สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 51 เคสที่ 26 เรื่องเล่า (2)
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 51 เคสที่ 26 เรื่องเล่า (2)
การหมุนสปินครั้งที่สาม
“พลอย ตาเธอแล้ว”
รองประธานพยักหน้ารับคำพูดพร้อมรับไมค์ไป
และไม่รู้เพราะเหตุใด ผมถึงได้เห็นเธอทำหน้าแบบ ‘รอเวลานี้มานานแล้ว’ แบบนั้น
ผมสะกิดใจบางอย่าง
“เรื่องของดิฉัน…”
“แป๊บนะพลอย”
“อะ คะ?”
พลอยฉงนให้การกล่าวแทรกของผม
ผมก็ไม่รอช้าให้เสียเวลา ถามคำถามที่สงสัยออกไป
“เรื่องที่เธอจะเล่าคงไม่เกี่ยวกับผีนางรำใช่มั้ย?”
“หึหึหึ อดใจรอฟังไปเถอะค่ะ”
คือจะเล่าตูก็ไม่ว่าหรอก แค่อยากบอกไว้ตรงนี้เลยว่า ผีนางรำมันไม่น่ากลัว
ยิ่งตัวเป็นๆ มาเล่าเองด้วย ใครมันจะไปกลัวได้ลงล่ะฮึ?
พลอยเห็นผมทำหน้านิ่งๆ ก็กระแอมเบาๆ พร้อมเกริ่นนำ
“เป็นวันธรรมดาวันหนึ่งค่ะ ช่วงเย็น หลังเลิกเรียน …เด็กสาวเอ”
“สต๊อป!”
ขอเบรกหน่อยเถอะ!
พลอยย่นริมฝีปากถามด้วยความหงุดหงิด
“รอบที่สองแล้วนะคะ? ถ้าจะพูดอะไรไร้สาระก็ไว้พูดทีหลังได้มั้ย?”
“ตกใจที่เธอมีใจอยากจะเล่าขนาดนี้เหมือนกัน… แต่จะให้ตัวเอกชื่อเอกันทุกคนเลยหรือไง?”
ดิวก็ทีนึงแล้ว รายนั้นอาจจะนึกชื่อขึ้นมาสั่วๆก็ได้ ยังไงก็เป็นเรื่องแต่งอยู่แล้ว แต่ว่านะ…ถ้าจะใช้ชื่อนั้นกันหมด ด้านความน่าสนใจของตัวเนื้อเรื่องหรือการนึกภาพตามมันจะลำบากเอาน่ะสิ
พลอยโบกนิ้ว
“ถ้าให้ระบุชื่อตรงๆไปเลยจะเป็นการพาดพิงบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องค่ะ ดังนั้น ใช้ชื่อเอตามที่ดิวเล่าไว้ในเรื่องแรกก็ไม่ผิดนี่คะ?”
“เหรอ?”
“ใช่ค่ะ แล้วการใช้ชื่อตัวละครสมมุติจะทำให้ผู้ฟังอินขึ้นนะคะ?”
เรื่องนั้นขอเถียงขาดใจ ขนาดพี่ต้นเขาเล่าเรื่องสมัยเด็กตัวเอง คนฟังยังอินตามจนแทบจะลูบคอตามพี่แกได้เลยนะ
เอาเถอะ นี่ก็ขัดคอไปหลายคน เรื่องนี้ยอมๆไปแล้วกัน
และก็เข้าสู่เรื่องที่สาม
+ +
ช่วงเย็นของวันธรรมดา
หลังเลิกเรียน
เด็กสาวเอ ผู้เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนๆในห้อง ไม่ว่าจะเพศใดก็มอบความรักและเอ็นดูให้กับเธอ แม้เธอจะหน้าตาไม่ได้สวยงดงามราวกับนางฟ้า เป็นเพียงเด็กสาวหน้าตาบ้านๆ กระนั้น ด้วยความจิตใจดีและขยัน จึงทำให้ใครต่อใครต่างเอ็นดู
เอมีงานอดิเรกอยู่หนึ่งอย่าง …ช่วงวันหยุด ถ้ามีโอกาส เธอจะชอบไปดูงานการแสดงนาฏศิลป์ไทยที่จัดขึ้นตามสถานที่ต่างๆ สื่อโชเชี่ยลทั้งหมดทั้งมวลของเอ ล้วนแต่สมัครมาเพื่อติดตามข่าวของงานที่จะจัดขึ้นเท่านั้น
“ต้องรีบไปแล้วสิ!”
เอกล่าวอย่างตื่นเต้น ขณะใช้จักรยานคันโปรดขับไปตามเส้นทาง จุดมุ่งหมายคือสถานที่จัดแสดง
โชคดีที่วันนี้งานจัดใกล้โรงเรียน จึงใช้เวลาเดินทางแค่แป๊บเดียว
…ระหว่างดูการแสดง การร่ายรำอันแสนสวยงามและงดงามจนตาลุกวาวนั้น
เรื่องน่ากลัวก็เกิดขึ้น
อุบัติเหตุขณะแสดง หญิงสาวที่สวมใส่ชุดนางรำอันเด่นเป็นสง่า เกิดก้าวพลาดจนล้มไปชนกับขอบเครื่องดนตรีระนาด
น่าเสียดายที่หญิงสาวผู้เคราะห์ร้าย บาดแผลไม่ใช่แค่ฝกช้ำ
คงเพราะองศามันพอดีเกินไป
“กริ๊ด!!!”
เสียงร้องเหล่านั้น มาจากเหล่าผู้คนรอบๆ
เอได้แต่อ้ำอึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เลือดไหลนอง สีแดงที่ศีรษะของหญิงสาวในชุดนางรำ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เอกลับรู้สึกว่า ‘ช่างเป็นภาพที่สวยงาม’
…วันต่อมา เอเข้าเรียนตามปกติ โดยที่มีภาพเมื่อวานตราตรึงในจิตใจ แม้เพื่อนๆจะชวนคุย สิ่งที่เอทำก็แค่ตอบกลับแบบขอไปที จนทุกคนรู้สึกไม่สบายใจกับท่าทีที่เปลี่ยนไปของเด็กสาว
เหตุการณ์นั้น ทำให้ความคิดของเอเปลี่ยนไป
เดิมทีจากที่เป็นแค่ผู้ชม ตอนนี้เออยากลอง ‘แสดง’ ดูบ้าง
สวมใส่ชุดนางรำอันแสนงดงาม เคลื่อนไหวร่างกายไปพร้อมกับท่วงทำนอง
ไม่รู้เพราะหูแว่วไปเองหรือไม่ ทั้งวัน…ไม่สิ ตั้งแต่กลับจากงานแสดง เอก็ได้ยินเสียงแว่วเบาๆ
เสียงนั้นชัดขึ้นเรื่อยๆ ทุกเวลาที่ผ่านไป
หลายวันผ่านไป นิสัยของเอเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่เป็นเด็กสาวจิตใจดีและชอบพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้แปรเปลี่ยนเป็นคนเงียบๆ ที่ไม่ว่าใครจะเข้ามาทักก็จะตอบกลับไปเพียงความเงียบ
เสียงนั่น ชัดขึ้นเรื่อยๆ
ดูเหมือนที่โรงเรียนของเธอจะมีชมรมนาฏศิลป์อยู่ด้วย เอสนใจชมรมมาตั้งนานแล้ว แต่ก่อนหน้าเธอพยายามตีกรอบตัวเองเป็นแค่ผู้ชม
ทว่า ในเวลานี้ความคิดของเอได้เปลี่ยนไป
เสียงนั่น ชัดขึ้นอีกแล้ว…
เอมาถึงห้องชมรมนาฏศิลป์ น่าแปลกที่แม้จะเข้าช่วงเย็นที่ควรจะเห็นสมาชิกชมรม แต่ภายในกลับไร้ผู้คน มีเพียงเครื่องดนตรีไทยมากมายหลายชนิดในสายตา
และหุ่นลองเสื้อ ที่สวมใส่ชุดนางรำสีเขียวสดใส
สีเดียวกับที่เธอเคยเห็น
สีเดียวกับที่ในตอนสุดท้าย ถูกย้อมเป็นสีแดง
เสียงนั่น…
เอคลี่ยิ้ม รอยยิ้มที่ตนเองก็ไม่รู้ว่ามันบิดเบี้ยวขนาดไหน
ก่อนที่เอจะนำชุดนั้นมาใส่
“ถ้าเป็นเธอล่ะก็…”
เสียงนั่นออกมาจากปากของเอ…หรือของใครกันแน่
ทุกสายตาจับจ้อง เอเดินผ่านนักเรียนหลายคนด้วยชุดที่เธอคิดว่างดงามที่สุด…
ทว่า…มันยังไม่พอ
ต้องงดงามยิ่งกว่านี้ เหมือนกับเธอคนนั้น
เอคิดเช่นนั้น เมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าตนเองมาอยู่ที่ดาดฟ้า
ช่างเป็นสถานที่ที่สงบ ไร้ซึ่งสายตาที่จับจ้อง มีเพียงเสียงบรรเลงทำนองเบาๆที่คลอเข้ามาในหูของเธอ…
“ถ้าเป็นเธอล่ะก็ ต้องทำได้แน่”
เสียงนั่น เป็นของใครกันนะ…?
แม้เอจะสงสัย แต่เธอก็ทำในสิ่งที่จิตใจร่ำร้อง
ต้องงดงามกว่านี้…!
ตุ้บ…!
+ +
“คือไง? โดดตึกตายเหรอ?”
พลอยตอบคำถามด้วยสีหน้าภูมิใจ
“ใช่ค่ะ เธอที่ห้ามแรงกระตุ้นของความงดงามที่เคยเห็นไม่ได้ จึงเลือกที่จะจบชีวิตตัวเองในสภาพที่งดงามที่สุดค่ะ”
“แล้วก็คือโดดตึกอะเหรอ?”
“นี่ประธานฟังฉันเล่าจริงๆ ใช่มั้ยคะเนี่ย?”
ฟังก็ฟังอยู่หรอก แต่ว่าไงดี…หาจุดน่าขนลุกไม่เจอน่ะสิ
เผลอๆเรื่องที่พี่ต้นเล่ายังน่ากลัวกว่าเลยมั้ง? แต่ถ้าเอาความคิดจริงๆของผมล่ะก็…แหม เฉยทุกเรื่องเลยอะ
ผมไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกไปเป็นพิเศษ
แต่พอพลอยมองมาที่ผม
“หึหึ เป็นไง? เริ่มจะกลัวผีนางรำขึ้นมาแล้วใช่มั้ยล่ะคะ?”
“อย่าบอกนะว่าที่อยากจะเล่าให้ได้ เพราะจะเอาคืนเรื่องเมื่อเทอมก่อน?”
“ก็ใช่น่ะสิคะ! เพราะประธานไม่ยอมกลัวผีนางรำที่ได้ชื่อว่าน่ากลัวที่สุดนี่คะ!!!”
ฝังใจขนาดนั้นเลยเรอะ?
ถึงจะได้ฟังไปแล้วก็เถอะ มุมมองของผมต่อผีนางรำก็ยังเหมือนเดิม …คือมันมีบ้าอะไรตรงไหนให้กลัวกัน แถมเรื่องเมื่อกี้…จะว่าเกี่ยวกับผีนางรำเน้นๆ เลยมันก็ไม่ใช่ซะด้วยสิ
พลอยกุมมือผมเบาๆ
“ไม่ต้องกลัวนะคะ แค่เรื่องแต่งเท่านั้นแหละค่ะ อุ๊ย…หรือเรื่องจริงกันน้า”
ด้วยสีหน้าเหนือกว่า
ไม่ๆ ที่ตูนิ่งๆ ไม่ใช่เพราะกลัวอยู่สักหน่อย จะเป็นเรื่องแต่งหรือเรื่องจริงก็เท่านั้นแหละ
“จะยังไงก็ช่างเถอะ ไปคนต่อไปดีกว่า”
“ตกลงประธานกลัวแล้วใช่มั้ยคะ?”
“…ไว้ลงคะแนนทีหลังเนอะ”
“ตอบมาให้ชัดๆ สิคะ!!!”
ผมไม่สนใจเตรียมหมุนสปินอีกครั้ง
พลอยไม่ยอมแพ้คว้าข้อมือผม
“ขอเล่าอีกเรื่องค่ะ!”
“กฎให้เล่าคนละเรื่องไม่ใช่เหรอ…”
“ก็ประธานยังไม่กลัวนี่คะ!”
สไปรท์แทรกขึ้นมาว่า
“อย่าขี้โกงสิพี่พลอย หนูให้เล่าแค่คนละเรื่องนะ ถ้าเล่าออกมาแล้วก็มั่นใจในเรื่องตัวเองหน่อยสิ”
“ตะ แต่ว่า…”
“อีกอย่าง พี่คริสโตเฟอร์จะกลัวรึเปล่าก็ไม่เห็นต้องสนใจเลย ยังไงก็ใช้การลงคะแนนหาบ๊วยอยู่แล้วด้วย”
“พี่อยากให้ประธานกลัวนี่คะ…”
“บ่ๆ ถ้าจะล้างแค้นหรืออะไร ก็ไว้ทำกันทีหลังโน่น ตอนนี้เป็นกิจกรรมเล่าเรื่องผีของหนูต่างหาก ไม่ยอมให้พี่พลอยขี้โกงเล่าสองเรื่องหรอก! เอ้า พี่คริสโตเฟอร์ ต่อได้เล้ย!”
ไม่ต้องไปกลัวเขาโกงก็ได้หล่อน เอาจริงถ้าไม่ติดอะไร ผมยังขี้เกียจเล่าเลยด้วยซ้ำ ต่อให้ยกสิทธิ์ของผมให้คนอื่นก็ไม่เกี่ยง
แต่เอาเถอะ ต้องเล่นไปตามกฎนี่นะ
เหลือสมาชิกอีกสามคนที่ยังไม่ได้เล่า เพราะงั้นโอกาสที่จะโดนตัวเองในรอบถัดไปคือหนึ่งในสาม
การหมุนสปินครั้งที่สี่
…ดูเหมือนจะยังไม่ถึงตาที่ผมต้องเล่าแฮะ
เพราะในหน้าสปินที่เหลือเพียงสามชื่อนั้น ปลายลูกศรตกไปยังรุ่นพี่คนเดียวที่เหลืออยู่
“อุ๊ย? ตาพี่เหรอเนี่ย?”
พี่น้ำมือป้องปาก
ผมผายมือ
“ครับ ถึงจะต้องลงคะแนนตอนท้ายก็เถอะ แต่จากสามเรื่องที่ผมฟังมา…เอาเป็นว่า…ผมคาดหวังในตัวพี่น้ำอยู่นะครับ”
“แหม ถ้าน้องคริสพูดถึงขนาดนั้นล่ะก็ พี่ไม่ทำให้ผิดหวังแน่ค่ะ!”
พี่น้ำกำหมัดแน่น ส่วนยัยพลอยก็ย่นริมฝีปาก …ก็เรื่องผีนางรำมันไม่น่ากลัวนี่หว่า
เรื่องที่สี่ถูกเล่าผ่านเสียงของสาวรุ่นพี่ผีไร้หัว ซึ่งถ้าเอาแค่ที่พี่เขาส่งเสียงได้ก็นับว่าสยองขวัญพอตัวอยู่แล้วอะนะ…
+ +
เด็กชายเอ อายุสิบเจ็ดปี ศึกษาอยู่ในโรงเรียนเอกชนที่ขึ้นชื่อว่าการสอบเข้ายากโหดหิน เว้นเสียแต่ที่ผู้ปกครองของเด็กชายมีเงิน หรือก็คือเป็นลูกคนมีตังค์นั่นแหละ ใช้เส้นสายรวมถึงสินบนในการฝากเข้ามาเรียนในโรงเรียนแห่งนี้จนได้
ถึงจะขยันมากแค่ไหน เหมือนสวรรค์กลั่นแกล้ง เอนั้นมักจะสอบตกอยู่ทุกครั้ง
“นี่เอ เคยได้ยินเรื่อง ‘ศาลเจ้า’ รึเปล่า?”
บี หนึ่งในเพื่อนสนิทของเอถามมาแบบนั้น …เป็นเพื่อนที่จะตัวติดกับเอตลอด ซึ่งเอก็ไม่ได้นึกรังเกียจ
เพราะแม้ตัวเองจะเข้าโรงเรียนนี้มาได้เพราะเส้นสาย แต่ก็ไม่ได้ชื่นชอบกับการมีคนอื่นมาประจบสอพลอเพราะเงินของพ่อแม่ตัวเอง
และบีไม่เป็นเช่นนั้น เป็นเหตุให้เอค่อนข้างจะชื่นชอบการคบหาสมาคมกับบี
เอขมวดคิ้วถาม
“ศาลเจ้า?”
“ใช่แล้ว ศาลเจ้า ศาลเก่าๆที่อยู่ทางมาโรงเรียนเราไง นายก็น่าจะเคยเห็นตอนมาโรงเรียนไม่ใช่เหรอ?”
เอฟังก็ครุ่นคิด
อืม เหมือนจะเคยเห็นจริงๆ แต่ว่ามันเป็นศาลเจ้าที่เก่าเสียจนเรียกว่าโบราณวัตถุก็ยังได้
และไม่รู้ทำไม กลับมีผู้คนนำของไปไหว้ที่ศาลเจ้านั้นอยู่บ่อยๆ เอมักจะเห็นคนเฒ่าคนแก่นำของไปกราบไหว้ตอนเช้า
“เคยๆ แล้วมันทำไมเหรอ?”
“จะอะไรซะอีกล่ะ! ศาลเจ้าเลยนะ!? สมัยนี้ไม่ใช่ว่าจะเห็นกันง่ายๆสักหน่อย”
“เรื่องนั้นก็พอเข้าใจอยู่หรอก …แต่แค่ของที่สร้างมาตามความเชื่อไม่ใช่หรือไง?”
“ก็เพราะแบบนั้นไงเล่า! ฉันเคยได้ยินมาน่ะ ถ้าไปขอพรกับศาลเจ้าล่ะก็ จะทำให้สิ่งที่ขอเป็นจริงแหละ”
“สมัยนี้ใครเขาทำแบบนั้นกัน?”
แต่บีไม่สนใจคำพูดนั้นพร้อมหัวเราะร่า
“ฮะฮะ นายหัวไม่ดีไม่ใช่รึ? ลองไปขอศาลเจ้านั่นดูสักที ไม่เสียหายหรอก”
“ฉันไม่คิดว่าแค่ขอพรกับศาลเจ้าเก่าๆแล้วจะทำให้ตัวเองฉลาดขึ้นหรอกนะ”
“เอาน่า แค่สนุกๆ ไปลองทำทั้งที่คิดว่าโดนหลอกอยู่ก็ได้”
…พอโดนพูดมาเช่นนั้น เอก็เริ่มคล้อยตาม
อาจจะดีก็ได้แฮะ ไม่เสียหายอะไรสักหน่อย
แถมถ้าได้ผลจริงๆ จะได้ไม่ต้องทนสายตาผิดหวังของพ่อแม่ด้วย
สายตาที่แฝงด้วยคำพูด ‘ทำไมถึงได้โง่แบบนี้กันนะ’…
…หลังเลิกเรียน น่าแปลกที่วันนี้ฟ้ามืดครึ้มกว่าทุกวัน
เอบอกคนขับรถว่าวันนี้จะเดินกลับบ้านเอง และจุดหมายของเขาก่อนกลับบ้านก็คือศาลเจ้าที่บีว่าเอาไว้
บีพูดใส่ศาลเจ้าระหว่างเอทำหน้าฉงนอยู่ข้างๆ
“โคตรน่ากลัวเลยเนอะ? คนสมัยก่อนนึกไงไหว้ของแบบนี้กัน?”
“ถามฉันก็ไม่รู้หรอก ต้องทำไงต่อ?”
ทั้งสองไม่เคยกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่แปลกที่จะหาทางไปต่อไม่ถูก
ในจังหวะนั้นเองที่บีหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งขึ้นมาจากข้างล่างศาลเจ้า ดูเหมือนจะตกอยู่ตรงนั้น…
“พอดีเลย! วิธีกราบไหว้บูชาแหละ!”
บีทำเสียงตื่นเต้น
แต่เอไม่เป็นเช่นนั้น เขากลับนึกสงสัยว่ามันจะบังเอิญได้ขนาดนั้นเลยหรือ?
“อืม…หยิบธูปขึ้นมาหนึ่งดอกแล้วจุด…”
บีพึมพำขณะอ่านกระดาษ
…บรรยากาศเริ่มแปลกๆ
“จากนั้นก็พูดว่า ‘สิ่งอัปปรีย์ที่อยู่รอบๆศาลเจ้าแห่งนี้ ได้โปรดทำให้ความปรารถณาของลูกช้างเป็นจริง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม’”
“หา?”
“อ๋อ ต้องท่องนะโมอะไรสักอย่างสามจบด้วย …อะไรไม่รู้แหละ แต่ลองทำกันเถอะ”
เอเอ่ยห้ามบีที่กำลังจะหยิบธูปขึ้นมาจุด
“เดี๋ยวสิ ประโยคที่ต้องพูดมันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ?”
“แปลกเหรอ? นายรู้ได้ไงน่ะ?”
บีถามด้วยความฉงน แต่คำถามนั้นกลับปิดตายคำพูดถัดไปของเอ
เพราะตัวของเอเองก็ไม่รู้แน่ชัดว่าการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างไร ความไม่รู้ของเด็กสมัยใหม่…
ดังนั้น สิ่งที่ตนสงสัย อาจจะผิดไปเองก็ได้
“ถ้านายไม่ค้านอะไร เดี๋ยวฉันทำก่อนแล้ว ถึงฉันจะเรียนเก่งกว่านายก็เถอะ แต่ก็มีเรื่องอื่นที่อยากขอเหมือนกัน”
“ขอเรื่องอะไร?”
“…นั่นสินะ ที่จริงควรเริ่มจากเรื่องเล็กๆก่อนน่าจะดี อย่างเช่น…ได้เป็นเพื่อนกับนายไปจนตายล่ะมั้ง?”
“นั่นคือเรื่องเล็กของนายเหรอ?”
“ฮะฮะ!”
บีหัวเราะ ขณะที่เอยิ้มและส่ายศีรษะ
บีท่องนะโมสามจบด้วยเสียงตะกุกตะกัก จากนั้น…
“‘สิ่งอัปปรีย์ที่อยู่รอบๆศาลเจ้าแห่งนี้ ได้โปรดทำให้ความปราถาณาของลูกข้างเป็นจริง ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยสิ่งใดก็ตาม’”
“แล้วเรื่องที่จะขอล่ะ?”
“ขอให้ได้เป็นเพื่อนกับเอจนตายด้วยเถิด~”
สิ้นเสียง รอบข้างก็เงียบสงัด
เงียบจนน่าพรั่นพรึง
บีพูดขึ้นมา
“ไม่เห็นมีไรเกิดขึ้นเลย”
“จะไปมีอะไรเล่า แค่เรื่องหลอกหลวงแหละน่า อีกอย่าง…ไอ้ที่นายขอเมื่อกี้น่ะ กว่าจะรู้ผลก็อีกนานเลยไม่ใช่เหรอ?”
เป็นคำขอที่ไม่สามารถรู้ได้ในเร็ววันเลยว่าจะเป็นจริงหรือไม่
บีที่ไปถึงความจริงข้อนั้นก็ปักธูปลงบนกระถาง
“ฮะฮ่า! จริงด้วยสิ เราไม่ใช่จะตายวันตายพรุ่งสักหน่อย สงสัยจะขอผิดเรื่องแฮะ”
“เออสิ”
“แล้วนายไม่ขอบ้างเหรอ? ตานายแล้วนะ”
“ไม่ล่ะ เบื่อแล้ว กลับบ้านกันเถอะ”
ลงท้าย เหตุการณ์ช่วงเย็นของสองหนุ่มเพื่อนสนิทก็จบลงแบบนั้น
…เช้าวันรุ่งขึ้น
เอมาโรงเรียนโดยคนขับรถมาส่งตามเดิม ระหว่างทางเขาก็มองหาศาลเจ้าที่เมื่อวานมากับบี
แต่แล้ว…รถกลับขับผ่านบริเวณนั้นไปโดยที่เอไม่เห็นสิ่งใดเลย
เอ๊ะ? ศาลเจ้ามันน่าจะอยู่ตรงนั้นนี่นา?
ด้วยความสงสัย เอจึงถามกับคนขับรถที่เป็นชายแก่สูงอายุ
“ลุง ศาลเจ้าตรงนั้นหายไปไหน?”
ชายแก่เหลือบมองกระจก
“ศาลเจ้า? คุณหนูพูดถึงอะไรอยู่เหรอครับ?”
“ก็ศาลเจ้าเก่าๆนั่นไง พวกเราขับผ่านทุกวันไม่ใช่เหรอ?”
“มีด้วยเหรอครับ? ลุงก็ส่งคุณหนูมาจะปีแล้วนะ ยังไม่เคยเห็นเลย”
ฟังถึงแค่นั้น เอก็หมดคำถาม
เราคงจะมองข้ามไปเอง อีกอย่างลุงแกก็ขับรถ คงไม่ว่างมองข้างทางหรอก
เอพยายามคิดเช่นนั้น …จนรู้สึกตัวอีกทีก็ถึงเวลาเริ่มเรียนวิชาแรก
ทว่า…โต๊ะด้านข้างเขาซึ่งตามปกติจะมีบีนั่งอยู่ กลับว่างเปล่า
เป็นหวัดรึไงนะ?
ทันทีที่เอคิด ครูประจำชั้นก็เดินมาที่หน้าชั้นเรียนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ก่อนจะเริ่มเรียน วันนี้ครูมีข่าวร้ายมาบอกทุกคน”
เด็กนักเรียนทำหน้าสงสัย เอก็เช่นกัน
ข่าวร้าย? ใครตายหรือไงกัน?
เอคิดเช่นนั้นพลางขบขันกับตัวเอง…
“ครูพึ่งได้ข่าวจากผู้ปกครองของ……น่ะ”
ชื่อนั้น คือชื่อของเพื่อนสนิทตน
ชื่อของบี
เอลุกพรวด
“เกิดอะไรขึ้นครับ!?”
ครูขบริมฝีปาก
“…เมื่อวาน เด็กคนนั้นผูกคอตาย”
คำพูดนั้นวนเวียนอยู่ในหัวของเอ ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นพากันส่งเสียงเซ็งแซ่
…หะ? เรื่องบ้าอะไรกัน?
เมื่อวานก็ยังคุยกันดีๆอยู่เลยไม่ใช่เหรอ? นั่นมันใช่สภาพของคนที่จะฆ่าตัวตายตรงไหนกัน…
อาการหน้ามืดฉับพลัน
พริบตานั้นเองที่เอล้มลงกับพื้น ร่างกายเสียสมดุลจนไม่อาจยืนหยัด
“เธอ!? เป็นอะไรไปน่ะ!?”
ครูที่เห็นดังนั้นก็รีบวิ่งเข้ามา พร้อมอุ้มเอขึ้นหมายจะพาไปห้องพยาบาล
ระหว่างที่สติกำลังจะดับลง เอก็ได้ยินเสียง…
“เพื่อนเจ้าจะอยู่กับเจ้าตลอดไป…”
+ +
เรื่องเล่าจบลงแค่นั้น
พี่น้ำถอนหายใจดังฟู่และวางไมค์สมมุติลง
“จบแล้วค่ะ”
“จบแล้วเหรอครับ?”
“หืม? ก็จบแล้วน่ะสิ น้องคริสสงสัยตรงไหนเหรอ?”
“ก็…เห็นเล่ามาซะยาว ไม่คิดว่าจะตัดจบเร็วขนาดนี้น่ะครับ”
พี่น้ำโบกนิ้วชี้
“คืองี้นะน้องคริส เรื่องสยองขวัญน่ะ มันต้องจบลงให้คนฟังสงสัยที่สุดเพื่อไปจินตนาการต่อเติมเอาเองไงล่ะ”
“เหมือนยกหน้าที่ต่อเรื่องให้น่ากลัวเอาเองให้คนฟังเหรอครับ? ไม่ขี้โกงไปหน่อยเหรอ?”
“แล้วแต่คนจะคิดแล้วกันค่ะ แต่เรื่องของพี่จบแค่นี้”
พี่น้ำจบประเด็น
อืม…ถ้าวัดแค่ความน่ากลัวอย่างเดียว ผมว่าก็ดีกว่าเรื่องผีนางรำของพลอยล่ะนะ
แต่ไอ้ที่ขัดๆก็ตรงต้นเรื่อง
จะเกริ่นมาทำบ้าทำบออะไรว่าใช้เส้นสายเข้าโรงเรียนน่ะ? สร้างความตระหนักรู้ให้คนในชาติเรอะ? ไร้สาระชะมัด
ผมเหลือบมองสมาชิกคนอื่น จนสายตามาสะดุดที่สไปรท์
เธอกอดไหล่ตัวเองที่สั่นกึกๆ
“เป็นอะไร? อยากเข้าห้องน้ำ?”
“ถามมาได้ไงเนี่ย!? กลัวต่างหาก กลัวน่ะ!”
“ไอ้เรื่องเมื่อกี้น่ะนะ?”
“พี่คริสโตเฟอร์คิดดูสิ! บีขอให้ได้เป็นเพื่อนเอจนตายใช่มั้ยล่ะ!? อีกวันก็ตายทันทีเลย พอเป็นแบบนั้นก็เลยได้เป็นเพื่อนกันจนตายอย่างที่ขอไว้เลยไง!”
“สรุปได้รวบรัดจนให้เอบวกเลยล่ะ…”
“น่ากลัวจัง พี่คริสโตเฟอร์ไปขอครูใหญ่ทุบศาลเจ้าหน้าโรงเรียนเราทิ้งหน่อยสิ”
ได้ก็แย่แล้วเถอะ เดี๋ยวไอ้กุมารทองนั่นมาแว้ดใส่ผมใส่อีก …เออ แต่ผมก็มีแผนจะไปทุบศาลเจ้ามันอยู่แล้วนี่หว่า
ผมหยิบไมค์สมมุติ
“หยุดไร้สาระได้แล้ว เรื่องเล่าก็แค่เรื่องเล่า ใครที่ไหนมันจะไปโง่ขออะไรแบบนั้นกัน”
แถมบทสวดยังไม่น่าสวดเลยด้วย ขนาดผมไม่ใช่คนไทย แต่ลองเห็นกระดาษแปลกๆที่สื่อว่าให้สิ่งอัปปรีย์ช่วยน่ะ ยังไงก็ต้องโยนทิ้งแน่นอน
พลอยพูดขึ้น
“แหม เก่งจังเลยนะคะ ไม่ว่าจะเรื่องไหนก็นิ่งได้ตลอด”
“ประชดเพื่อ?”
“ไม่ได้ประชดเสียหน่อย ชมจากใจจริงต่างหาก”
“อ๋อเรอะ”
“นึกอยากฟังแล้วสิว่าเรื่องที่ประธานเล่า จะน่ากลัวขนาดไหน”
พร้อมทำสายตาเหมือนจะบอกว่า ‘ถ้าไม่น่ากลัวจะขำให้ดู’ ใส่ผมอีกต่างหาก
“เฮ้อ…รอไปเถอะ คนต่อไปไม่ฉันก็สไปรท์นี่นะ”
“ขอแค่ได้ฟังก็พอแล้วค่ะ ถ้าไม่น่ากลัวจะขำให้ดู”
“ที่คิดมันออกมาจากปากแล้วนะนั่น…”
ผมเริ่มหมุนสปินครั้งสุดท้าย
อ๋อ ที่บอกว่าครั้งสุดท้ายเพราะเหลือแค่สองคนนั่นแหละ ต่อให้จะเป็นผมหรือสไปรท์ คนที่เล่ารอบสุดท้ายก็ไม่ต้องหมุนอยู่ดี เพราะงั้นนี่จึงเป็นการหมุนสปินครั้งสุดท้าย ผมไม่ได้โง่นะ
ก็ไม่รู้จะสาธยายซะยืดยาวทำไม แต่ต่อไปก็เรื่องที่ห้าแล้วล่ะนะ…
เคสที่ 26 เรื่องเล่า /มีต่อ