สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 53 เคสที่ 27 รถยนต์ (1)
+ +
เอ ชายหนุ่มวัยกลางคน ช่วงปีที่ผ่านมาช่างหนักหน่วงกับชีวิตเขามาก ทั้งหย่ากับภรรยา ตกงาน ซึ่งตกงานนั่นแหละคือประเด็นสำคัญของเรื่องนี้
“เฮ้ย!? เมื่อไหร่จะจ่ายค่าเช่า! ค้างมาสองงวดแล้วนะ!”
เสียงตะโกนของเจ้าของห้องพักดังขึ้นหน้าประตูห้อง และก็เป็นอีกครั้งที่เอแกล้งทำเป็นไม่อยู่
ทว่า…ตัวเจ้าของห้องพักดูเหมือนจะทราบดี
เจ้าของห้องพักพูด
“เฮ้อ…ไปหาการหางานทำซะไป ฉันก็ไม่ได้ใจร้ายอยากไล่นายหรอกนะ”
เสียงก็เงียบลงแค่นั้น
เอฟังแล้วก็กัดฟันแน่น
…คิดว่ามันง่ายเหมือนที่แกพูดออกมาหรือไง ไม่งั้นฉันก็ไม่ลำบากขนาดนี้หรอก!
เอได้แต่ด่าทอเจ้าของห้องพัก
ปีนี้ช่างหนักหนา…
แม้แต่ตัวเขาก็ยังไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองถึงได้ตกงาน ชีวิตของเขาผิดพลาดตั้งแต่ตรงไหนกัน? ตอนที่หย่ากับภรรยา? หรือตอนที่ทะเลาะกับหัวหน้าที่ทำงานเก่าจนโดนไล่ออก?
ไม่หรอก แค่สมัยนี้มันหางานยากเท่านั้นแหละ
เอบอกตัวเองแบบนั้นพลางใช้ไวไฟที่บังเอิญได้รหัสผ่านมาของข้างห้องในการเลือกหางานผ่านเว็บไซต์ต่างๆ
หืม? ทำไมงานนี้ถึงได้ค่าตอบแทนดีจัง?
เอสงสัยขณะเพ่งมองไปยังหนึ่งในงานที่โผล่เข้ามาในสายตา
ดูเหมือนจะเป็นแค่งานเฝ้ายาม…กระนั้น ค่าตอบแทนที่ได้กลับสูงเสียจนเขาไม่คิดไม่ฝันว่าเป็นเรื่องจริง
ไม่ต้องการวุฒิการศึกษาด้วยงั้นรึ?
เอาแล้วสิ รับแค่คนเดียวซะด้วย
ต่อให้เอจะนึกสงสัยว่าทำไมงานที่เงินดีเช่นนี้ถึงได้ว่างมาจนเขาสามารถเจอได้ แต่ในเมื่อไม่มีอะไรจะเสีย เขาจึงรีบโทรไปยังเบอร์ติดต่อเพื่อขอสมัครงานทันที
โชคดีที่ยังรับคนอยู่ หลังจากเอพูดคุยกับอีกฝ่ายสักพัก ในที่สุด งานที่เขาเฝ้าฝันมาตลอดปีนี้ก็อยู่ในกำมือเสียที
“ผมพร้อมเริ่มงานวันนี้เลยครับ!”
เอบอกกับปลายสายไปแบบนั้น…
โดยที่เอไม่รู้เลยว่า การที่งานนี้ยังมีที่ว่างสำหรับเขานั้น สามารถเรียกว่า ‘โชคดี’ ได้จริงๆ น่ะหรือ…
เอเดินทางโดยใช้มอเตอร์ไซต์คู่ใจจนมาถึงสถานที่ทำงาน
โรงงานเฉยๆ เก่าๆ ที่สภาพเหมือนจะปิดทำการไปแล้ว เอฉงน …ทำไมถึงได้จ้างให้คนมาเฝ้าที่ที่ไม่น่าจะมีอะไรแบบนี้ด้วยนะ?
ความสงสัยมากมาย แต่งานก็คืองาน มาถึงตรงนี้ เอก็ได้คติประจำใจใหม่มาแล้วว่า ไม่เลือกงานไม่ยากจน
ต่อให้ต้องเฝ้าโรงงานร้างทั้งคืน แต่แลกกับเงินค่าจ้างมากขนาดนั้น ใครจะเกี่ยงได้ลงคอกันล่ะ?
ดีซะอีก ถ้ามันร้างล่ะก็ มันจะมีสิ่งใดให้ระวังกัน แค่หาอะไรฆ่าเวลาจนจบเวลางานก็สิ้นเรื่อง
เอเข้ามาในตัวโรงงาน
เมื่อเข้ามาด้านใน เขาก็เห็นชายแก่คนหนึ่งโบกมือเรียกเขาจากด้านในออฟฟิศขนาดเล็กที่อยู่ด้านในตัวโรงงาน อีกทั้งตรงประตูยังมีป้ายที่เขียนไว้ว่า ผู้จัดการ
เอแอบขบขันในใจ ว่าที่ร้างแบบนี้ยังต้องมีผู้จัดการอีกงั้นรึ?
“คุณเอที่จะเข้างานวันนี้สินะ?”
ชายแก่เอ่ยทักมาแบบนั้น
“ชะ ใช่ครับ สวัสดีครับ”
“อืมๆ ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน งานก็ไม่มีอะไรมาก แค่เฝ้าโรงงานนี้อย่าให้ใครเข้ามาก็พอ”
เนื้องานง่ายเสียจนเอขมวดคิ้ว
“แค่นี้…จริงๆเหรอครับ?”
“แค่นี้”
ชายแก่ตอบสั้นๆ
ก่อนที่เอจะพูดอะไร อีกฝ่ายก็พูดขึ้นมาเสียก่อน
“เงินค่าจ้างจะจ่ายให้เป็นตอนเช้า”
“หา? อย่าบอกนะว่าค่าจ้างนั่น คือค่าจ้างต่อวัน???”
“อืม อยากทำกี่วันก็เชิญ ยังไงก็ไม่มีใครทนทำได้เกินวันนึงหรอก”
…บ้าไปแล้วหรือไง? ไอ้แก่นี่สติสตังไม่สมประกอบรึเปล่า?
งานเงินดีอย่างกับค้ายา แต่กลับบอกว่าคนก่อนหน้าทำแค่วันเดียวก็ออกเนี่ยนะ?
ไม่สิ หรือว่าจะเป็นมิจฉาชีพ?
แต่ต่อให้เป็นอย่างนั้น ครั้นจะถามออกไปแล้วเกิดไม่ใช่จะทำให้ตัวเองเสียงานเปล่าๆ เขาไม่อยากมีปัญหากับคนจ่ายค่าจ้างนี่นะ
ดังนั้น ลองทำก่อนสักวันนึง ถ้าได้เงินจริงๆก็ทำต่อ และถ้าไม่ได้ขึ้นมา อย่างเราก็ไม่มีงานทำอยู่แล้ว คิดเสียว่าเสียเวลาฟรีๆไปคืนหนึ่งก็แล้วกัน
ชายแก่มองเอ และคงพิจารณาแล้วว่าพูดคุยเรียบร้อยก็กำลังจะเดินออกไปโดยทิ้งพ่วงกุญแจไว้ให้
ชายแก่พูดก่อนจะออกไปว่า…
“ไว้เจอกันตอนเช้า อ๋อ…อย่าลืมอ่านโน๊ตที่วางบนโต๊ะด้วย”
เอเอียงคอ ไม่ทันได้ถามอะไรชายแก่ก็กลับไปแล้ว ได้ยินเสียงปิดประตูโรงงานเสียงดัง
เอาเถอะ สรุปคือเริ่มงานแล้วสินะ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้น เอก็นั่งบนเก้าอี้พร้อมแอ่นหลังสุดตัว
นี่พึ่งจะทุ่มครึ่ง เวลาเริ่มงานคือสองทุ่ม ให้ตายเถอะ…ไอ้แก่นั่นให้เราทำงานฟรีครึ่งชั่วโมงสินะเนี่ย?
อืม ไม่เห็นต้องคิดมากเลยนี่นา เงินจำนวนขนาดนี้เทียบเท่ากับเงินเดือนของงานเก่าเลยด้วยซ้ำ แถมยังแค่ส่วนของวันเดียวเองด้วย
เอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา และก็พึ่งคิดได้ว่ายังไม่ได้จ่ายค่าเน็ตเลย ไว้ได้เงินค่าจ้างค่อยจ่ายก็ยังไม่สาย แต่ก็เท่ากับว่าวันนี้จะต้องนั่งถอนหายใจทิ้งๆขว้างๆจนถึงหกโมงเช้าที่เป็นเวลาเลิกงาน
เอนึกถึงคำพูดของชายแก่
“หมายถึงโน๊ตนี่สินะ?”
พร้อมหยิบกระดาษที่เขียนด้วยลายมือไก่เขี่ยซึ่งวางอยู่บนโต๊ะขึ้นมา
เพียงแค่อ่านบรรทัดแรกก็ทำเอขมวดคิ้ว
“…กฎของการเฝ้ายามโรงงาน…งั้นเหรอ?”
เอเกือบจะหลุดขำ ไม่คิดว่าชายแก่คนนั้นจะมีวิธีรับน้องแปลกๆแบบนี้
ถือเสียว่าอ่านฆ่าเวลา
ว่าแล้วเอก็เริ่มอ่าน
ข้อที่หนึ่ง. หลังจากสองทุ่ม ห้ามออกจากออฟฟิสนี้เด็ดขาดจนกว่าจะถึงหกโมงเช้า
…ใครจะไปออกกันเล่า ห้องน้ำก็อยู่ข้างๆ ผมไม่โง่ขนาดจะออกไปเดินโรงงานเก่ามืดๆให้เกิดอุบัติเหตุหรอก
ข้อที่สอง. บางครั้งไฟเพดานจะเปิดขึ้นมาเอง ไม่ต้องตกใจและไม่ต้องหาวิธีปิดมัน ปล่อยไว้แบบนั้นเดี๋ยวจะดับไปเอง ‘มัน’ก็แค่หาทางให้คุณออกจากห้องนี้ก็เท่านั้น
…มันไหนวะ? เอสงสัย
ข้อที่สาม. คุณอาจจะเห็นใครบางคนมายืนอยู่ด้านนอกออฟฟิศของคุณ แม้อีกฝ่ายจะมีหน้าตาสวยหรือหล่อแค่ไหน แต่ห้ามตอบโต้หรือสื่อสารเด็ดขาด
……?
ข้อที่สี่. จากข้อที่สาม ‘มัน’จะทำทุกวิถีทางให้คุณตอบโต้กับมัน ไม่ว่าจะเป็นเคาะกระจก ส่งเสียงจนแสบแก้วหู หรือแม้กระทั่งจำแลงเป็นคนที่คุณรู้จัก แต่คุณต้องทำตามกฎข้อที่หนึ่งอย่างเคร่งครัด
…
อ่านถึงตรงนี้ เอก็เริ่มเสียวสันหลังวาบ เขาพยายามมองไปรอบๆกระจกออฟฟิศว่ามีใครอยู่หรือไม่
ข้อที่ห้า. โทรศัพท์ในห้องใช้การไม่ได้ ทว่า อาจจะมีคนโทรเข้ามา ขอให้คุณรับสายและถือสายไว้สักประมาณหนึ่งนาทีก่อนจะวางสายและห้ามพูดอะไรเด็ดขาดไม่ว่าปลายสายจะว่าอะไรก็ตาม ในกรณีที่ไม่ยอมรับสาย สิ่งที่โทรมานั้นจะมาหาคุณด้วยตัวเอง
…ใช้การไม่ได้? แล้วใครมันจะโทรเข้ามาได้กันเล่า
เอยกโทรศัพท์ตั้งโต๊ะขึ้นมา และพบว่าสายขาดไปแล้ว อืม…พอเจอแบบนี้ก็เริ่มจะคิดว่าเป็นเรื่องตลกรับน้องจริงๆแล้วสิ…
ข้อที่หก. เครื่องจักรในโรงงานใช้การไม่ได้เช่นเดียวกัน เว้นเสียแต่คุณอาจได้ยินเสียงเครื่องจักรทำงานและได้ยินเสียงคนร้องให้ช่วย …ขอให้คุณทำตามกฎข้อที่หนึ่ง
ข้อที่เจ็ด. แม้คุณจะไม่สามารถออกจากออฟฟิศได้จนถึงหกโมงเช้า แต่นั่นก็รวมถึงการเปิดประตูด้วย ข้อสำคัญก็คือ ในช่วงตีสาม จะมีแมวขนสีดำสนิททั้งตัวมายืนอยู่ที่หน้าประตู ให้คุณหยิบถาดอาหารจากด้านหลัง เอานมจากตู้เย็นเทใส่ถาด เปิดประตูและวางไว้ด้านหน้า จากนั้นให้ปิดประตูอย่างรวดเร็ว …หรือก็คือคุณจะเปิดประตูได้เฉพาะเวลาตีสามเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เวลาดังกล่าว ห้ามเปิดประตูเด็ดขาดไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม
ข้อที่แปด. ต่อให้คุณจะคิดว่าถึงหกโมงเช้าแล้ว แต่คุณก็ต้องรอออกจากออฟฟิศตอนที่ประตูโรงงานเปิดแล้วเท่านั้น บางครั้ง ‘มัน’ จะเล่นตลกกับการรับรู้ของคุณ ทำให้การรับรู้ด้านเวลาผิดพลาด
ประตูโรงงานเปิด? แสดงว่าให้รอตอนที่ชายแก่นั่นมาหาตอนเช้าสินะ?
เอเริ่มจะรู้สึกว่าไร้สาระขึ้นเรื่อยๆ เอยังนึกเสียดายเลยว่ามีให้อ่านน้อยไป ถ้ายาวเท่านิยายสักเล่มคงใช้อ่านฆ่าเวลาได้บ้าง แต่นี่กลับมีแค่แปดข้อ…
ไม่สิ…ด้านหลังกระดาษมีกฎข้อที่เก้าอยู่ด้วย
แม้จะเริ่มขี้เกียจสนใจ แต่นี่ก็ข้อสุดท้ายแล้ว อ่านสักหน่อยจะเป็นไรไป…
ข้อที่เก้า. คุณคิดว่ากฎข้อไหนหลอกบ้าง?
เอขมวดคิ้ว
สิ่งที่เขียนกฎข้อที่เก้านั้น ดูเหมือนจะไม่ใช่ปากกาเหมือนข้ออื่นๆ แต่กลับเป็นสีแดงเหมือนเลือด
“โดนรับน้องซะแล้วสิ ถ้าไม่ติดว่าเงินดีล่ะก็นะ…”
เอบ่นพึมพำ ขณะเหลือบมองนาฬิกาและพบว่าสองทุ่มแล้ว ได้เวลาเริ่มงานพอดี
พริบตานั้นเองที่จู่ๆ ไฟเพดานก็เปิดขึ้น…
+ +
เรื่องนี้ยาวเป็นพิเศษ
อ๋อ จริงสิ ยังไม่ได้บอกเลยว่าเรื่องเมื่อกี้ใครเป็นคนเล่า แต่ก็น่าจะเดากันออกแล้วใช่มั้ยล่ะ?
ก็ยัยเด็กที่นั่งทำหน้าภูมิใจอยู่ตรงนั้นไง
“หึฮึ่ม!”
สไปรท์กอดอกเชิดคาง ดูเหมือนจะภูมิใจสุดๆ
สมาชิกสภาหันมองสไปรท์
มีเพียงความเงียบที่ส่งไปหา
“น่ากลัวชิมิล้า? เงียบกันเชียว?”
ผมที่รับหน้าที่พิธีกร จึงถือวิสาสะถามขึ้นแทนทุกคน
“เออนี่ สไปรท์”
“อื๋อ? ว่าไงพี่คริสโตเฟอร์?”
“อย่าบอกนะว่าเรื่องเมื่อกี้เธอก็อปมาจากที่เธอเคยฟังน่ะ?”
“เอ๊อะ!?”
สไปรท์สะดุ้งเฮือก
พี่น้ำก็ยกมือขอพูด
“เหมือนพี่จะเคยฟังเหมือนกันนะ เรื่องนี้…”
“เอ๊อะ!?”
ดิวทำหน้านิ่งๆพูด
“…เรื่องสยองขวัญกฎสินะ…ค่อนข้างเกร่อเลย…นี่ก็น่าจะหนึ่งในนั้น”
“พะ พี่ดิวก็ด้วย!?”
ไม่ต้องถึงดิวหรอก ขนาดผมยังเคยได้ยินเลย
ไอ้เรื่องแนวๆกฎโน่นกฎนี่กฎนั่นน่ะ เรียกว่ามีช่วงนึงที่ค่อนข้างจะฮิตเลยล่ะ ขนาดผมยังเคยฟัง
ซึ่งแก่นเรื่องก็แทบไม่มีอะไร นอกจากเกริ่นภูมิหลังของตัวเอกให้มันยาวๆ ยืดๆ ก่อนจะซัดด้วยกฎที่ยาวยิ่งกว่าอย่างกับบัญญติร้อยประการ ที่ทำให้คนฟังคิดตามว่าถ้าตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นแล้วจะรู้สึกอย่างไร
ปิดท้ายเรื่องด้วยการกฎข้อแรกๆที่เกิดขึ้นพอดี ให้คนฟังคิดไปว่า ‘เฮ้ย!? ถ้ากฎเป็นของจริงแบบนี้ ไอ้ข้อหลังๆนั่นมันโคตรน่ากลัวเลยนะ!?’ แบบนั้น
ซึ่งช่วงนี้ก็เห็นวิวัฒนาการเรื่องแบบนั้นให้มีเนื้อเรื่องระหว่างที่ตัวเอกเล่นตามกฎด้วย …แต่ว่าไงดีล่ะ ในมุมผมแล้วต่อให้จะเดินเรื่องแบบไหน เรื่องสยองขวัญกฎ มันก็เป็นได้แค่นั้นอยู่ดี
ส่วนการวิวัฒนาการก็มีหลายรูปแบบจนน่าใจหาย แต่โดยสังเขปก็อะไรประมาณนั้นแหละ
ที่จริงไม่ต้องสนใจก็ได้ เพราะตอนนี้พวกผมกำลังอยู่ในการผลัดกันเล่าเรื่องสยองขวัญ
เพราะฉะนั้น นี่จึงสำคัญกว่า
“เอ้าๆ ขอตัดสินว่าสไปรท์โดนปรับแพ้เพราะลอกเรื่องเล่ามาจากที่อื่นนะ”
“ใจร้ายอะ!? เดี๋ยวนะ…หนูก็ไม่ได้ลอกมาขนาดนั้นซะหน่อย! ปรับให้มันเป็นสไตล์ของหนูเองแล้วนะ!”
สไปรท์พูดถึงตรงนั้น พี่น้ำก็แทรกอีกครั้ง
“เอ่อ…น้องสไปรท์ แค่เปลี่ยนจากโรงงานต่างจังหวัดเป็นโรงงานเฉยๆ ไม่เรียกว่าปรับเป็นสไตล์ของตัวเองนะ…”
แสดงว่าเรื่องที่สไปรท์เล่า ออริจินัลของมันเล่าโดยที่ตัวเอกไปทำงานในโรงงานต่างจังหวัดสินะ…
สไปรท์อ้าปากพะงาบ หันหาพลอยกับพี่ต้นที่ยังไม่ได้แสดงความเห็นอะไร
“พะ พี่พลอย! พี่ต้น!”
““…””
ผมที่เห็นว่าคงไม่มีใครช่วยสไปรท์แล้วก็ลุกขึ้นเตรียมจะเปิดไฟ
“งั้นในเมื่อสไปรท์โดนปรับแพ้ ฉันก็ไม่ต้องเล่าแล้วล่ะนะ โอเคๆ เลิกๆ ได้เวลากลับบ้าน”
หมดเวลาชมรมพอดี อีกทั้งไม่มีใครมาขอช่วยจนสามารถเล่าได้ครบทุกคน แสดงว่าช่วงนี้สภานักเรียนว่างงานจริงๆ นะเนี่ย…
แต่พอผมพูดแบบนั้น…
“ไม่ได้หรอกค่ะประธาน ถึงน้องสไปรท์จะโดนปรับแพ้ไปแล้ว ประธานก็ต้องเล่าอยู่ดีค่ะ”
“ไหงงั้นล่ะ?”
“กฎคือให้เล่าคนละเรื่องไม่ใช่หรือคะ?”
อืม…นั่นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่มันจะไม่เสียเปล่าไปหน่อยเรอะ…
“แล้วดิฉันก็ไม่ชอบท่าทีของประธานด้วย เอางี้มั้ยล่ะ? ถ้าเรื่องที่ประธานเล่าไม่น่ากลัวหรือแป้กแม้เพียงสักนิดล่ะก็ ให้ประธานแพ้แทนน้องสไปรท์ดีมั้ยคะ?”
เมื่อชี้โพลงให้กระรอกเช่นนั้น กระรอกก็รีบมุดเข้าโพลงทันที
“ใช่ๆ! พี่คริสโตเฟอร์มั่นใจสุดๆเลยนี่! งั้นวัดกันไปเลยแบบที่พี่พลอยว่า!”
“…พวกเธอนี่น้า”
ผมพึมพำ
จะไม่เอาด้วยตอนนี้คงยาก
แถมจะโดนยัยพลอยดูถูกอีกต่างหาก
ผมนั่งลงตามเดิม หยิบไมค์สมมุติขึ้นมา
สมาชิกสภาทุกคนรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ
ผมเอ่ย
“เรื่องสยองขวัญที่ไม่จำกัดว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอก ขอแค่ไม่ก็อปจากที่ไหนก็พอสินะ?”
“ถั่วต้ม!”
ยัยสไปรท์ที่เห็นทางรอดก็ดิ๊ด๊าขึ้นมาทันที
เอาล่ะ…เรื่องที่หก เรื่องที่ผมจะเล่านั้น…เป็นแบบนี้
“…ซาตานคือสิ่งมีชีวิตจากขุมนรก ตัวตนที่เป็นสัญลักษณ์ของความตายและความชั่วร้าย…”
“คิก!”
ยัยผีนางรำหลุดหัวเราะ
ผมไม่สนใจ
“เนื่องจากเป็นตัวตนที่มีต้นกำเนิดในนรก ลักษณะเฉพาะที่จะเกิดขึ้นกับร่างจำแลงทุกตนที่มายังภพภูมิมนุษย์จึงเป็นแบบเดียวกัน”
ผมพูดด้วยเสียงราบเรียบ จนได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของบางคน
“…มนุษย์ที่เฝ้ามองแผ่นหลังของซาตาน หรือมีปฏิสัมพันธ์ต่อตัวตนนั้น ไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ตาม…จะส่งผลให้คนผู้นั้นต้องตกลงสู่ความว่างเปล่า มิอาจเสวยสุขในสวรรค์ มิอาจทุกข์ทรมานในนรก พริบตาที่สิ้นอายุขัย วิญญาณนั้นจะดับสูญ”
“““““……”””””
“พูดให้เข้าใจง่ายๆ ใครก็ตามที่รู้จักซาตาน …ความทรงจำ ความรู้สึก ความเป็นปัจเจก ทุกๆอย่างจะจบลงทันทีที่เสียชีวิต”
พูดถึงตรงนั้น เทียนในห้องก็ดับลงจนมืดสนิท
ผมอาศัยความมืดนั้น ย่องไปด้านหลังผีนางรำ
“…คำถามก็คือ…ใครในห้องนี้ที่รู้จักซาตานบ้าง…?”
“กริ๊ด!!!”
“เหวอ!?”
พลอยกระทุ้งศอกจนเข้าคางผมอย่างจัง
“กริ๊ด…!!!”
เธอหยิบกระเป๋าจนได้ยินเสียงโครมคราม ก่อนจะวิ่งออกประตูสภาและหายไปในพริบตา
ผมจับคางพลางเดินไปเปิดไฟ มองสมาชิกที่เหลืออยู่แค่สี่คน
“เอ่อ…”
ไม่ทันจะได้พูดอะไร ทั้งสี่ก็พูดเป็นเสียงเดียวกัน
““““อย่ามายุ่งนะ!””””
+ +
…เช้าวันรุ่งขึ้น
เวลาเข้าแถว
ขณะที่ครูใหญ่สมศักดิ์กำลังกล่าวเรื่องบ้าๆบอๆเป็นกิจวัตรและปล่อยให้นักเรียนมากหน้าหลายตาต้องยืนตากแดดจนเหงื่อซกนั่นเอง…
ที่มีเสียงเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา
“สะ สภานักเรียนจงเจริญ!!!”
ผมอุดปากขำขณะสายตามองไปยังแถวของมอสี่ที่อยู่ด้านหลัง
…ดูเหมือนเรื่องเล่าของผมเมื่อวาน จะน่ากลัวใช้ได้ล่ะนะ? แต่ของรางวัลยังไม่ได้เลยแฮะ เอาเถอะ แค่ได้เห็นหน้าเหวอๆของครูใหญ่แบบนี้ก็คุ้มแล้วล่ะ…
เคสที่ 26 เรื่องเล่า /จบ