สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 50 เคสที่ 26 เรื่องเล่า (1)
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 50 เคสที่ 26 เรื่องเล่า (1)
“เล่าเรื่องผีกันเถอะ!”
คนที่ตะโกนท่ามกลางห้องสภาอันเงียบเหงาเพราะไม่มีคนมาขอให้ช่วยนั้นคือสไปรท์
ดูเหมือนช่วงนี้เธอจะติดฟังเรื่องผีก่อนนอนในแอปสีแดงๆ ก็เลยถือโอกาสอยากฟังเรื่องทำนองนั้นของคนในสภา
ซึ่งถ้าถามความเห็นของผมแล้ว…
“ผีสางมันก็เรื่องทั่วๆไปไม่ใช่เรอะ? เล่าไปมันจะต่างกับเล่าชีวิตประจำวันให้ฟังตรงไหน?”
สมาชิกสภาก็สายเลือดผีสางด้วยกันทั้งนั้น เพราะงั้นต่อให้เล่าอะไรไป ก็ถือเป็นเรื่องปกติอยู่ดีนั่นแหละ
สไปรท์โบกนิ้ว
“พี่คริสโตเฟอร์จะมองตื้นไปแล้ว! คืองี้นะ! ถึงในโรงเรียนเราจะมีแต่ผีก็เถอะ! แต่เรื่องผีที่หนูอยากฟังน่ะ ต้องเป็นเรื่องที่ฟังแล้วขนลุกซู่!”
“งั้นมันก็เรื่องสยองขวัญไม่ใช่เรอะ?”
“จะว่างั้นก็ได้!”
ในเมื่ออยู่ในยุคที่มีผีสางทั่วบ้านทั่วเมือง ดังนั้นการจะเล่าเรื่องทำนองนั้น จึงต้องยกระดับให้มีความสยองกว่าเรื่องทั่วๆไป
…สำหรับมนุษย์แล้ว จะพอเข้าใจแนวคิดประมาณนี้ของผีสางอย่างพวกผมมั้ยนะ?
เอาเถอะ สรุปแบบลวกๆ เลยก็คือ ให้สมาชิกสภาพลัดกันเล่าเรื่องสยองของตัวเอง
แต่ต่อให้จะสรุปออกมาแบบนั้นแล้ว…
“นี่สไปรท์ นานๆจะโผล่หน้ามาสภาทั้งที หัดหาอะไรทำให้มันมีประโยชน์ต่อโรงเรียนหน่อยได้มั้ย?”
เธอฟังแล้วก็หันซ้ายหันขวา
“ไม่เห็นมีอะไรให้ทำเลยนี่นา?”
“นั่งเฉยๆ รอรับลูกเคสก็เป็นงานสภานะ”
“เพราะงี้ไง! หนูถึงไม่อยากเข้าสภาอะ! ทุกคนเอาแต่นั่งหน้าเป็นตูดกันอยู่ได้! ถ้าว่างก็หาอะไรทำแก้เบื่อสิ! นี่ยังเป็นวัยรุ่นกันอยู่มั้ยฮึ?”
ไม่อยากให้คนที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นคุ้มเกินพอดีแบบยัยนี่ว่าเอาเลยแฮะ…
ผมเหลือบมองสมาชิกคนอื่น
พลอยยิ้มแห้งๆ
ดิวไม่สนใจพร้อมกินขนมตามเดิม
ส่วนพี่ต้นก็พยักหน้าเบาๆ ด้วยอารมณ์ประมาณ ‘เล่นๆกับน้องเขาหน่อยเถอะ’
ให้ตายสิ…ขนาดพี่ต้นยังเอากับเขาด้วยเหรอเนี่ย
แต่สไปรท์ก็ถือว่าเด็กสุดในสภานี่นะ ไหนๆก็ไม่มีเคส บางทีตามใจเธอหน่อยก็ไม่เสียหาย…
แม้ไม่มั่นใจว่าคิดอย่างนั้นดีแล้วหรือไม่…
“เฮ้อ…ก็ได้ๆ พลอย ดิว พี่ต้น โอเคใช่มั้ย?”
“โอเคค่ะ ยังไงช่วงนี้ก็ว่าง…เล่าเรื่องสยองขวัญสินะ น่าสนใจดีเหมือนกันค่ะ”
พอพลอยว่าแบบนั้น ดิวก็พยักหน้าตาม
แล้วเธอกลัวผีไม่ใช่เรอะ หรือเป็นคนประเภทกลัวแต่ก็ชอบดูชอบฟัง?
พี่ต้นลูบต้นคอ
“พี่ขอฟังเฉยๆแล้วกัน ไม่มีเรื่องจะเล่าน่ะ”
ทันทีที่พี่ต้นพูด สไปรท์ก็ตบไหล่พี่ต้น
“วะฮะฮ่า! งั้นให้พี่ต้นเล่าเป็นคนสุดท้ายแล้วกัน!”
ไม่ๆ พี่ต้นเขาไม่ได้แกล้งกั๊กเพราะเรื่องตัวเองน่ากลัวสุดเลยเก็บไว้เล่าคนสุดท้ายสักหน่อย สีหน้าพี่เขาคือไม่มีเรื่องจะเล่าจริงๆต่างหากว้อย
ยัยสไปรท์ดูคลิปคนเล่าเรื่องผีมากไปหน่อยแล้วมั้งเนี่ย?
พี่ต้นตอบลำบากใจ
“…พี่ไม่ได้หมายความแบบนั้น”
“งั้นก็ปิดไฟ! จุดเทียน! ถ้ายังไงเดี๋ยวเรียกพี่น้ำมาด้วยดีฟ่า! ถ้าไม่ใช่เรื่องงาน พี่น้ำน่าจะยอมมาสภาแหละ!”
มีเรื่องให้บ่นค่อนข้างหลายจุด แต่เห็นยัยสไปรท์ที่น๊านนาน นานๆทีจะเข้าสภายิ้มแป้นแบบนั้น ก็ช่างๆไปแล้วกัน
บอกไว้ก่อนที่ยอมให้ขนาดนี้ เพราะไม่มีลูกเคสหรอกนะ
เนื่องจากการรีโนเวทห้องสภายังไม่เสร็จสมบูรณ์ แม้จะเคยเริ่มไปแล้วแต่ก็จบที่สภาพห้องยังเป็นเช่นเดิม
ที่นั่งของโต๊ะรับแขกไม่เพียงพอสำหรับสมาชิกทั้งหมด หรือต่อให้พอก็แออัดเกินไป
อีกทั้งสไปรท์ยังบอกอีกว่า ‘เล่าเรื่องผีก็ต้องนั่งพื้น ล้อมวงเป็นวงกลมสิ!’ แบบนั้น
และก็กลายเป็นสภาพอย่างตอนนี้แทน
พวกผมนั่งล้อมวงกันเป็นวงกลม นับจากทางขวาก็จะเป็น พลอย ดิว พี่น้ำ พี่ต้น แล้วก็สไปรท์ที่มาบรรจบอยู่ที่ด้านซ้ายของผม
พี่น้ำหัวเราะคิกคัก
“แหม พึ่งเคยเห็นสภาทำเรื่องน่าสนุกแบบนี้นะคะเนี่ย? วันนี้น้องคริสไม่สบายรึเปล่า?”
“แค่ว่างเท่านั้นแหละครับ ผมแค่อยากลองหาอะไรทำฆ่าเวลาที่ไม่ใช่นั่งเฉยๆ ดูน่ะครับ”
“ทำพูดไป น้องคริสก็แค่ตามใจน้องสไปรท์ใช่มั้ยล่ะ?”
“อื๋อ?”
สไปรท์เอียงคอคราง
ผมส่ายศีรษะ
“ไม่ใช่ครับ ว่างเฉยๆ”
“พี่คริสโตเฟอร์ตามใจหนูอยู่อ๋อ?”
“เงียบไปเลย”
ห้องมืดสนิท มีเพียงแสงไฟจากเทียนที่จุดและวางไว้รอบห้อง บรรยากาศเหมาะต่อการเล่าเรื่องผียิ่งนัก ส่วนแสงอาทิตย์ยามเย็นที่จะเข้ามาในห้องจนทำเสียบรรยากาศนั้น ก็ดึงผ้าม่านปิดไว้
หรือก็คือมืดสุดๆ
สไปรท์จัดแจง
“งั้นคนที่จะเล่าก็จุดธูปสาบานก่อนนะ!”
“จุดเพื่อ!?”
“เผื่อมีคนเล่าความเท็จไงเล่า!”
“เรื่องสยองขวัญทุกเรื่องมันก็เรื่องแต่งไม่ใช่หรือไงหา!?”
อีกฝ่ายได้ยินก็ทำหน้าเสียดายพร้อมบุนอุบอิบในลำคอว่า
“…ก็หนูอยากจุดธูปนี่นา”
“…เธอไปเปิดหน้าต่างจุดก่อนก็ได้ ไหนๆก็เตรียมมาแล้ว”
“เอ๊อะ? ให้หนูทำคนเดียวเหยอ?”
“เออ”
“ก็ด๊ะๆ”
ว่าแล้วสไปรท์ก็มุดผ้าม่านริมหน้าต่างพร้อมกับธูปและไฟแช็คในมือ กำลังจุดธูปอยู่นั่นแหละ
“ให้ตายสิ ไปดูรายการบ้าอะไรมาล่ะเนี่ย”
ผมบ่นไปเรื่อย พลอยเอ่ย
“น้องสไปรท์คงแค่อยากทำให้เป็นพิธีเฉยๆล่ะมั้งคะ?”
“ถึงขั้นจุดธูป มันเกินความจำเป็นไปไกลเลยล่ะ แค่เล่าเรื่องสยองขวัญมันไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก”
อีกอย่าง ถ้าเป็นของทำนองนั้นน่ะ ร้อยทั้งร้อยมันก็เรื่องแต่งอยู่แล้ว ต่อให้สุดๆ ว่าเล่าจากประสบการณ์จริง แต่ถ้าคนฟังไม่เชื่อหรือรู้สึกว่าผู้เล่าใส่ไข่เพิ่มล่ะก็ ผลมันก็เท่ากัน
ที่จะบอกก็คือ ไม่ต้องสาบงสาบานบ้าอะไรทั้งนั้น
สไปรท์กลับมานั่งที่
“ควันเข้าตาอะ”
“เดี๋ยวก็หาย แล้วธูปที่จุด เอาไปไว้ไหน?”
“โยนออกหน้าต่างไปแล้ว”
“…ขากลับอย่าลืมไปเก็บล่ะ”
“เก็บไมอะ? หนูไม่ใช้แล้วสักหน่อย”
“หมายถึงเก็บไปทิ้งว้อย!!!”
และผมก็คิดได้ว่าด้านนอกหน้าต่างมีพุ่มไม้ ไม่รู้ยัยเด็กบ้านี่โยนลงไปทั้งๆที่ไฟยังติดรึเปล่า
ผมรีบลุกไปดู
โชคดีที่สไปรท์ก็ไม่ได้โง่มากนัก อย่างน้อยก็ดับธูปก่อนโยนทิ้ง
ผมกลับมานั่งที่…
“อ๊ะ ควันเข้าตา”
“เมื่อไหร่จะเริ่มสักทีคะเนี่ย!?”
พลอยตะโกนลั่นห้อง สงสัยจะออกนอกเรื่องไปนิด
และแล้ว ห้องก็กลับมาอยู่ในสภาพที่เหมาะสำหรับการเล่าเรื่องสยองขวัญอีกครั้ง
สไปรท์ที่ทำท่าเป็นพิธีกร ยกกระบอกมันฝรั่งยี่ห้อห์หนึ่งที่ดิวกินหมดแล้วมาเป็นไมค์
“หนูจะให้เล่าแค่คนละหนึ่งเรื่องเท่านั้น จะเป็นเรื่องผี สยองขวัญ หรือลึกลับก็ได้หมด แต่ว่าในท้ายที่สุด ใครที่ถูกลงความเห็นว่าน่ากลัวน้อยที่สุด จะโดนลงโทษด้วยการตะโกนตอนเข้าแถวตอนเช้าว่า ‘สภานักเรียนจงเจริญ!’”
ด้วยสีหน้าภาคภูมิใจ ไอเดียดีจริงนะหล่อน…
ผมประชดในใจ แต่สมาชิกคนอื่นก็ไม่ได้มีท่าทีปฏิเสธ
เอ้า ไอ้บทลงโทษนั่นคือผ่านเรอะ?
เฮ้อ…คงเห็นว่าน่าสนุกกันสินะ ดูจากสีหน้าแต่ล่ะคน
ผมจะค้านตอนนี้ก็เดี๋ยวจะกร่อยเอา เพราะงั้นตามน้ำไปแล้วกัน
ยังไงก็ไม่คิดว่าจะแพ้กับอีแค่การเล่าเรื่องด้วย
“แล้วก็สำหรับผู้ชนะ หนูมีรางวัลพิเศษให้ด้วย”
“หือ? รางวัล?”
“ขออุบไว้ก่อน! แต่เป็นรางวัลที่พิเศษสุดๆเลยนะ! พวกพี่ๆ”
ไม่ๆ ตูไม่สนหรอกว่าจะให้อะไร แค่สงสัยว่าต้องลงทุนลงแรงขนาดนี้เลยเหรอ ต่างหาก
พี่น้ำหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ
“รางวัลสินะ ยังงี้ต้องเอาจริงหน่อยแล้ว”
พี่ต้นถอนหายใจ
“ต้องพูดอย่างนั้นหน้าเสาธงเลยเหรอ…”
ดูเหมือนจะปักใจว่าตัวเองแพ้ไปแล้วด้วย
สไปรท์ยิ้มเยาะ
“อืมๆ สีหน้าใช้ได้ งั้นหนูขอเริ่มงานประกวดเล่าเรื่องสยองขวัญของสภานักเรียนครั้งที่หนึ่ง ณ บัดนี้!”
…เล่นพูดอย่างกับเกมโชว์แบบนั้น บรรยากาศที่บิ้วท์มาตั้งแต่ต้นมันปลิวหายไปหมดแล้วนะ
สไปรท์พูดต่อ
“แล้วหนูจะขอรับหน้าที่พิธีกรเอ๊ง!”
“เธอก็ต้องเล่าด้วยต่างหากล่ะ สไปรท์”
“อะ เอ๋? ทะ ทำไมเป็นงั้นอะ…”
เมื่อผมแทรก สไปรท์ก็ทำหน้ากังวล
ผมอธิบาย
“มีบทลงโทษไม่ใช่หรือไง? ขนาดพี่ต้นที่ไม่ถนัดยังยอมเล่นกับเธอเลยนะ เพราะงั้นเธอก็ต้องเล่นด้วย ฉันไม่ยอมให้นั่งฟังเฉยๆหรอก”
“ตะ แต่หนูเป็นคนแจกรางวัลนะ”
“งั้นใช้เสียงข้างมากแล้วกัน เอ้า ใครที่คิดว่าสไปรท์ต้องลงแข่งด้วย ยกมื…”
“เมื่อไหร่จะเริ่มสักทีคะเนี่ย!? เดี๋ยวก็หมดเวลาชมรมก่อนหรอก!!!”
รองประธานที่ทนไม่ไหวกับความเอื่อยของผมกับสไปรท์ก็ตะโกนลั่นห้องอีกรอบ
…สุดท้ายก็ต้องเสียเวลาปรับอารมณ์ใหม่อีก ผมที่เริ่มจะเห็นใจพลอยจึงรับหน้าที่พิธีกรเอง
“ต่อจากนี้ฉันจะเป็นคนดำเนินการให้ แน่นอนว่าฉันก็จะเล่าด้วยเหมือนกัน เพื่อความเท่าเทียม”
“““““ครับ/ค่ะ”””””
“และเพื่อความเท่าเทียมจริงๆ ฉันจะใช้การสุ่มเพื่อหาลำดับการเล่า เข้าใจนะ?”
ทุกคนพยักหน้า
ผมเปิดโทรศัพท์และหาเว็บสำหรับสุ่มวงล้อ เมื่อใส่ชื่อสมาชิกสภาทั้งหกรวมตัวเอง ก็กดหมุน
และคนแรกก็คือ…
“ดิว เธอก่อน”
ผีปอบพร้อมด้วยลูกเจี๊ยบบนไหล่พยักหน้า แต่ว่านะ…เอ็งไม่เกี่ยวสักหน่อย ไอ้ลูกเจี๊ยบ
ผมยื่นไมค์(?)ให้ ดิวรับไว้ด้วยใบหน้านิ่งๆ
“…”
“เริ่มได้เลย”
“…เป็นเรื่องของเพื่อนน่ะ…”
เห เริ่มได้สวยเหมือนกันนี่ เพื่อนที่ว่านั่นมีจริงรึเปล่าก็ไม่ทราบ แต่การเกริ่นมาแบบนั้นทำให้ผู้ฟังตามหาความจริงได้ยาก
หรือก็คือเป็นการเกริ่นที่สามารถใส่เต็มในเรื่องราวได้ทันที
และเรื่องที่หนึ่งก็เริ่มขึ้น…
+ +
เด็กสาวคนหนึ่งมีนามว่า เอ
เธอเป็นเด็กที่เติบโตมาด้วยกันกับเด็กสาวอีกคน บี …ทั้งคู่สนิทสนมกันมาตั้งแต่เด็ก เนื่องจากคุณแม่ของพวกเธอรู้จักกันตั้งแต่สมัยเรียน
บีนั้น ชื่นชอบการเข้าไปเล่นในป่า เอที่โดยนิสัยแล้วไม่ชอบออกแรง จึงไม่ค่อยสันทัดกับกิจกรรมนั้นของบีสักเท่าไหร่ เอจึงปล่อยให้บีไปเล่นโดยที่ตัวเองจะรออยู่ที่บ้านเป็นส่วนใหญ่
กระนั้น ด้วยความที่ว่าบีคะยั้นคะยอทุกวัน เอที่ใจอ่อน เธอจึงได้ไปเล่นในป่ากับบีด้วย
วันนั้น…เป็นวันที่ฟ้ามืดครื้มกว่าทุกวัน
เอเดินตามหลังบีที่แสดงท่าทีร่าเริงอย่างเห็นได้ชัด
“บะ บี เราจะไปไหนกันเหรอ?”
บียิ้มตอบว่า
“มีคนอยากแนะนำให้รู้จักน่ะ”
แม้สีหน้าจะยิ้มแย้ม แต่ถ้อยคำนั้นก็ส่งผลให้จิตใจของเอเริ่มเกิดความกังวล
เดินมาหลายนาทีจนเมื่อยแข้งเมื่อยขา สุดท้ายก็ถึงที่หมาย…
“ถึงแล้วล่ะ พี่เขาอยู่หลังต้นไม้”
บีว่าเช่นนั้น
เอดึงเสื้อบีที่กำลังจะเดินเข้าไปในจุดที่ว่า คงเพราะมองเห็นว่าบรรยากาศไม่น่าวางใจ
“บะ บี กลับกันเถอะ…”
“ไม่ต้องอายหรอก! พี่เขาเล่นกับฉันตลอด เอเป็นเพื่อนสนิทฉัน เพราะงั้นต้องสนิทกับพี่เขาได้แน่นอน!”
พี่
สรรพนามสั้นๆ ที่บีพูด ไม่รู้ทำถึงได้น่าหวาดหวั่น
ขณะที่เอก้าวถอยหลัง บีที่เห็นดังนั้นก็ดึงแขนของเอ
“ปะ ปล่อยนะ!”
“พี่เขาเรียกแล้วแน่ะ”
บีเป็นเด็กสาวน่ารัก ถึงแม้จะแก่นๆ ไปสักหน่อย แต่ก็ไม่เคยใช้ความรุนแรงกับเอ
ทว่า บีกลับกำแขนเอแน่น
เอที่โดนลากแกมบังคับ ความกลัวก็ค่อยๆกัดกินจิตใจ
จนกระทั่งมาหยุดที่อยู่ด้านหน้าพุ่มไม้ บีก็ปล่อยแขน
เอไม่กล้าที่จะเดินต่อ แต่พอหันกลับไป ก็พบว่าบียืนนิ่งราวกับไม่ยอมให้เอไปไหนจนกว่าจะเจอกับ ‘พี่’
อึก…
เอกลืนน้ำลายก้อนโต และเข้าไปหลังพุ่มไม้…
“กริ๊ด…!”
+ +
“…จบแล้ว”
ดิววางไมค์สมมุติลงด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิม
ทั้งห้องเงียบสงัด
และผมก็เป็นคนพูดขึ้นคนแรก
“หะ?”
“…จบแล้ว”
“รู้แล้วว่าจบ แต่ไม่เฉลยหน่อยเหรอว่าเอเจออะไร?”
“…ผี”
“หะ?”
“…เจอผี”
“เดี๋ยวๆ เจอผีในป่ามันน่ากลัวตรงไหน? แล้วไอ้ที่เกริ่นๆตอนแรกว่าสนิทกันตั้งแต่เด็กนี่มันมีผลต่อเนื้อเรื่องด้วยเหรอ?”
ดิวเอียงคอรับคำถาม
“…ไม่รู้”
“เอเข้าป่าตามบี เจอผีหลังพุ่มไม้ แค่นี้เหรอ?”
“…อืม”
ดิวเหมือนจะขี้เกียจอธิบายมากกว่านั้น
สไปรท์ชกไหล่ผม
“นี่พี่คริสโตเฟอร์ จะถามอะไรมากมายเนี่ย? ถ้าพี่คิดว่าไม่น่ากลัวก็เก็บไว้สิ สุดท้ายก็ต้องลงคะแนนกันอยู่ดี”
“รู้น่า แล้วเธอคิดว่าน่ากลัวเรอะ? ไอ้เรื่องเมื่อกี้”
“ไม่อะ”
สไปรท์เสียงแข็ง
ดิวไม่สนใจและหยิบขนมมากินต่อ ดูจากท่าทีแล้ว…เผลอๆคงดีใจซะอีกที่ได้เล่าเป็นคนแรก จะได้กลับไปกินขนม
คือผมว่านะ…ไอ้เรื่องเล่าที่ตัดจบตรงว่าเจอผีเอาดื้อๆน่ะ มันไม่ลวกไปหน่อยเรอะ?
ผมตัดสินใจถาม
“อย่าบอกนะว่าเรื่องที่เธอเล่าน่ะ แต่งเอง?”
“…คิดได้แค่นี้แหละ”
“เข้าใจล่ะ”
ให้เด็กมัธยมที่ไม่ได้เจนด้านเรื่องสยองขวัญเล่า มันก็น่าจะระดับประมาณนั้นล่ะนะ
ดูจากสีหน้าคนอื่นแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าเรื่องที่ดิวเล่าน่ากลัวเหมือนกัน
คิดๆแล้ว …ถ้าได้เห็นดิวที่เงียบๆ ตะโกนหน้าเสาธงว่า สภานักเรียนจงเจริญ นี่ก็น่าสนใจอยู่แฮะ
ก็หวังว่าจะไม่มีใครเล่าห่วยกว่านี้ก็แล้วกัน
ผมคว้าไมค์ขึ้นมา
“งั้นคนต่อไปเลยนะ?”
“““““อือ”””””
และสปินก็ถูกหมุนอีกครั้ง
ผมดูหน้าจอ
คราวนี้คือคิวของคนที่เป็นตัวเต็งว่าจะเล่าห่วยที่สุด…
“ตาพี่เหรอ…”
พี่ต้นลูบต้นคออย่างลำบากใจ
ใช่แล้ว คราวนี้จะเป็นเรื่องเล่าของคนที่ไม่สมควรตะโกนหน้าเสาธงที่สุด กระนั้นจากท่าทีก่อนหน้านี้ กลับเป็นตัวเต็งบ๊วย
ผีกระหังนั่นเอง
พี่ต้นรับไมค์ไป
“เห็นบอกว่าเป็นเรื่องสยองขวัญสินะ งั้นพี่ขอเล่าเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องผีแล้วกัน”
ดีมากครับพี่ ที่จริงเล่าเรื่องผีให้คนในโรงเรียนนี้ไปก็ไม่น่ามีคนกลัวอยู่แล้ว เพราะงั้นขอเป็นเรื่องขนลุกหรือลึกลับได้ยิ่งดี
“เรื่องนี้จากประสบการณ์จริงของพี่เอง…”
และเรื่องที่สองก็เริ่มขึ้น
+ +
ผมเติบโตมาโดยที่มีเชื้อสายของกระหัง
ตั้งแต่ยังเด็ก ก็จะเห็นคุณพ่อใช้กระด้งฝัดข้าวที่กระหังต้องใส่ตลอดเวลา ในการบินไปที่โน่นที่นี่ตลอด
ผมที่รู้ตัวดีว่าตัวเองก็ได้สายเลือดกระหังมาอย่างเข้มข้น ก็เริ่มอยากบินให้คล่องเหมือนคุณพ่อ
“ไม่ต้องรีบหรอกต้น อีกเดี๋ยวก็บินได้เอง”
แต่การฝึกกลับไม่ราบรื่นอย่างที่คิด ไม่ว่าผมจะพยายามแค่ไหน การบินก็เหมือนเป็นเรื่องที่ร่างกายไม่สามารถเข้าใจ
“แต่ผมอยากบินได้เร็วๆ นี่ครับ…”
“อืม งั้นรึ? เอางี้ดีกว่า เดี๋ยวพ่อพาไปที่ดีๆ”
ผมในวัยนั้นนึกสงสัย แต่ความสงสัยก็หมดไปตอนที่คุณพ่อยิ้มแล้วบอกว่า…
“รับรองเลยว่า ลูกจะบินได้แน่นอน!”
จากนั้น คุณพ่อก็ให้ผมขี่คอ ก่อนจะกระพือแขนและพาผมบินไป
…สถานที่ที่มาคือ ภูเขาแถวบ้าน ยอดเขาแห่งนี้จะมีต้นไม้เก่าแก่ที่ผู้คนจะมากราบไหว้ ขนาดตอนนี้ก็ยังเห็นผ้าสามสีพันรอบต้นไม้
ทีแรก ผมก็คิดว่าจะให้ผมมาขอพรหรืออะไรแบบนั้น
ทว่า คุณพ่อกลับพาผมขึ้นมาบนยอดต้นไม้ ที่ความสูงน่าจะเกือบยี่สิบเมตร
“พะ พ่อครับ?”
ผมเรียกท่านด้วยเสียงกังวล
แม้จะไม่ได้เป็นคนกลัวที่สูง แต่ถ้ามาอยู่ในจุดที่สูงถึงเพียงนี้ ความกลัวก็เริ่มพวยพุ่งจนหน้าซีด
และประโยคต่อไปของท่าน ก็ทำให้หน้าที่ซีดของผม ซีดลงกว่าเดิม
“โดดลงไปสิ”
“ดะ โดด…”
ลมที่ปลิวพัดท่อนขา สายลมที่ตีใบหน้า ทำผมกอดเอวคุณพ่อแน่น
“มะ ไม่เอาครับ!”
“โดดสิลูก”
“พะ พะ พะ ผมรอโตกว่านี้ก็ได้ครับ! ไม่รีบ!”
คุณพ่อส่ายศีรษะ
“ไม่ต้องฝืนหรอก พ่อเห็นลูกฝึกฝนอยู่ทุกวันก็ปวดใจ วิธีนี้แหละที่ปู่สอนพ่อตอนเด็กๆ”
ใบหน้าของท่านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม รอยยิ้มที่มองลูกชายแท้ๆของตน
และยังเป็นรอยยิ้มที่นิ่งเสียจนไม่คิดว่าพึ่งพูดออกมาว่าให้ลูกตัวเองโดดลงต้นไม้
“เอาผมลงปาย!!!”
ผมแหกปากพลางกอดเอวคุณพ่อแน่น
“อย่าตะโกนสิลูก! เดี๋ยวพ่อช่วยนะ!”
“ไม่ต้องงงง! พ่อ! ปล่อยผมนะ!!!”
ต่อให้ผมจะร้องเช่นไร คุณพ่อก็พยายามพลักผมลงไปให้ได้
แน่นอนว่าแรงเด็กหรือจะไปสู้แรงผู้ใหญ่ไหว…
“อ๊ะ…”
เสียงนั่น มาพร้อมกับตอนที่ร่างของผม ค่อยๆร่วงลงสู่เบื้องล่าง
คุณพ่อรีบพูด
“ตีแขนสิลูก ตีแขน!”
ด้วยสัญชาตญาณการเอาชีวิตรอด ผมตีแขนอย่างรุนแรง
นึกภาพของคุณพ่อที่ใช้กระด้งฝัดข้าวบิน และทำตามภาพในหัวอย่างร้อนรน อีกไม่กี่วินาทีร่างกายจะกระแทกพื้น…
และผลลัพธ์ของความพยายาม …ผลลัพธ์ของการดิ้นรนสุดชีวิตนั้น
กร๊อบ…!
+ +
“แล้วพ่อพี่ก็ต้องโทรเรียกรถพยาบาลน่ะ กลายเป็นว่าพี่ร่วงลงมาผิดท่า คอเลยหัก”
พี่ต้นว่าเช่นนั้นพร้อมลูบต้นคอตัวเอง
ผมอึ้งไปสักพัก ก่อนถามเสียงสั่น
“ระ หรือว่า ที่พี่ต้นชอบลูบคอตัวเองบ่อยๆ…”
“อืม…มันติดไปแล้วน่ะ บางทีก็รู้สึกเหมือนคอยังไม่ค่อยเข้าที…”
เช้ดเข้…โครตน่าสงสาร
สไปรท์เอ่ย
“แล้วพ่อพี่ทำไงต่ออะ?”
“บอกว่า ‘ลูกตีแขนช้าไป’ แล้วจากนั้นก็ให้ญาติมาสอนพี่บินแทน”
“งั้นก็ผิดที่พี่ต้นเองสิเนอะ?”
“…คงใช่”
ผมขี้เกียจขัดคอสไปรท์ พลางมองหน้าสมาชิกที่เหลือ
เรื่องของพี่ต้นจะว่าเป็นเรื่องสยองขวัญก็ไม่ใช่ แต่จากที่เล่าแล้ว ผมนึกว่าพี่น้ำจะแซวอะไรพี่ต้นเสียอีก
ทว่า พี่น้ำกับนั่งนิ่ง ทำหน้าเหมือนกับพลอยไม่มีผิด
สีหน้าที่กำลังสื่อว่า ‘น่าสงสาร…’
“ก็มีแค่นี้แหละ ไปคนต่อไปเลยก็ได้ น้องประธาน”
“อะ ครับ”
อืมๆ ไม่ต้องออกความเห็นแหละดีแล้ว ยังไงก็ใช้การลงคะแนนในตอนสุดท้ายอะเนอะ แล้วที่พี่ต้นเล่าน่ะ พี่แกก็คงไม่คิดว่าน่ากลัวเหมือนกัน
บางที…อาจจะแค่อยากเล่าเฉยๆ…
ไม่ดิ ถ้าลองคิดในมุมว่าตัวผมเป็นพี่ต้นแล้วล่ะก็ เรื่องเมื่อกี้แม่*โคตรน่ากลัวเลยนี่หว่า
เคสที่ 26 เรื่องเล่า /มีต่อ