สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 55 เคสที่ 28 สไตล์
“นะนิ้ง นะน๊อง ระย๊องล๊า…”
คนที่กำลังฮัมเพลงสบายอารมณ์อยู่บนโซฟารับแขกของห้องสภา คือเด็กสาวชั้นมอสี่ที่ไว้ผมทรงทวินเทลบวกหนึ่ง
ถึงผมจะไม่รู้ว่านั่นใช่เพลงรึเปล่าก็เถอะ…แต่รำคาญหูมาก
“นะนิ้ง นะน๊อง…”
“สไปรท์”
“อื๋อ? ว่าไงพี่คริสโตเฟิ่น”
สไปรท์ดีดตัวเหมือนสปริง เป็นเด็กที่ชีพจรลงเท้าจริงนะ ไม่ต้องถึงขนาดลุกมาฟังก็ได้แท้ๆ
ผมเท้าคางมองสไปรท์ที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ
“ทำไมวันนี้เข้าสภา?”
“หนูสิต้องถาม ทำไมไม่เห็นคนอื่นนอกจากพี่คริสโตเฟอร์เลยอะ?”
“พี่ต้นติดธุระที่บ้าน ดิวพาเจี๊ยบไปหาหมอ พลอยทำเวร ส่วนพี่น้ำ…คงรู้ใช่มั้ย?”
“พี่น้ำโดดงานสภาจินะ? ไม่ไหวเล้ย โดดเป็นว่าเล่นแบบนี้พี่คริสโตเฟอร์ก็เหนื่อยกันพอดี”
“พูดดีจริงนะ ก่อนหน้านี้เธอก็โดดงานไม่ต่างจากพี่น้ำหรอก ไม่สิ…ถึงช่วงนี้เธอจะโผล่หน้ามาบ่อยกว่าทุกทีก็เถอะ ฉันก็ยังต้องถามอยู่ดี”
“ถามอะไรนิ?”
“มาทำอะไร?”
สำหรับเทอมสองนี้ แม้สไปรท์จะเข้าสภาบ่อยจนน่าแปลกใจปนตกใจ แต่สไปรท์ไม่มีทางมาห้องสภาโดยไม่มีเหตุผลเด็ดขาด
อย่างที่ผ่านมา ก็จบที่เล่าเรื่องสยองขวัญ
สไปรท์ย่นริมฝีปาก
“ไม่รู้สิ มาทำอะไรนะ?”
“นี่เธอ…”
“อ๋อ! นึกออกแล้ว วันนี้มีความรู้สึกว่าจะได้เล่นอะไรสนุกๆกับพี่คริสโตเฟอร์แหละ ถึงได้ถ่อมาสภาเลยนะนิ”
“งานสภาคงไม่สนุกสำหรับเธอหรอก เธอกลับไปเล่นเกมที่บ้านก็ได้ ฉันอนุญาต”
ให้อยู่กับสไปรท์สองคนก็ไม่แคล้วถ้ามีเคสเข้ามาจะวุ่นวายกว่าเดิม เพราะงั้นถือว่าเป็นกรณีพิเศษ จะให้กลับบ้านโดยไม่ลบคะแนนความประพฤติก็แล้วกัน
ถึงคะแนนที่ว่านั่นจะติดลบไปนานแล้วก็เถอะ…
“จริงอะ? ให้กลับจริงอะ?”
“เออ”
“คงไม่ใช่ว่าจะแอบไล่หนูออกทีหลังนะ?”
“ถ้าฉันจะไล่คงไม่แอบหรอก จะยื่นใบไล่ออกให้ต่อหน้าเลย”
สไปรท์นิ้วแตะริมฝีปาก
“งืม…แต่ไม่เอาดีฟ่า ขอแกร่วอยู่สักพักแล้วกัน ไหนๆเผื่อได้ช่วยพี่คริสโตเฟอร์ทำงานด้วย”
นั่นแหละที่ผมไม่อยากให้เกิด เลยจะไล่หล่อนกลับบ้านไปไง
สไปรท์พูดต่อ
“แต่ได้ข่าวว่าช่วงนี้ไม่ค่อยมีงานให้ทำเท่าไหร่ งั้นเดี๋ยวหนูไปซื้อขนมดีกว่า จะได้จัดปาร์ตี้กันสองคน!”
“สองคนมันเรียกว่าปาร์ตี้ที่ไหนกันเล่า แล้วนี่เวลางาน นั่งเงียบๆรอรับลูกเคสเถอะ”
“บู้ว น่าเบื่อ”
ถึงปากจะว่า แต่สไปรท์ก็กลับไปนอนโซฟาพลางหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเล่นเกม
…เล่นไปสักพัก
“นี่~ พี่คริสโตเฟิ่น”
“อะไร?”
“ปกติพี่คริสโตเฟอร์นั่งอยู่ยังงี้จนหมดเวลาชมรมเลยเหรอ?”
“อ่า ไม่รู้ว่าจะมีลูกเคสเข้ามารึเปล่า จะถือวิสาสะกลับก่อนหมดเวลา เดี๋ยวลูกเคสจะพากันไปพูดปากต่อปากในทางที่ไม่ดี”
สภานักเรียนมีหน้าที่ช่วยเหลือนักเรียน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาไหน สภาก็จำเป็นต้องรับเรื่อง
ถ้าปิดสภาก่อนหมดเวลา ก็ไม่รู้จะมีสภานักเรียนไว้ทำไม
จริงสิ ถือโอกาสบอกสไปรท์ว่าหน้าที่ของสภามีอะไรบ้างดีกว่า ที่ผ่านมาเหมือนเธอจะยังแทบไม่รู้เลยมั้งว่าสภาต้องทำอะไรบ้าง
หรือจะแค่ขี้เกียจเข้าสภาเฉยๆรึเปล่าก็ไม่ทราบ แต่เอาเถอะ
ผมย้ายมาโซฟาฝั่งตรงข้าม
สไปรท์ลุกขึ้นนั่ง
“โอ้ๆ! สีหน้าจริงจังฝุดๆ!”
“คือฉันจะบอกว่า…”
“ถ้าน่าเบื่อหนูไม่ฟังนะ”
“เดี๋ยวปั๊ดไล่ออกเลยนี่”
“พี่คริสโตเฟอร์ไม่ไล่หนูจริงๆร้อก~”
ท้า? นี่ผมโดนท้าอยู่ใช่มั้ย?
“อะอะ จะพูดอะไรก็พูดเลย เดี๋ยวหนูฟังให้ก็ได้”
“คืองี้…”
“แต่หนูว่าเรื่องของหนูน่าจะน่าสนใจกว่า”
น่าสนใจกว่า?
“ไม่สิ เรียกว่าเรื่องที่หนูจะปรึกษาน่ะ”
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่น่าสนใจหรือไม่ แต่คือสไปรท์มีเรื่องจะปรึกษากับผมงั้นรึ???
เอ…ยังงี้ก็ควรพักเรื่องหลักการทำงานของสภานักเรียนไปก่อนน่าจะดี ไม่นึกเลยว่าอย่างสไปรท์จะมีเรื่องกลุ้มถึงขั้นหาที่พึงพิงไม่ได้ จนต้องให้ผมช่วย
แสดงว่าที่มาสภา อาจจะเพราะมีเรื่องหนักใจและไม่รู้ว่าจะปรึกษาใครดี
อย่างสไปรท์คงไม่กล้าบอกตรงๆสินะ อืมๆ เข้าใจแล้วว่าทำไมวันนี้เธอถึงเข้าสภา
โชคดีที่สมาชิกคนอื่นไม่อยู่ สไปรท์จะได้กล้าพูดในสิ่งที่กังวลโดยไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน
มีแค่ผมกับสไปรท์เท่านั้น
“หืม…เข้าใจล่ะ”
…ยัยนี่ก็ยังเด็กอยู่นี่นะ แต่ว่า มาถูกทางแล้วล่ะ คนที่ให้คำปรึกษาได้ดีที่สุดในโรงเรียน…ไม่สิ ดีที่สุดเท่าที่โลกนี้จะมีได้ก็คือผมนี่แหละ
“ช่างเรื่องที่ฉันจะพูดไปแล้วกัน อยากปรึกษาอะไร? สไปรท์”
“คือหนูรู้สึกว่าหนูไม่ค่อยมีเอกลักษณ์ชัดเจนเท่าพี่ๆคนอื่นในสภาไงมิรุ”
“โคตรไร้สาระ!”
ไอ้เราก็คิดว่าเป็นเด็กแอบขี้อายไม่กล้าพูดตรงๆ ใจจริงมีเรื่องกังวลแต่ไม่กล้าพูดออกมา แต่นี่มันแค่เรื่องกลุ้มระดับอนุบาลไม่ใช่เรอะ!?
“ไม่ไร้สาระน้า”
“เอกลักษณ์…หมายถึงสไตล์หรืออะไรแบบนั้นสินะ”
ผมกุมขมับ
สไปรท์พยักหน้า
“อืมๆ นั่นแหละๆ! อย่างพี่คริสโตเฟอร์เป็นซาตานใช่มั้ยล่ะ? สไตล์มันก็เห็นกันชัดๆ อารมณ์คนที่เจอก็แบบ ‘เฮ้ย! หมอนี่มันซาตานนี่หว่า!?’ เลยล่ะ”
“…ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“พี่พลอยก็ใส่ชฎา ส่วนพี่ต้นก็มีจานบิน”
“เขาเรียกกระด้งฝัดข้าว…”
“พี่น้ำไม่มีหัว แต่ละคนถือว่ามีสไตล์ชัดเจนสุดๆ”
ฟังถึงตรงนั้นผมก็แย้งออกไป
“งั้นดิวล่ะ? ถ้าบอกว่ายัยนั่นมีสไตล์ชัดเจนเพราะกินขนมตลอดเวลาล่ะก็ ฉันไม่ให้ผ่านนะ”
“โนๆ หนูไม่ตื้นเขินขนาดนั้นหรอกพี่คริสโตเฟอร์ พี่ดิวน่ะ…ถ้าพูดกันจริงๆคือมีสไตล์ที่สุดในหมู่คนที่หนูกล่าวมาเลยนะ”
“เพราะใส่เสื้อฮู้ด?”
“โนๆ พี่คริสโตเฟอร์โง่เปล่าเนี่ย?”
“…”
ผมปล่อยคำด่าไหล่ผ่านหู ใจจริงก็นึกสงสัยว่าสไตล์ชัดเจนสุดๆของผีปอบในมุมมองของสไปรท์คืออะไร
จนสไปรท์พูดออกมา
“เพราะพี่ดิวมีเจี๊ยบต่างหากล่ะ”
“เธอสิโง่!!!”
“แอ๊ะ!?”
“ไม่ต้องมาองมาแอ๊ะ! ดิวแค่เลี้ยงเจี๊ยบเฉยๆมันจะนับว่ามีสไตล์ได้ไงหา!?”
“พี่คริสโตเฟอร์คิดดูสิ! โรงเรียนเรามีใครที่ไหนห้อยสัตว์เลี้ยงไว้บนไหล่เหมือนพี่ดิวบ้างล่ะ! ยังงี้ต่อให้พี่ดิวหันหลัง แต่ถ้าเห็นเหลืองๆบนไหล่ก็รู้ว่าเป็นพี่ดิวเลยนะ! อย่างนั้นไม่เรียกสไตล์จะให้เรียกว่าอะไรฮึ?”
ขี้เกียจจะเถียง
ขอบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่เพราะเถียงไปก็แพ้ แต่นี่คือขี้เกียจแบบ…ขี้เกี๊ยจขี้เกียจจะเถียงเลยอะ
สไปรท์หันมองร่างกายตัวเอง
“แล้วตัดมาที่ตัวหนูสิ ไม่เห็นมีสไตล์อะไรโดดเด่นเลย เผลอๆคนอื่นยังไม่รู้เลยมั้งว่าหนูเป็นเสือสมิง”
“เอาจริงฉันก็เกือบลืมไปแล้วเหมือนกัน…”
“แหะๆ ล้อเล่นได้ฮามาเลยพี่คริสโตเฟิ่น”
ไม่ๆ เกือบลืมจริงๆต่างหาก
อืม…คิดไปคิดมาก็เข้าเค้า ขนาดผมยังเกือบลืม แสดงว่าที่สไปรท์ไม่มีเอกลักษณ์โดดเด่นก็อาจจริงก็ได้
ถึงจะตัดเรื่องดิวออกไป แต่ทั้งพลอย พี่ต้น และก็พี่น้ำ ล้วนแต่มีเอกลักษณ์ของเชื้อสายอย่างชัดเจน
ส่วนสไปรท์เป็นเสือสมิง แต่นอกจากฟันเขี้ยวที่แหลมๆนั่นแล้ว ภายนอกก็เหมือนเด็กสาววัยรุ่นแก่นๆ น่าเตะทั่วๆไป
ใช่ๆ น่าเตะนั่นแหละ ผมพูดไม่ผิดหรอก
ผมเหลือบมองประตู
โอเค จากประสบการณ์ที่ผ่าน วันนี้น่าจะไม่มีลูกเคสอีกตามเคย
เพราะงั้นจึงแบ่งสมองมาช่วยสไปรท์ได้
“งั้นเดี๋ยววันนี้ฉันช่วยหาสไตล์ให้เธอแล้วกัน”
“มีเรื่องน่าสนุกจริงด้วย!? ไม่เสียแรงที่มานะเนี่ย!”
ถ้าพูดถึงสไตล์ที่จะบ่งบอกความเป็นเอกลักษณ์ของเสือสมิงที่สุดแล้ว…
ผมคิดเช่นนั้นระหว่างเปิดรูปเสือสมิงดูในอากู๋
สไปรท์ก็ย้ายมานั่งข้างๆ พลางยื่นหน้ามาดูเช่นกัน
“ว่าไงดี…ถึงจะบอกว่าเสือสมิง แต่ภายนอกก็เป็นเสือปกติ…”
“นั่นจิเนอะ ถ้าไม่นับความสามารถแปลงร่างแล้วล่ะก็ ที่เห็นในรูปนี่ก็แค่เสือเฉยๆเอง ว่าแต่”
“ว่าแต่?”
“ว่าแต่พี่คริสโตเฟอร์มาดูรูปเสือสมิงทำไมอะ?”
“ก็หาสไตล์ให้เธอไงเล่า!!!”
“อ๋อ!!!”
“จำได้มั้ยว่าเมื่อสองนาทีที่แล้วเธอบอกว่าอยากหาสไตล์ของตัวเองน่ะ!!!”
“จำได้ๆ!!! หาสไตล์ หาสไตล์!!!”
ก็ไม่รู้จะตะโกนแข่งกันให้ได้อะไร แต่ได้ตะเบ็งเสียงแบบนี้ก็โล่งดีเหมือนกัน
เอ…ทำไมถึงมีความรู้สึกว่าถ้าอยู่กับยัยนี่หลายๆวันเข้า ระดับไอคิวกับอีคิวจะลดลงไปเท่ากันยังไงไม่รู้…
ผมกระแอม
“ในเมื่อเป็นแค่เสือ ง่ายสุดก็คงหาอะไรสักอย่างที่ให้คนอื่นมองแล้วรู้ว่าเป็นเสือสินะ”
“ง่ายแค่นั้นมันจะมีประสิทธิภาพเร้อ~”
“แล้วร่างกายเธอไม่มีอะไรสักอย่างของเสือเลยหรือไง?”
ผมถามพร้อมจับศีรษะสไปรท์ คล้ำๆหาว่ามีหูเสือหรืออะไรเถือกนั้นหรือเปล่า
“ฮะฮะ! พี่คริสโตเฟอร์ หนูจักจี้อะ!”
คงไม่มีสินะ เพราะยังมีหูแบบมนุษย์อยู่ ถ้ามีหูเสือเพิ่มมาอีกมันจะไม่ใช่เสือสมิงในร่างคนเอา มันจะกลายเป็นเอเลี่ยนสี่หูแทน
ผมปล่อยมือ
“งั้นหางล่ะ? มีรึเปล่า? โรงเรียนไม่มีกฎให้เก็บหางหรอกนะ”
ถ้าเป็นลักษณะประจำเชื้อสาย สามารถทำอะไรกับมันก็ได้โดยไม่ผิดกฎโรงเรียน อย่างพลอยที่ใส่ชฎาหรือพี่ต้นที่ใส่กระด้งฝัดข้าวก็ไม่ผิดกฎ
สไปรท์แอ่นหลัง
“ไม่มีนะ ตั้งแต่เด็กก็ไม่มี”
“งั้นเหรอ”
“แต่โตไปอาจจะมีรึเปล่า?”
“ไม่รู้หรอกนะว่าเธอได้เชื้อสมิงมาจากแม่หรือพ่อ… แต่แม่หรือพ่อเธอมีหางกันสักคนมั้ยล่ะ?”
“ไม่มี”
“งั้นก็ไม่เกี่ยวว่าโตหรือไม่โตแล้วล่ะ”
“ไม่ลองจับดูก่อนเหรอ? อาจจะมีงอกมาเป็นเล็กๆก็ได้น้า แบบว่า…หนูอาจจะได้เชื้อสมิงมาเต็มเปี่ยมไรงี้!”
เธอแอ่นหลังมาทางผม
“หางมันอยู่ที่ก้นไม่ใช่เรอะ? ให้ฉันจับตรงนั้นก็ลวนลามทางเพศน่ะสิ”
“พี่คริสโตเฟอร์ไม่สนผีไทยไม่ใช่เหยอ?”
“สนไม่สนผีไทยกับลวนลามทางเพศมันคนละเรื่อง ฟังนะ…ต่อให้ฉันจะจับเธอทั้งตัวก็ไม่คิดอะไร แต่ในมุมมองคนอื่นมันก็ยังเป็นลวนลามรุ่นน้องอยู่ดี”
“โอ้ๆ”
“เข้าใจใช่มั้ย?”
“ค่า~”
…รูปลักษณ์จากชาติกำเนิดไม่ผ่าน ถึงจะมีเล็บกับฟันที่คมกว่าเชื้อสายอื่น แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเป็นสไตล์อันโดดเด่น
ผมครุ่นคิด
ต้องเป็นอะไรถึงจะบ่งบอกได้อย่างชัดเจนกันนะ…
“…เอากระดาษแปะไว้กลางหลังว่า ‘ฉันเป็นเสือสมิง!’ ดีมั้ย?”
“ทำไมสิ้นคิดจังอะ…”
“กรณีเดียวกับดิวเลยนะ? ยัยนั่นเลี้ยงสัตว์เลี้ยงที่ไม่มีใครทำกันใช่มั้ยล่ะ? เพราะงั้นจะมีสักกี่คนที่มาโรงเรียนแล้วมีกระดาษแปะกลางหลังบ้าง?”
“…ก็ยังสิ้นคิดอยู่ดี”
ว้า นึกว่าจะเอาด้วยนะเนี่ย ทีงี้ละฉลาดกว่าปกติ
ทว่า การสนทนาเมื่อครู่เหมือนจะไปสะกิดความคิดของสไปรท์
“นึกออกแล้ว! สัตว์เลี้ยงไงสัตว์เลี้ยง!”
“หืม?”
“ถ้าเป็นสัตว์เลี้ยงล่ะก็! นอกจากจะมีสไตล์ชัดเจนแล้วยังอาจสามารถบ่งบอกความเป็นเสือสมิงของหนูได้ก็ได้นี่!”
“ขอดักไว้ก่อน ถึงโรงเรียนเราจะเปิดกว้างสุดๆ แต่ฉันขอห้ามไม่ให้เอาเสือเข้ามาในโรงเรียนนะ”
“ทำไมอะ?”
“เสือมันสัตว์ป่าไม่ใช่เรอะ? เกิดคลั่งแล้วกินเด็กนักเรียนคนอื่นขึ้นมา เธอได้ไปนอนในคุกข้อหาฆ่าคนโดยไม่เจตนาแน่”
“คนโดนคดีมันก็ต้องไทก้าสิ หนูไม่ได้กินเองสักหน่อย”
แถมคิดชื่อให้เรียบร้อยแล้วอีกต่างหาก
“อ๋อเรอะ”
“ถึงนานๆทีจะอยากกินบ้างก็เถอะ อย่างพี่คริสโตเฟอร์ก็ผิวข๊าวขาว หนูอยากขบเล่นๆสักคำเหมือนกัน”
สไปรท์จ้องต้นคอผมพร้อมน้ำลายยืด
ทำตัวเป็นแวมไพร์ไปได้ แค่เสือสมิงแท้ๆ…
“งืม ที่จริงเสือมันก็แพงไปจริงๆนั่นแหละ คงต้องเป็นอย่างอื่น อย่างเช่น…”
เมื่อเธอนึกไปสักพัก
“แมวดีแมะ? เคยได้ยินว่าสปีชีส์เดียวกัน”
“เสือสมิงเลี้ยงแมวเหรอ…ไม่น่าเวิร์คนะ คนอื่นคงมองแค่เป็นผู้หญิงรักสัตว์จนต้องเอามาโรงเรียนเฉยๆ ไม่มองว่าเธอเป็นเสือสมิงหรอก เป็นแมวสมิงมากกว่า”
“มุกบ่นิ?”
“แค่พูดเฉยๆ”
“จะบอกว่ามันแป้กงะ”
“เงียบแล้วช่วยๆกันคิดเถอะน่า”
ไม่นึกเลยว่าต้องมาเสียเวลากับการคิดอะไรแบบนี้ ตอนแรกก็หลงคิดว่าจะง่ายกว่านี้ แต่พอมาลงลึกจริงๆ กลับเป็นหัวข้อที่หนักหนาและต้องคิดหนักน่าดู
“แมวกับเสือไม่ผ่านสิเนอะ…”
ยังไม่จบกับสัตว์เลี้ยงอีกเรอะ…
“เอาเป็นจิ้งจกดีแมะ? ฟรีด้วย หาจับแถวๆนี้ก็น่าจะมี…อ๊ะๆ! พี่คริสโตเฟอร์ห้ามเล่นมุกว่าจิ้งจกสมิงนะ! เดี๋ยวจะกร่อยกว่าเดิม”
“ไม่เล่นหรอก…จิ้งจกเรอะ แล้วจิ้งจกมันบ่งบอกความเป็นเสือสมิงตรงไหนกัน?”
“? มันจะไปบอกได้ไง?”
สไปรท์ตอบหน้าตาย
…ยัยนี่…
ผมกำหมัด สไปรท์พูดต่อ
“พี่คริสโตเฟอร์หลงประเด็นแล้วนะ คือหนูแค่อยากหาสไตล์ที่ให้คนอื่นจำหนูที่เป็นหนูได้เท่านั้นเอง ไม่ต้องบ่งบอกความเป็นเสือสมิงก็ได้”
“งั้นจิ้งจกก็น่าจะผ่าน ไม่มีใครเลี้ยงจิ้งจกกันหรอก”
“นั่นจิ แล้วหนูจะเลี้ยงทำไม? เปลืองค่าขนมอีกต่างหาก”
“ค่าอาหารจิ้งจกมันจะเท่าไหร่กันเชียว? อย่างกไม่เข้าเรื่องเลย”
“ค่าขนมหนูไม่ได้เยอะเหมือนพี่คริสโตเฟอร์สักหน่อย”
“เออๆ งั้นตัดเรื่องสัตว์เลี้ยงไปก็แล้วกัน”
เสนอให้ก็ไม่เอา ตัวเองเสนอเองก็ไม่เอา ต้องแบบไหนถึงจะพอใจกันฮึ?
…ผ่านความเงียบไปสักพัก สไปรท์ก็
“โกนหัวดีแมะ?”
“ดี”
“ตอบเร็วมาก แสดงว่าไม่ดีแน่เลย”
รู้ทันซะอีกนะ กำลังจะขำรอเลย ถ้าพรุ่งนี้ยัยนี่มาโรงเรียนหัวโล้น
สไปรท์ทิ้งตัวลงกับโซฟา
“ยากอะ! ทำไมหาสไตล์ถึงยากขนาดนี้กันเนี่ย!?”
ตีแขนตีขาซะยกใหญ่อย่างกับเป็นเด็กๆ
ผมหรี่ตามอง
และสายตาก็ไปสะดุดกับต้นแขนตัวเอง
เออแฮะ…สมาชิกคนอื่นก็ยังไม่มีเลยนี่นา
“สไปรท์”
“ยากอะ! ยากอะ! หือ?”
ผมเดินไปที่โต๊ะประธาน หยิบปลอกแขนสีแดงที่เขียนว่า ประธานนักเรียน
อันนี่เป็นอันสำรองที่ผมเตรียมไว้ ปลอกแขนนี่…รู้สึกพลอยจะเคยบอกเหมือนกันว่าสภานักเรียนควรใส่ทุกคน แต่ผมยังไม่เห็นว่าจำเป็นเท่าไหร่ เลยปล่อยผ่าน
ผมเอากระดาษแปะทับคำว่าประธานนักเรียน ก่อนใช้ปากกาเมจิคเขียนทับ
เอ…สไปรท์อยู่ตำแหน่งอะไรหว่า? ช่างประไร เขียนว่าสมาชิกสภาไปก่อนแล้วกัน
เสร็จเรียบร้อยผมก็ยื่นให้
“อื๋อ?”
“ปลอกแขนสภา”
“อื๋อ!?”
“โรงเรียนนี้คนที่ใส่ได้มีแค่สภานักเรียน ถึงจะมีพวกฉันอีกหลายคน แต่ก็นับว่าเป็นสไตล์ที่โดดเด่นได้ล่ะมั้ง?”
หลักๆก็แค่ขี้เกียจจะคิดต่อล่ะนะ ยังไงเทอมนี้ผมก็กะจะเดินหน้าต่อเติมสภาให้สมเป็นสภา เพราะงั้นเรื่องปลอกแขน เดี๋ยวก็ต้องเริ่มใช้อยู่ดี
เรียกว่าเลื่อนกำหนดการให้เร็วกว่าเดิม อีกทั้งยังได้ช่วยสไปรท์เรื่องหาสไตล์บ้าบอด้วย
สไปรท์คว้าหมับ
“ปลอกแขน! ปลอกแขนสภานักเรียน!!!”
ดีใจน่าดู
ผมกอดอก
“ใส่แก้ขัดไปก่อน อันนั้นแค่อันสำรองของฉัน…”
“ปลอกแขนแหละ! โห!!! เท่สุดๆ! สุดๆเท่ๆ!!!”
ไม่ฟังกันเลยแฮะ…ช่างเถอะ
ผมยิ้มมองสไปรท์
…ดีใจเป็นเด็กๆไปได้ ของแค่นี้เอง
“เธอเป็นสมาชิกสภานักเรียน นั่นคือหลักฐานว่า…”
“ปลอกแขน! ปลอกแขน!”
“…เธอจะทำงานเพื่อช่วยเหลือนักเรียน ให้สมกับเป็น…”
“ปลอกแขน! ปะหลอกแขน!!!”
“…สภานักเรี…ฟังหน่อยสิว้อย!!!!!!”
เคสที่ 28 สไตล์ /จบ