สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 48 เคสที่ 24 การรีโนเวทห้องสภา
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 48 เคสที่ 24 การรีโนเวทห้องสภา
ห้องสภา
บรรยากาศเงียบอึมครึม ซึ่งก็เหมาะสมกับสถานที่อันสุดแสนจริงจังอย่างห้องสภาเป็นอย่างดี
กระนั้น ผมกลับรู้สึกว่า…
ไม่สิ ไม่ใช่รู้สึกเฉยๆ บางทีต่อให้ใครมองเข้ามาก็คงคิดคล้ายๆกัน
ภายในห้องสภาที่มีความกว้างไม่ต่างจากห้องชมรมอื่นๆ สถานที่ใช้สอยก็มีเพียงโต๊ะและโซฟาสำหรับรับแขกที่อยู่กลางห้อง ซึ่งตอนนี้มีสมาชิกสภานั่งรอรับงานจากลูกเคส
ห้องเก็บของไม่ขอพูดถึง เพราะห้องเก็บของก็ส่วนห้องเก็บของ
…ที่จะขอพูดคือส่วนที่สมาชิกสภานั่งรออยู่นั่นแหละ
“อืม…”
ผมนั่งอยู่โต๊ะประธาน
พลอยอยู่โต๊ะรับแขก
ดิวอยู่โต๊ะรับแขก
พี่ต้นก็โต๊ะรับแขก
…แค่นี้ก็รู้แล้วว่าห้องสภาแน่นเอี๊ยดจนน่าอึดอัดมากแค่ไหน
สมาชิกคนอื่นนอกจากผมไปนั่งอัดกันอยู่โต๊ะรับแขกเนี่ยนะ? แถมถ้ามีเคสเข้าเมื่อไหร่ ยังต้องรีบย้ายที่นั่งเพื่อรับแขกด้วย
น้านแหละ ปัญหาไม่ใช่ว่าห้องแคบเกินไป
มันอยู่ที่เฟอร์นิเจอร์สำหรับใช้สอยมันไม่พอต่างหาก!
“ใช่แล้ว!!!”
“ว้าย!?”
พลอยสะดุ้งตัวลอยเมื่อจู่ๆผมตะโกนท่ามกลางความเงียบ
เธอหันสายตาหงุดหงิดใส่
“ทำไมถึงตะโกนขึ้นมาคะเนี่ย!? ฉันตกใจนะคะ!”
“หุบปาก! คนอุตส่าห์คิดเรื่องดีๆออก! อย่าพึ่งขัดได้มั้ย!?”
พอผมว่าไปแบบนั้น พี่ต้นก็ถาม
“จะทำอะไรเหรอ? น้องประธาน”
“หึหึหึ คืองี้ครับพี่ต้น …ทั้งสองคนก็ฟังไว้ด้วยล่ะ”
ผมลุกขึ้นพร้อมเดินวนโต๊ะรับแขกจนสมาชิกทั้งสามพากันฉงน
“คือฉันพึ่งได้เป็นประธานปีนี้ปีแรก แถมก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเข้าใจคำว่าสภานักเรียนมาก่อน ห้องสภาที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็ไม่ต่างจากเมื่อปีที่แล้วเลยสักนิด”
ปีที่แล้วประธานนักเรียนไม่ใช่ผม และประธานคนเก่าก็ได้ห้องนี้มาใช้แบบลวกๆ ซึ่งไม่เคยผ่านการบูรณะหรือเพิ่มเติมส่วนสำคัญที่ควรจะเป็นห้องสภา
“ไหนๆก็เทอมสอง ฉันเลยกะว่าจะรีโนเวทเจ้าห้องสภานี่ซะใหม่”
“คงไม่ใช่จะเอาเครื่องคอมมาตั้งใช่มั้ยคะ?”
“ไม่ใช่เฟ้ย …แต่ก็นะ ถ้ามีโต๊ะส่วนตัวกันแล้วล่ะก็…ใครจะอยากเอาอะไรมาตั้งก็ตามสบาย”
“““โต๊ะส่วนตัว!?”””
“ถูกต้อง! โต๊ะส่วนตัวสำหรับสมาชิกทุกคนไงล่ะ!”
ถึงว่าทำไมมองห้องสภาทีไรแล้วรู้สึกแปลกๆ เพราะไม่มีโต๊ะให้สมาชิกทุกคนนั่นล่ะ สภาพมันถึงได้เหมือนชมรมดาษๆทั่วไป ที่แค่เอาสมาชิกมานั่งสุมกันในห้อง!
ขนาดดิวที่เอาแต่กินขนมยังทำตาเป็นประกาย ใช่เลย ของมันต้องมีถึงขั้นที่ผีปอบยังสนใจเลยล่ะ
พี่ต้นลูบต้นคอ
“ฟังดูดีอยู่นะ แต่เราจะไปหาโต๊ะมาจากไหนล่ะ? หรือว่าจะแบ่งมาจากงบประมาณชมรมไปซื้อ?”
“อาจจะดีก็ได้ครับนั่น …ยังไงงบประมาณบางชมรมก็ใช้แค่ซื้อการ์ตูนอยู่แล้วด้วย”
ตัดงบเจ้าพวกที่ว่านั่นให้เฮี้ยน แล้วเอามาซื้อโต๊ะให้สมาชิกสภายังเป็นการใช้เงินที่คุ้มค่ากว่าซะอีก
หรือที่จริงจะใช้เงินผมก็ได้ แต่ต่อให้มีเงินถุงเงินถัง บางจังหวะมันก็ไม่เหมาะที่จะเอามาใช้ และจังหวะนี้ก็ไม่เหมาะด้วย
ห้องสภาเป็นสมบัติของโรงเรียน ถ้าจะต่อเติมก็ต้องไปถามเจ้าของโรงเรียน
ผมที่ตัดสินใจได้ดังนั้นก็กำลูกบิดประตู
“ไปไหนเหรอคะ? ประธาน”
“ว่าจะไปปรึกษาครูใหญ่สักหน่อย”
ว่าแล้วผมก็ออกจากห้องสภา มุ่งหน้าสู่ห้องครูสมศักดิ์ ไม่ลืมที่จะแขวนป้ายว่าตอนนี้สภานักเรียนปิดการช่วยเหลือชั่วคราวไปด้วย ทำถึงขนาดนี้วันนี้ต้องจัดการให้เสร็จล่ะนะ
.
.
.
“อย่างที่ว่าแหละครับ พอมีโต๊ะเก้าอี้เหลือสักหกชุดมั้ยครับ?”
ผมร่ายความคิดสุดบรรเจิดในการปรับปรุงห้องสภาให้อีกฝ่ายฟัง
ครูสมศักดิ์รับคำถามพร้อมกอดอก
“ครูก็ไม่แน่ใจ…บางทีอาจต้องไปถามภารโรงไม่ก็ครูประจำชั้นเอาน่ะ พอดีครูไม่ได้มีหน้าที่เช็กอุปกรณ์ซะด้วย”
“…พึ่งไม่ได้สินะ”
“เดี๋ยวเถอะ”
ครูใหญ่ทำหน้าเคืองเล็กน้อยก่อนทุบกำปั้น
“จริงสิ! มีโต๊ะที่เหลือจากตึกเรียนที่พึ่งทุบไปนี่นา”
“ตึกเรียนเก่าน่ะเหรอครับ?”
“ใช่ๆ ทุบไปแล้วแต่ยังสร้างไม่เสร็จน่ะ ก็เรียบร้อยไปตั้งแต่ตอนปิดเทอมแล้วแหละ เธอยังไม่ได้ไปดูสิท่า”
จะดูให้มันได้อะไรเล่า แล้วก็นะ…เห็นบอกว่าจะสร้างให้เสร็จก่อนเปิดเทอมไม่ใช่เรอะ? จะบอกว่าตอนนี้ไอ้บริเวณตึกเรียนเก่ากลายเป็นพื้นที่โล่งๆ ที่ยังไม่สร้างบ้าอะไรเลยเนี่ยนะ?
ใช้พื้นที่ได้เสียเปล่าจริงๆ
“พวกโต๊ะเก้าอี้หรืออะไรพวกนั้นก็ขนออกมาหมดแล้ว ตอนนี้น่าจะกองอยู่แถวๆนั้นแหละ คริสโตเฟอร์พาเพื่อนๆไปยกมาใช้เลยก็ได้”
“โต๊ะที่จะพังแหล่มิพังแหล่นั่นน่ะเหรอ?”
สภานักเรียนทั้งที ทำไมต้องให้สมาชิกได้โต๊ะส่วนตัวเป็นของเก่าโกโรโกโสแบบนั้นด้วย?
“อย่าเรื่องมากสิ ประธานคนเก่ายังไม่เรื่องมากขนาดนี้เลยนะ”
“ยัยนั่นไม่ได้เรื่องน้อยสักหน่อย แค่ไม่สนบ้าอะไรเลยต่างหาก …เพราะงี้สภาพห้องสภาถึงได้ไม่พัฒนาจนผมต้องลำบากเนี่ยแหละ”
“อืม…งั้นถือว่าช่วยครูหน่อยก็แล้วกัน อย่างน้อยเอาโต๊ะพวกนั้นไปใช้ในสภา ก็ถือเป็นการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่านี่นะ”
.
.
.
“ก็ตามนี้แหละ คงต้องไปขนอันที่สภาพดีๆมาใช้ล่ะนะ”
ผมบอกเรื่องที่คุยกับครูใหญ่ให้สมาชิกสภาฟัง ข้อสรุปคือต้องไปขนโต๊ะเก้าอี้มาจากจุดที่เคยเป็นตึกเรียนเก่า
พลอยหัวเราะในลำคอ
“โธ่…เห็นพูดซะดูดี สุดท้ายก็ต้องใช้ของเหลืองั้นเหรอคะ?”
“อย่าเรื่องมาก!”
“ค่าๆ”
พลอยที่เหมือนจะผิดหวังก็สะบัดตัวเดินออกไปจากห้อง ถึงปากจะดื้อดึงแต่ก็จะไปขนมาจริงๆ
ผม ดิว และพี่ต้นเดินตามออกไป
ดิวเงยหน้าถามขณะกำลังเดินไปยังตึกเรียนเก่า
“…นี่คริสโตเฟอร์”
“ว่าไง?”
“…มีโต๊ะส่วนตัวก็ดี …แต่ห้องจะไม่แน่นกว่าเดิมเหรอ?”
“แค่โต๊ะเพิ่มมาหกตัวคงไม่แน่นขนาดนั้นหรอก เผลอๆถ้าจัดให้สวยๆ อาจจะดูดีกว่าเดิมจนไม่รู้สึกแคบเลยก็ได้”
“…เหรอ?”
จะไปรู้มั้ยเล่า ตูไม่เทพขนาดจะขยายห้องสภาได้สักหน่อย
“โต๊ะเก้าอี้หกชุดงั้นเหรอ…พวกเรามีกันสี่คนเอง จะขนมาได้เหรอ? ตึกเรียนเก่ากับตึกชมรมก็ไม่ใช่ใกล้ๆกันนะ น้องประธาน”
“จะว่าไปก็จริงนะครับ”
แม้ไม่นับเรื่องความหนัก แต่จากรูปลักษณ์ของมนุษย์ที่ใช้เพียงสองแขนในการหยิบจับ การที่จะขนทั้งเก้าอี้ทั้งโต๊ะกลับไปนั้นเป็นไปได้ยาก
คงต้องหารถบรรทุกหรืออะไรสักอย่าง…จะให้ขนไปมาหลายๆรอบก็เหนื่อยเกินความจำเป็น
ขณะคิดแบบนั้นพร้อมเดินผ่านร้านขายของชำ ก็เห็นว่ามีรถบรรทุกมาจอดด้านหน้าร้านพอดี
ดูเหมือนจะมาลงของ
พวกผมมองไปที่รถคนนั้นเป็นตาเดียว
“น้องประธาน…”
“พอดีเลยนะครับเนี่ย”
“จะขอยืมสินะ?”
“ต้องงั้นแหละครับ”
“พี่ขับไม่เป็นนะ”
“ผมยังไม่ได้จะให้พี่ต้นขับสักหน่อย…”
เห็นผมเป็นพวกชี้นิ้วสั่งไม่ทำอะไรเองรึไงฮึ?
แน่นอนว่าพวกผมสี่คนไม่น่ามีใครขับรถเป็นสักคน ถ้าไปยืมมาใช้มีหวังระหว่างขนกลับมาตึกชมรมอาจจะสร้างความเสียหายให้เขตโรงเรียนได้ ไม่ดิ…จะรอดไปถึงตึกเรียนเก่าได้รึเปล่ายังไม่รู้เลย
“ถ้าเป็นคุณป้าเขาคงให้ยืมง่ายๆล่ะมั้ง? แต่ปัญหาอยู่ที่คนขับนี่สิ”
“นั่นสินะ จะให้รบกวนคุณป้ามาทำธุระให้พวกเราก็ไม่ได้”
“…ให้เจี๊ยบขับมั้ย?”
“ถึงจะว่างั้นก็เถอะพี่ต้น แต่พวกเราคงต้องรบกวนจริงๆนั่นแหละครับ ไม่งั้นก็ไม่รู้จะไปต่อยังไงเหมือน…เฮ้ย? เมื่อกี้เธอว่าไงนะ?”
ผมกับพี่ต้นหันคอกลับไปหาเด็กสาวสวมฮู้ดที่ยืนเคี้ยวขนมพูดแทรกขึ้นมาเมื่อกี้
ดิวเอ่ยเสียงเรียบๆตามเดิม
“…ให้เจี๊ยบขับมั้ย?”
“ขับอะไร?”
“…ก็รถไง?”
เมื่อดิวว่า ลูกเจี๊ยบขนเหลืองบนไหล่ก็โบกปีก
“จิ๊บ!”
ไม่ไม่ไม่ ไม่ต้องจิ๊บบ้าจิ๊บบออะไรทั้งนั้นแหละแก ตัวเท่าฝ่ามือมันจะไปขับรถได้ไงเล่า!
ผมส่ายศีรษะและกลับมาที่เรื่องเดิม
“เดี๋ยวจะลองไปขอร้องคนขับดูแล้วกัน จากที่มองน่าจะเป็นผัวคุณป้าเขา คงรบกวนได้แหละ”
“เดี๋ยวก่อน น้องประธาน”
ผมที่โดนพี่ต้นจับไหล่ก็ขมวดคิ้วใส่
พี่ต้นพูดต่อ
“ดูสายตาของเจี๊ยบสิ”
ไอ้ตาขุ่นๆของลูกเจี๊ยบมันมีอะไรเรอะ? ถึงผมจะคิดแบบนั้นแต่ก็มองไปตามที่พี่ต้นว่า
“นั่นมันเป็นสายตาของคน(?)ที่เคยผ่านประสบการณ์ขับรถมาอย่างโชกโชนเลยนะ”
“พี่ต้นพูดบ้าอะไรอยู่น่ะครับ?”
“พี่ว่า…ถ้าเป็นเจี๊ยบต้องขับได้แน่”
วันนี้พี่ต้นไปทำสมองตกไว้ที่ไหนรึเปล่านะ?
“เหยียบเบรกยังไม่ถึงเลยมั้งครับ…นั่นน่ะ”
“ขอพี่คุยกับเจี๊ยบแป๊บนึง”
ผมมองพี่ต้นที่เอาเจี๊ยบจากไหล่ดิวมาไว้บนมือ เจี๊ยบกำลังจิ๊บๆอะไรสักอย่างให้พี่ต้นฟัง
“อืม…อืม…อืม”
พี่ต้นพยักหน้าให้เจี๊ยบ
ขณะกำลังประหลาดใจที่พี่ต้นฟังเจี๊ยบพูดรู้เรื่องนั่นเอง
พี่ต้นก็มองไปที่ดิว
“แปลให้พี่หน่อยสิ น้องดิว”
…ตกลงฟังไม่ออกสินะ
จากนั้นดิวก็พูดกับพี่ต้นโดยที่เธอกลายเป็นล่ามแปลภาษาให้
สุดท้ายพี่ต้นก็คืนเจี๊ยบให้และบอกกับผม
“ไปยืมรถได้เลย น้องประธาน”
“สต๊อปปุ พี่คิดว่าผมจะยอมให้เจี๊ยบขับรถกระบะจริงดิครับ?”
ไม่ใช่การ์ตูนตลกนะเฮ้ย
พี่ต้นส่ายศีรษะ
“เจี๊ยบบอกวิธีกับพี่มาแล้วล่ะ ที่จริงก็เป็นน้องดิวแปลให้นั่นแหละ”
“…เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้ …แต่วิธีที่ว่าเนี่ย…”
หลังจากยืมรถมาจากคุณป้าร้านของชำ อย่างที่คิด คุณป้าให้ยืมง่ายๆเลยล่ะ ใจดีสุดๆ
แน่นอนว่าผัวคุณป้าที่เป็นคนเอาของมาส่ง ก็อาสาจะเป็นธุระให้ …ซึ่งเป็นอย่างนั้นคงจะดีกว่า ไม่สิ ดีสุดๆเลยนั่นแหละ แต่ไม่รู้คุณต้นเขาเป็นบ้าอะไรถึงได้ปฏิเสธเสียงแข็ง
จนตอนนี้ก็ได้รถมาเรียบร้อย โดยคนที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับคือพี่ต้น…
…ไม่ใช่พี่ต้นธรรมดา แต่เป็นพี่ต้นที่มีเจี๊ยบนั่งอยู่บนหัวอีกที แถมยังจับเส้นผมพี่ต้นเหมือนเป็นคันบังคับด้วย ให้นึกภาพว่าเหมือนในเรื่องระทะทูอี่ก็น่าจะได้…
“จิ๊บ!”
“ขึ้นมาเลย! น้องประธาน!”
“ไม่ขึ้นว้อย!”
พวกผมสามคนมองอยู่ด้านนอกรถด้วยสีหน้าไปคนละทิศคนละทาง
มีแค่ดิวคนเดียวเท่านั้นที่ไม่แสดงสีหน้ากังวลอะไรเลย
พลอยกระซิบข้างหู
“วันนี้พี่ต้นเขาดูปัญญานิ่มยังไงไม่รู้นะคะ?”
“อย่าพูดดังสิ…”
พี่ต้นกำพวงมาลัยแน่น
“ไม่ต้องห่วงนะ พี่เป็นแค่หุ่นเชิดให้เจี๊ยบเท่านั้นเอง”
“ไอ้ที่พี่พูดมานั่นมันน่าห่วงสุดๆเลยนะครับ”
“เจี๊ยบขับรถเป็น แค่แขนกับขาไม่ถึง เลยให้พี่เป็นคนขับ …ถึงพี่จะขับรถไม่เป็นแต่ถ้าใช้วิธีนี้ล่ะก็ เจี๊ยบจะแสดงความสามารถออกมาได้เต็มที่”
…รีบไปเรียกพี่น้ำมาดีมั้ยนะ รุ่นพี่ผีกระหังตูเป็นส้นเท้าอะไรไม่รู้
ผมลองมองหน้าพี่ต้น
ไม่มีความลังเลเลยสักนิด มั่นใจลูกเจี๊ยบอย่างเต็มเปี่ยม
ผมจึงยื่นคำขาดสุดท้าย
“ผมจะถามอีกรอบนะครับพี่ต้น …ให้ผัวคุณป้าเขามาขับมั้ย?”
“ไม่เป็นไร พี่ไหว”
ไม่ไหวสักหน่อย
“ถ้าพวกน้องประธานไม่ไว้ใจ งั้นเดินตามไปจนถึงตึกเรียนเก่าก่อนแล้วกัน ถ้าเห็นว่าไม่มีปัญหา ขากลับค่อยขึ้นมาด้วยกัน”
“เป็นความคิดที่ดีครับ เอ้า ไปกันเถอะ พลอย ดิว”
ผมตอบทันควัน และเริ่มเดินไปตึกเรียนเก่าทันที
…จนผมมาถึงตึกเรียนเก่า รถกระบะที่พี่ต้นกับเจี๊ยบขับก็พึ่งตามมา
เรียกว่าขับช้าจนน่าใจหาย แต่ถ้านับเรื่องความปลอดภัยแล้ว ขับช้าๆอาจจะดีกว่า ดูเหมือนพี่ต้นก็ไม่ได้ประมาทอย่างที่คิดแฮะ
ผมจ้องเข้าไปด้านใน เจี๊ยบที่สังเกตเห็นก็โบกปีกให้
เออน่ะ มองทางไปเถอะ
เจี๊ยบโยกเส้นผมพี่ต้น รถกระบะก็ขับช้าๆไปเรื่อยๆ จนเข้าใกล้กับกองโต๊ะเก้าอี้ที่มาวางรวมไว้ที่โล่งๆซึ่งเคยเป็นตึกเรียนเก่า
พลอยถามด้วยเสียงกังวล
“จะชนแล้วนะคะ?”
“อืม จะชนแล้ว”
แต่สีหน้าพี่ต้นยังเรียบเฉย คงจะเบรกอย่างฉิวเฉียดใกล้ๆกองโต๊ะ เพื่อที่จะได้ไม่ต้องยกกันเหนื่อยสินะ
รถเคลื่อนช้าๆ
“ปะ ประธาน…จะชนแล้วนะคะนั่นน่ะ…”
“เชื่อใจพี่ต้นสิ ฉันก็เชื่อใจมาตลอด”
“…แล้วทำไมไม่ขึ้นไปกับพี่ต้นแต่แรกน่ะคะ…”
“ฉันไม่เชื่อใจเจี๊ยบน่ะ”
โครม!
เสียงดังสนั่นหวั่นไหว
รถกระบะกระแทกเข้ากับกองโต๊ะ คงพลาดไปนิดหน่อยนั่นแหละ เอาเถอะ ยังไงก็มีเหลือหลายตัวด้วย พังสักตัวจะเป็นไรไป…
ครึก! ครึก!
ถึงจะชนไปแล้ว แต่รถกระบะที่ขับเอื่อยๆนั่นก็ไม่มีท่าทีจะหยุดเลยสักนิด เสยทับโต๊ะเก้าอี้จนพังกระจาย
“ประธานคะ!? นั่นคือแย่แล้วรึเปล่าคะ!?”
“ยังไม่แย่สักหน่อย เจี๊ยบขับอยู่ไม่ใช่เหรอ? คงผิดพลาดจังหวะเหยียบเบรกนั่นแหละ ถึงจะพังไปนิดหน่อย แต่ถ้าเบรกตอนนี้ก็จบปัญหา…”
พูดยังไม่ทันจบ ผมก็รู้สึกว่าไหล่หนักขึ้น
เมื่อผมหันไปมอง
“จิ๊บ?”
“แล้วเอ็งมาอยู่ตรงนี้ได้ไงเนี่ย!? พี่โต้นนนน!!!”
ผมตะโกนเรียกพี่ต้นที่ตอนนี้ขับรถอยู่คนเดียวทั้งที่พี่แกขับไม่เป็น
“นะ น้องประธาน!”
“เหยียบเบรกสิครับ! เบรกน่ะเบรก!”
ครึก ครึก! กร๊อบ!
เสียงล้อรถกระบะบดโต๊ะเก้าอี้
พี่ต้นตะโกนระหว่างที่เสียงดังกล่าวยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“บะ เบรกอยู่ตรงไหน!?”
“ปัดโธ่ว้อย!!!”
.
.
.
“นี่คริสโตเฟอร์…”
“ครับ…”
“คือถ้าไม่อยากใช้ก็บอกกันดีๆก็ได้ …ไม่เห็นต้องไปชนจนพังแบบนั้นเลย…”
“ผมไม่ผิดนะครับ…”
ตอนนี้ผมอยู่ที่ห้องครูใหญ่ พร้อมนั่งนิ่งด้วยสีหน้าเศร้าโศก
หลังจากที่รถกระบะสูญเสียการควบคุมชนโต๊ะเก้าอี้ของตึกเรียนเก่าพังเละไม่เหลือ พวกผมก็รีบช่วยพี่ต้นออกมาจากรถ เคราะห์ดีที่พวกคุณป้าร้านของชำเป็นห่วงเลยตามมาดู สุดท้ายเลยสามารถนำรถกลับมาอยู่ในการควบคุม
ไม่มีคนบาดเจ็บ มีเพียงรถที่พังยับเยิน กับโต๊ะเก้าอี้ที่พังไม่มีชิ้นดี
พวกคุณป้าไม่ได้ใส่ใจ ผมกะชดเชยค่าเสียหายให้ แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ไม่รับ พวกผมจึงทำได้แค่ขอโทษกันยกใหญ่
ครูสมศักดิ์ที่ทราบเรื่องจากที่ผมมารายงานก็กุมขมับ
“เธอบอกว่าให้ลูกเจี๊ยบขับรถให้เหรอ…”
“พอจู่ๆพูดแบบนั้นก็ยังไงอยู่…แต่ที่จริงเป็นเรื่องของความไว้เนื้อเชื่อใจน่ะครับ”
“…งั้นรึ”
วันนี้ครูเขาพูดน้อยกว่าทุกที พึ่งเคยเห็นเขาทำหน้าปวดขมับหนักขนาดนี้ก็ครั้งแรก
“ครูไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน…เอาเป็นว่าวันนี้กลับไปก่อนเถอะนะ”
“ครับ ขอโทษจริงๆนะครับ…”
ผมขอโทษและออกมาจากห้องครูใหญ่ โดยที่มีสมาชิกสภายืนรออยู่
“เป็นไงบ้างคะ? ประธาน”
“ไม่โดนโกรธน่ะ…แต่ทำหน้าผิดหวังน่าดู”
“นั่นสินะคะ เล่นพังโต๊ะซะขนาดนั้น…”
โต๊ะเก้าอี้ที่ครูใหญ่พยายามหาทางนำไปใช้สอยให้เกิดประโยชน์สูงสุด แถมยังยกให้พวกผมใช้ฟรีๆ กลับโดนพวกผมพังทิ้ง
จะผิดหวังก็ไม่แปลก
ผมหรี่ตามองเจี๊ยบสลับกับพี่ต้น
พี่ต้นรีบพูด
“ทะ ถ้าจะโทษก็โทษพี่คนเดียวเถอะ! เจี๊ยบไม่ผิดนะ!”
ตูโทษแน่ไม่ต้องห่วง นึกยังไงถึงไปไว้ใจลูกเจี๊ยบนี่กันฮึ? ผมก็ผิดด้วยที่ไม่ยอมห้ามให้เด็ดขาด
“จิ๊บ…จิ๊บ!”
ดิวแปลให้พวกผมฟัง
“…เจี๊ยบบอกว่าพอไปถึงตรงนั้นเบรกก็ใช้งานไม่ได้น่ะ …คงเพราะวิญญาณ?”
“ไม่ต้องเอาผีสางมาอ้างเลยนะว้อย!”
โดยสรุป ผมก็ยังไม่ได้ห้องสภาตามที่หวัง
จริงๆ ที่หวังไว้ตอนแรกคือครูใหญ่จะออกงบพิเศษให้ไปซื้อนั่นแหละ …แต่ตอนนี้โต๊ะก็ไม่เหลือแล้วด้วยสิ ถ้าจะให้งบก็ต้องตอนนี้แล้วสินะ?
ผมกลับหลังหันกำลูกบิดประตูห้องครูใหญ่
แต่แล้วก็ปล่อยมือ
…ไว้รอครูเขาหายเคือง…ค่อยไปขอแล้วกัน…
เคสที่ 24 การรีโนเวทห้องสภา /มีต่อ?