่ เกินกว่านั้นมันล้ำเส้น โทษทีนะ”
“…ถ้าเกินหน้าที่ล่ะก็ …ช่วยผมโดยใช้เส้นสายของประธานก็น่าจะได้นี่นา?”
“หมายความว่าไง?”
“ก็ประธานเป็นคนแจกผลสอบให้ผมก่อนหน้านี้ไม่ใช่เหรอ? ทำได้ถึงขนาดนั้นก็น่าจะมีเส้นสายอะไรสักอย่าง?”
พูดแล้วก็คุ้นหน้าเลยแฮะ …แต่ที่จริงมันก็คุ้นได้ทุกคนแหละ สอบครั้งที่ผ่านมาผมเป็นคนแจกผลสอบให้เด็กมอสี่
น้องคนนี้ก็ต้องเป็นหนึ่งในนั้น
ผมพ่นลมหายใจ
“ไม่ใช่เส้นสายหรอก แค่โดนใช้เพราะคนไม่พอเท่านั้นแหละ”
“ไร้ประโยชน์จัง”
“จะเอาใช่มั้ยหา?”
“โห! จะใช้กำลังเหรอ? เห็นงี้ผมออกกำลังกายทุกวันนะ! ดีเลย! ผมอยากซัดกรามลูกซาตานสักครั้งอยู่พอดี!”
“ใจถึงดีนี่หว่า? งั้นไปเจอกันข้างนอกหน่อยเป็นไง?”
“อย่าทะเลาะกันเป็นเด็กๆ ได้มั้ยคะ!!!”
พลอยตะโกนใส่ผมกับเจ้าของเคสที่จะนัดกันไปต่อยนอกห้อง
เจ้าของเคสที่เห็นดังนั้นก็หัวเราะ
“ฮะฮะ! ล้อเล่นน่ะครับ ใครมันจะบ้าไปมีเรื่องกับประธานนักเรียนกันล่ะ?”
เป็นเด็กไม่ค่อยคิดมากสินะเนี่ย… …ถึงท่าทีจะน่าหงุดหงิดแถมพูดจาห้วนๆ แต่ไม่รู้ทำไมผมเริ่มจะชอบซะแล้วสิ
“เออใช่ ลืมไปเลย ที่จริงผมฝากเรื่องนี้ให้สภาตั้งแต่เปิดเทอมเนิ่นๆ แล้วน่ะ แต่เพราะเห็นว่าไม่มีใครตอบกลับหรืออะไรเลย ผมถึงต้องมาสภาเองนี่แหละ”
“หะ?”
“แล้วเมื่อกี้ยังต้องอธิบายให้พวกพี่ๆฟังด้วย …สรุปคือไม่รู้ว่าผมกำลังเดือดร้อนสินะ?”
“จะไปรู้ได้ไง ฉันก็พึ่งได้ยินตอนนายมาบอกนี่แหละ”
“แปลกจัง …เธอก็รับปากซะดิบดีแล้วแท้ๆ ลืมหรือไงกัน?”
เจ้าของเคสขมวดคิ้วพึมพำกับตัวเอง
ผมกับพลอยมองหน้ากัน
ก่อนผมจะถามออกไป
“เอ่อ…อย่าบอกนะว่าคนที่นายฝากมาบอก…”
พูดถึงตรงนั้น เจ้าของเคสก็สวนกลับมาทันที
“จะใครซะอีกล่ะ? ก็สไปรท์ไง”
…ว่าแล้วไง
เจ้าของเคสพูดต่อ
“สไปรท์อยู่สภานักเรียนนี่? พอดีผมอยู่ห้องเดียวกับเธอ เลยขอให้ฝากมาบอกเรื่องนี้กับสภา”
“ฝากผิดคนแล้ว รู้มั้ยตั้งแต่เปิดเทอมมา พวกฉันเห็นหน้ายัยนั่นกี่ครั้ง?”
ถึงจะมาบ่อยกว่าปกติเมื่อเทียบกับเทอมที่แล้ว แต่ก็ยังนับว่าน้อยอยู่ดี
“อ้าว? ไม่ใช่ว่าสภานักเรียนต้องเข้างานทุกวันหรอกเหรอ?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก จริงๆ แค่เข้าทุกครั้งที่ทำได้ก็พอ …ส่วนยัยเสือสมิงนั่น…”
จะพูดก็กระดากปาก ไม่อยากจะนินทาสมาชิกสภากับคนอื่นด้วย
พริบตาถัดมา ประตูห้องสภาก็เปิดออกอย่างแรง
“อาโย๋! พี่คริสโตเฟอร์อยู่เปล่า!?”
พวกผมสามคนมองไปยังทิศทางนั้นเป็นตาเดียว
พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา แถมมาซะเสียงดังด้วย
เด็กสาวหน้าประตูกะพริบตา
“ไมมองหนูงั้นอะ?”
“สไปรท์…เธอเห็นหน้าน้องคนนี้แล้วนึกอะไรออกมั้ย?”
ผมชี้ไปที่เจ้าของเคสที่ทำหน้าหน่ายใจขึ้นทุกที
สไปรท์เข้ามาในห้องก่อนหรี่ตามองเจ้าของเคส
“ที่อยู่ห้องเดียวกันใช่ปะ?”
เมื่อได้ยินดังนั้น เจ้าของเคสก็พุ่งมากระซิบข้างหูผมทันที
“ประธาน…ผมฝากผิดคนจริงด้วย ผมว่าเธอน่าจะจำชื่อผมยังไม่ได้เลย”
“…เออสิ”
ผมตอบปัดๆ
สไปรท์ขำก๊าก
“วะฮะฮ่า! ดูถูกมากไปแล้ว! นายน่ะชื่อ…”
หูดีจังนะ ขนาดแค่กระซิบเองแท้ๆ
“““…”””
พวกผมรอฟังประโยคต่อไปอย่างใจจดใจจ่อ
สไปรท์นิ่งไปสักพัก
“ต้น…เหรอ…?”
“หะ!? คิดตั้งนานได้แค่นี้เนี่ยนะ!? และก็ช่วยตอบให้มันมั่นใจหน่อยเถอะ!”
“วะฮะฮ่า! พอดีชื่อเด็กผู้ชายที่เค้าจำได้มีแค่คริสโตเฟอร์กับต้นนี่นา แต่อย่างน้อยก็ได้ลอง ว่าแต่ถูกอะเป่า?”
“ไม่ถูก! ไม่ใกล้เคียงเลยด้วย!”
ผมฟังสไปรท์กับเจ้าของเคสเถียงกัน พลางคิดว่าเซลล์สมองสไปรท์มีความจุพอจำได้แค่สองชื่อเองเรอะ…
“ช่างเถอะ ถือว่าผมยื่นเรื่องไปแล้วล่ะกัน…”
“เอ้า? ไม่ใช่ว่าจะฝากเค้าบอกหรอกเหรอ?”
“เฮ้อ…..”
ท่าทีของสไปรท์ที่ถ้าเป็นผมคงประเคนไม่หมัดก็ส้นเท้าแล้ว แต่กลับเจ้าของเคสคนนี้ดันทำแค่ถอนหายใจเฉยๆ นับว่ามีความอดทนสูง…
เอ…ไม่สิ
ไม่ว่าใครก็น่าจะรู้ว่าสไปรท์อยู่สภานักเรียน และก็น่าจะรู้ด้วยว่าสไปรท์เป็นสภานักเรียนแค่ชื่อ เพราะโดยส่วนใหญ่จะชอบไปเที่ยวเล่นที่ชมรมอื่นหลังเลิกเรียนตลอด
ถ้างั้นก็แปลกตั้งแต่ฝากเรื่องให้สไปรท์มาบอกพวกผมแล้ว…
พลอยเอนไหล่มาทางผมพร้อมพูดเสียงค่อย
“หรือว่าน้องคนนี้จะ…”
เวลาผมตะหงิดใจอะไรได้ พลอยก็เหมือนกันสินะ
ของอย่างนี้ไม่ถามให้ชัดๆ ก็พาลเอาหงุดหงิดเปล่าๆ
“นี่นาย”
“หะ?”
“ชอบสไปรท์เรอะ?”
สิ้นคำ เจ้าของเคสก็อ้าปากค้าง ส่วนพลอยก็ตำหนิผมด้วยสายตา ‘ถามตรงไปมั้ยคะ!?’
เจ้าของเคสหันหน้าหนีไปทางอื่น
“พะพ ะพะ พูดอะไรน่ะครับ…จู่ๆ ถามมาได้ไงครับเนี่ย!?”
มีหางเสียงขึ้นมาทันที
แล้วก็นะ แค่นี้ผมมองปราดเดียวก็รู้แล้ว ที่จริงอาจไม่ต้องถามเลยด้วย
“อื๋อ? อะไร? นายชอบเค้าเหยอ?”
“ไม่ได้ชอบ! ใครจะไปชอบคนแบบเธอกันเล่า!”
โห…ถ้าใช้คำพูดแบบพี่น้ำก็คงจะเป็น…
“ฮะฮะ! ซึนเดเระจังอะ!”
ตามที่สไปรท์พูดนั่นแหละ
เจ้าของเคสลูบหน้าด้วยสองมือ ส่ายศีรษะควับๆเพื่อปรับอารมณ์
“เฮ้อ…ตกลงจะช่วยผมยังไงครับ?”
และก็ดึงกลับมาเรื่องเดิมทั้งอย่างนั้น
ผมตอบ
“นั่นสินะ…แต่ปัญหาก็เกิดกับทั้งห้องเลยนี่? ไม่เห็นสไปรท์จะบ่นอะไรเลย”
“วะฮะฮ่า! แค่ขนหนังสือมันจะไปยากเย็นอะไร๊!”
เก่งจ่ะเก่ง
ผมผายมือพูด
“งั้นลองให้ฉันไปคุยกับครูประจำชั้นห้องนายให้เอามั้ย? ไม่ต้องถึงกับมีเส้นสายหรอก แค่คุยดีๆอาจจะจบเรื่องง่ายกว่าที่คิดก็ได้”
“ก็ดีนะครับ ถ้าเป็นคำพูดของประธานนักเรียน ครูเขาอาจจะยอมฟังก็ได้”
“ตามนั้นแหละ …ว่าแต่ครูประจำชั้นห้องนายคือคนไหน?”
ผมหยิบสมุดโน้ตมาเตรียมจดชื่ออาจารย์
“เอ่อ…ประธานคะ”
พลอยกล้าๆกลัวๆยื่นมือมาทางผม ก่อนจะลดมือลงทั้งๆอย่างนั้น
ขณะผมสงสัยกับท่าที เจ้าของเคสก็เอ่ย
“ครูชัยเดชครับ”
“เมื่อกี้ว่าไงนะ?”
“ไม่รู้จักเหรอครับ? ครูชัยเดชที่สอนภาษาอังกฤษไง จำได้ว่าครูเขาสอนมอห้าด้วย ประธานน่าจะรู้จักนี่ครับ?”
เออสิ แค่ถามซ้ำเพราะไม่อยากยอมรับเท่านั้นแหละ
ให้ตายเถอะ ครูแม่*มีตั้งหลายคน ทำไมต้องเป็นเจ้านั่นด้วยนะ…
“ประธานคะ ครูชัยเดชไม่ค่อยชอบประธานนี่คะ…”
ท่าทีเมื่อกี้คือเพราะรู้อยู่แล้วสินะ…
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่
“อ่า…ตอนคุยคงต้องให้เธอไปด้วยนั่นแหละ”
“ก็ได้อยู่หรอกค่ะ…แต่ถ้าวัดที่ผลลัพธ์แล้ว ให้ดิฉันไปคนเดียวจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่ารึเปล่าคะ?”
จริงที่สุด เพราะถ้าครูชัยเดชเห็นผมไปด้วยล่ะก็ เผลอๆคงตีหน้าตายและไม่ยอมเอากฎออกแน่ๆ และคงสะใจด้วยมั้ง ที่เห็นผมทำเคสไม่สำเร็จ
แต่ว่า…จะหนีไปเฉยๆก็เหมือนแพ้
ผมส่ายศีรษะ
“ไม่ล่ะ ฉันจะไปด้วย แต่ยกหน้าที่คุยหลักให้เธอแล้วกัน”
“อืม…อันนี้คือศักดิ์ศรีค้ำคออยู่รึเปล่าคะเนี่ย?”
“…”
พลอยจ้องผมสักพักก่อนจะถอนหายใจ
“เฮ้อ เข้าใจแล้วค่ะ เอาตามที่ประธานว่าเลยค่ะ”
ดูเหมือนจะยอมเข้าใจ ต่อจากนี้ก็ต้องไปคุยกับครูชัยเดชสินะ…คิดแล้วเหนื่อยใจจัง
เจ้าของเคสกุมคางมองพวกผม
“อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะ แต่ประธานกับรองเป็นแฟนกันเหรอครับ?”
““ไม่ใช่/ไม่ใช่ค่ะ””
เจ้าของเคสปัดมือหัวเราะ
“ฮะฮะ ไม่ต้องปิดบังก็ได้ ผมไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับเรื่องนี้อยู่แล้ว แค่เป็นห่วงประธานมากกว่าน่ะครับ”
“ห่วง?”
มีอะไรต้องห่วงด้วยเรอะ?
“ก็มีคนชอบรองเยอะนี่ครับ? ขนาดห้องผมยังมีคนถ่อขึ้นไปเติมน้ำชั้นสาม เดินผ่านห้องที่รองอยู่เพื่อจะได้เห็นหน้าเลยนะครับ …นักเรียนคนอื่นไม่ค่อยชอบประธานกันไม่ใช่เหรอ? ขืนเป็นแฟนกันขึ้นมาล่ะก็…ฮะฮะ ผมว่าประธานอาจโดนดักกระทืบตอนกลับบ้านก็ได้”
ผมหันมาถามพลอย
“คนเขาชอบเธอเยอะขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“ถามเรื่องนั้นกับดิฉัน ดิฉันก็ไม่รู้หรอกค่ะ”
ผมหันมาทางเจ้าของเคสต่อ
“เข้าใจล่ะ ที่นายไม่มีส่วนได้ส่วนเสียเพราะไม่ได้ชอบพลอยสินะ? นายชอบสไปรท์นี่นา”
“ก็บอกว่าไม่ได้ชอบไงครับ!”
“อื๋อ? อะไร? นายชอบเค้าเหยอ?”
“ยังอยู่อีกเหรอ!? ไม่ได้ชอบ!”
เจ้าของเคสตะโกนใส่สไปรท์ที่มานั่งข้างๆตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ เออ แต่มาทรงนี้ วันนี้ยัยนี่คงแกร่วอยู่ในสภาจนหมดเวลาชมรมแน่
ไม่ได้ทำเคสตั้งนาน ถึงจะเป็นเคสที่ต้องไปคุยกับครูบ้านั่น แต่ก็เอาเถอะ
ผมลุก พลอยก็ลุกตามมาเช่นกัน
เจ้าของเคสทำหน้าสงสัย
“เอ่อ…จะไปกันเลยเหรอครับ?”
“อ่า มีแววว่าจะไม่สำเร็จ รีบดำเนินการไปก่อน ถ้าเหลวขึ้นมาจะได้ใช้แผนอื่น นายก็คงอยากให้กฎหายไปเร็วที่สุดใช่มั้ยล่ะ?”
“ใช่ครับ ขอบคุณมากนะครับ!”
…ทำไมจู่ๆถึงได้พูดเพราะขนาดนี้กันเนี่ย คงไม่ได้เห็นว่าผมเป็นผู้ปกครองสไปรท์ที่ต้องมาคอยเอาใจหรอกนะ? ใช่มั้ย?
แต่ก็…ไม่รู้เหตุใด ผมกลับรู้สึกถูกใจน้องคนนี้น่าดู
ผมกำลูกบิดประตู
“งั้นสไปรท์ ฝากเฝ้าห้องหน่อย แล้วก็รับรองเจ้าของเคสดีๆด้วย”
“รับแซ่บ!”
“แล้วก็…เจ้าของเคส”
เมื่อโดนเรียกกะทันหัน เจ้าของเคสก็รีบขานรับ
“อ๊ะ ครับ!?”
“ชื่ออะไร?”
““เอ๋!???””
พลอยกับสไปรท์อ้าปากค้าง
อย่ามองแบบนั้นน่า แค่เห็นว่าน่าสนใจดีเลยอยากรู้ชื่อก็แค่นั้น
เจ้าของเคสเอียงคอ
“ผมยังไม่ได้บอกเหรอครับ?”
“ก็ฉันพึ่งถาม”
“‘เรย์’ครับ”
“งั้นเหรอ ยินดีที่ได้รู้จัก เรย์”
และผมกับพลอยก็ออกมาจากสภา มุ่งหน้าสู่ห้องเรียนชั้นมอสี่ที่อยู่อีกตึกหนึ่ง เอ…หรือว่าจะอยู่ห้องพักครูกันนะ? เอาเถอะ ไว้ค่อยไปหาเอาทีหลัง
เคสที่ 29 ปวดหลัง /มีต่อ