สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 40 เคสที่ 19 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกช้างด้วย
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 40 เคสที่ 19 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกช้างด้วย
ข้ามผ่านวันอาทิตย์ ซึ่งผมได้ใช้เวลาในการทบทวนบทเรียนของตัวเองเล็กน้อย ในที่สุดก็เข้าสู่วันแรกของสัปดาห์แห่งการสอบ
ใบหน้าเหล่านักเรียนที่มุ่งสู่โรงเรียนอาคมจิตตวิทยานั้น เต็มไปด้วยความง่วงเหงาหาวนอน พร้อมทั้งในมือก็ถือหนังสืออ่านไปด้วย
คงจะโต้รุ่งอ่านหนังสือกันนั่นแหละ
ถึงจะว่าแบบนั้น ก็ยังเห็นกลุ่มนักเรียนบางคนที่กระปี้กระเป้าผิดกับคนรอบข้าง
เป็นไปได้ว่าเจ้าพวกนี้คือไม่อ่านหนังสือ ได้แต่ใช้เวลาหยุดอันแสนมีค่าในการเที่ยวเล่น ไม่ก็เล่นเกม การอ่านหนังสือไม่อยู่ในความคิด…
เอาเถอะ ผมไม่ว่าอะไรหรอก แถมไม่มีสิทธิ์ด้วย
ชีวิตตัวเอง อยากทำอะไรก็ทำเถอะ
“น้องประธาน”
เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดที่หัวไหล่ทำผมหันกลับไป
“หวัดดีครับ พี่ต้น …หน้าพี่ดูไม่ค่อยง่วงนอนเท่าไหร่เลยนะครับ?”
หนุ่มรุ่นพี่ผีกระหังที่ยกกระเป๋าข้ามหัวไหล่ได้ยินดังนั้นก็โบกมือเบาๆ
“พี่ไม่ได้อ่านหนังสือทั้งคืนนี่นะ แค่อ่านก่อนนอน …โหมอ่านไปเดี๋ยวจะพาลให้ทำข้อสอบไม่ได้กว่าเดิม”
“ก็พูดไป อย่างพี่ต้นก็ไม่ตกสักวิชาอยู่แล้วนี่ครับ”
“อืม ว่างั้นก็ใช่อยู่หรอก แต่พี่ไม่ได้หัวดีเหมือนน้องประธาน…ไม่อยากพลาดเพราะนอนไม่พอหรอกนะ”
ว่าแล้วพี่ต้นก็ยิ้ม
ปกติพี่ต้นก็มาโรงเรียนเช้าอะนะ แค่ส่วนใหญ่จะลาดตระเวนรอบๆทางเข้าโรงเรียนก่อน แต่ตอนนี้คือช่วงสอบ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้นให้เสียเวลา
“เออใช่ แล้วพี่น้ำเป็นไงบ้างครับ? ที่พี่ต้นติวให้น่ะ”
พี่ต้นนึกถึงเรื่องเมื่อวันที่ผ่านมาก่อนตอบด้วยเสียงไม่มั่นใจ
“พอไปวัดไปวาไหว …มั้งนะ เพราะไม่ได้ติวให้เยอะขนาดนั้นด้วยสิ ยัยนั่นขี้เกียจตัวเป็นขน”
“น่าเป็นห่วงจังนะครับเนี่ย”
“แต่อาจจะไม่ตกเลยก็ได้ ถึงจะเห็นอย่างนั้น ยัยนั่นก็คงไม่อยากสอบตกให้น้องประธานที่จริงจังขนาดนี้เห็นหรอก”
จริงจังงั้นเหรอ? ก็จริงแฮะ เล่นจับคู่ติวให้เลยนี่นา
พี่ต้นหัวเราะพูดต่อ
“น้ำกลัวน้องประธานเตะออกสภาน่ะ …ถึงภายนอกจะดูไม่สนใจ แต่ก็ไม่ได้เมินเฉยสภานักเรียนหรอกนะ”
“พูดถึงพี่น้ำอยู่จริงๆเหรอครับ?”
“อืม น้ำนั่นแหละ”
ไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่เลยแฮะ ต่อให้จะออกมาจากปากพี่ต้นก็เถอะ
อย่างคนที่สภาก็ไม่เข้า แถมยังไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลยเวลาผมตำหนิ ครั้นจะให้คิดว่ากลัวโดนเตะออกสภาจนต้องขยันทำข้อสอบก็เกินจริงไปนิด
แต่ก็…ถ้าเป็นอย่างที่พี่ต้นว่าจริงๆ งั้นก็คงไม่เห็นพี่น้ำสอบตกสินะ สอบปลายภาคครั้งนี้
“สำหรับดิวกับสไปรท์ ผมตั้งเป้าไว้ว่าไม่อยากให้ตกเกินครึ่งน่ะครับ …แต่ว่าปีนี้พี่น้ำก็มอหกแล้ว ถ้าตั้งมาตรฐานเดียวกันกับสองคนนั้น เกิดพี่เขาซ้ำชั้นขึ้นมาได้ขำไม่ออกแน่”
“นั่นสิ ซ้ำชั้นตอนมอหกคงไม่ตลกเท่าไหร่ เฮ้อ…งั้นหวังว่ายัยนั่นจะพยายามกว่าสอบครั้งที่ผ่านมาก็แล้วกัน”
พี่ต้นที่คิดภาพตามก็พูดด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจ
ก่อนหน้านี้พี่ต้นก็เคยพูดประมาณ นึกสงสัยว่าทำไมพี่น้ำถึงขึ้นมาถึงมอหกได้ด้วย นี่นะ…
หลังจากคุยเรื่อยเปื่อยพอสังเขป เมื่อผมกับพี่ต้นผ่านเข้าประตูโรงเรียน… ‘ศาลเจ้า’ที่ตั้งอยู่ฝั่งขวาของทางเข้านั้น มองเห็นว่าคนแน่นผิดปกติ
ผมหรี่ตามองด้วยความสงสัย รู้สึกตอนสอบครั้งที่แล้วก็เคยเห็นอะไรประมาณนี้อยู่…
“มีได้ทุกการสอบเลยนะ”
พี่ต้นกอดอก
ผมหันไปถาม
“มีอะไรเหรอครับ?”
“…พวกที่มาขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ตัวเองสอบผ่านน่ะสิ ไม่ไหวเลย ของอย่างนี้ถ้าไม่เริ่มพยายามด้วยตัวเองก่อน แล้วใครจะช่วยได้กัน”
“อืม…ไม่ค่อยเข้าใจเลยครับ คือหมายถึงขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ตัวเองฉลาดขึ้นงี้เหรอครับ?”
พี่ต้นกุมคางรับคำถาม ครุ่นคิดสักพัก
“ประมาณนั้น”
หลักสูตรของประเทศนี้เรอะ?
ขอโชคขอลาภยังพอเข้าใจ แต่เล่นขอให้ตัวเองสอบผ่านนี่…ถ้าไอ้คนขอมันโง่บรมและไม่ได้อ่านหนังสือล่ะก็ เท่ากับว่าเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์พวกนี้ก็ต้องไปแก้กระดาษคำตอบของคนที่มาขอไม่ใช่หรือไงกัน?
ไร้สาระชะมัด
พี่ต้นที่เห็นผมยืนจ้องไปที่กลุ่มคนไหว้ศาลเจ้าเขม็งก็…
“งั้นพี่ไปเข้าห้องเรียนก่อนนะ สอบก็พยายามเข้าล่ะ น้องประธาน”
“อะ ครับๆ พี่ต้นก็ด้วย”
น่าจะอยากรีบไปทบทวนอีกรอบก่อนถึงเวลาสอบรึเปล่า? เดี๋ยวมีเข้าแถวตอนเช้าด้วยสิ หลังจากนั้นก็เริ่มสอบทันที จะอยากอ่านเพิ่มเท่าที่ทำได้ก็สมเป็นพี่ต้น
ส่วนผมที่ค่อนข้างมั่นใจว่าตอนนี้ความรู้อัดแน่นเอี๊ยดในสมอง ก็ได้แต่หรี่มองไปยังศาลเจ้าที่มากไปด้วยไทยมุง
…คือ…มันค่อนข้างติดใจอะนะ
ศาลเจ้าในโรงเรียนก็มีแค่ตรงนี้ที่เดียวด้วย และทั้งสองศาลก็คนรู้จักผมทั้งนั้น
ศาลฝั่งขวาเป็นของคุณตาคุณยาย รายนี้ถ้าจะมีเด็กนักเรียนมาขอก็ไม่แปลก แต่ด้านหน้าศาลดังกล่าวไม่มีคนเลยนี่สิ
หรือก็คือ นักเรียนทั้งหมดล้วนแต่ไปยืนออลกันอยู่ที่ศาลฝั่งซ้าย…
ผมเขยิบออกมาด้านข้าง เพื่อให้เห็นว่าเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังกราบไหว้กันอยู่นี่ คือตัวเดียวกันกับที่ผมคิด…
และก็ดันถูกซะด้วย
“วะฮะฮ่า! ขอบคุณๆ พวกเจ้าสอบผ่านแน่นอน! อะ! แต่ไอ้หนุ่มคนนั้นถวายน้ำแดงตั้งห้าขวดแหนะ! ถ้าไม่มีใครสู้ล่ะก็ เราจะเน้นให้คนที่ถวายเยอะที่สุดสอบผ่านนะ!”
วิญญาณเด็กชายอายุราวเจ็ดถึงแปดปี นุ่งโจงกระเบนสีแดง ผมจุก กำลังลอยตัวด้วยร่างกายโปร่งๆ พร้อมพล่ามอย่างกับกำลังเปิดประมูลสินค้า
“หนะ หนูถวายสิบขวดเลยค่ะ!”
เมื่อนักเรียนสาวคนนึงว่าพร้อมยกถุงที่มีขวดน้ำแดงหลายขวดให้จุดถวายของ
เด็กชายก็หัวเราะร่า
“สิบขวดงั้นรึ!? ดีมากๆ! เจ้าสอบผ่านแน่นอน! อยากได้กี่วิชา…ไม่สิ เราจะทำให้เจ้าผ่านทุกวิชาเลย!”
เคยได้ยินอยู่หรอกว่าหมอนี่มันมีคนนับถือเยอะ แต่เล่นมาให้สันยงสัญญาว่าเขาจะสอบผ่านชัวร์แบบนี้…ให้มองยังไงก็แค่สัญญาปากเปล่าที่ทำไม่ได้จริง
ถ้าถวายเพื่อความสบายใจก็อยู่ในจุดที่เข้าใจได้
แต่ว่า ไอ้ที่ผมเห็นคือเหมือนเอาของให้แลกกับการสอบผ่านมากกว่า
คงไม่ใช่ว่าเจ้าเด็กนี่มีความคิดจะไปแอบแก้กระดาษคำตอบหรอกนะ? ใช่มั้ย?
จู่ๆ จิตสำนึกความเป็นประธานนักเรียนที่ต้องดูแลความเรียบร้อยในโรงเรียนก็ลุกโชน
วงเวทดาวหกแฉกก่อเกิดที่ริมฝีปาก
“ด้วยนามแห่งข้า…จงรับฟังแต่โดยดี”
กลุ่มนักเรียนไทยมุงที่ได้ยินถ้อยคำราวกับการสะกดก็หันหน้ามาทางผม
ผมลั่นวาจาด้วยเสียงราบเรียบ
“กลับไปเข้าห้องเรียนซะ”
“ครับ…/ค่ะ…”
เสียงเดินตึกตัก
พวกเขาพากันเดินเข้าตึกเรียนโดยทิ้งศาลเจ้าไว้เบื้องหลัง
“อ๊ะ! เกิดอะไรขึ้น? เฮ้! พวกเจ้าจะไปไหนกันน่ะ!?”
เด็กชายนั่งขัดสมาธิกลางอากาศพลางส่ายศีรษะ
“ยังไม่ได้ครบโควต้าที่อยากได้เลยแฮะ …วันนี้เข้าแถวเร็วกว่าปกติรึไงกัน?”
“ไง”
ผมเอ่ยทักเด็กชายนุ่งโจงกระเบน
เมื่ออีกฝ่ายสังเกตเห็นก็ยิ้มร่าทันที
“โอ้ว! คริสโตเฟอร์ไม่ใช่หรือนั่น!?”
“เออ ฉันเอง”
ผมตอบสั้นๆ
…และนี่คือ ‘กุมารทอง’ หนึ่งเดียวของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยา ส่วนชื่อก็…
ผมเลิกคิ้ว
“แกชื่ออะไรนะ?”
“แหมๆ คริสโตเฟอร์นี่ก็ อย่ามาทำเนียนลืมชื่อเราหน่อยเล้ย~ พวกเราสนิทกันจะตาย…”
“เฮลซ์บลูลอย?”
“กุมารทองบ้านเจ้าชื่อนั้นเรอะ!?”
“จะตะโกนทำไมเนี่ย ก็คนมันจำไม่ได้นี่หว่า”
กุมารทองพยักพเยิดให้ผม
“โอ้วๆ เข้าใจล่ะๆ จะหยอกเราเล่นงั้นรึ? ก็ได้ๆ …งั้นเราจะใบ้ให้นิดหน่อย มีคำว่าทอง และก็เป็นชื่อนก…”
“ปักษาทองคำ?”
“ชื่อเท่จนเราอยากเปลี่ยนเลยนะนั่น แต่ไม่ใช่ว้อย!!!”
เอ… เหมือนจะนึกออกแต่ก็นึกไม่ออก มันติดอยู่ตรงคอเหมือนเวลากินปลาแล้วก้างติดคอ…
ผมเหลือบมองไปที่ศาลเจ้าผ่านหลังกุมารทองไป
อ๋อ… แม่*มีป้ายชื่อเขียนแปะไว้ด้วยนี่หว่า
“ขุนทอง สินะ?”
“ไม่ใช่!!! …อุ๊ย? ถูกแล้วนี่นา”
ส่วนไอ้นี่ก็ตะโกนทั้งๆที่ฟังยังไม่ทันได้ศัพท์
อีกเดี๋ยวก็ใกล้เวลาเข้าแถว…คงคุยได้อีกหน่อย แถมนักเรียนคนอื่นพอเห็นผมยืนคุมอยู่ ก็ไม่กล้าเดินเข้ามาถวายอะไรด้วย
นับเป็นเรื่องดี
“เป็นชื่อที่ไพเราะจนลืมไม่ลงเลยใช่มั้ยล้า? ขุนทองที่มาจากคำว่านกแก้วขุนทองไง ฝรั่งอย่างเจ้ารู้จักอะเป่า?”
ส่วนหมอนี่ก็บ่นออกทะเลจนขี้เกียจจะสนใจ
“นี่ขุนทอง”
“ค้าบๆ!”
“เดี๋ยวนี้ตกต่ำลงจนกลายเป็นพวกต้มตุ๋นไปแล้วเรอะ?”
“พูดอะไรเสียมารยาทจริง เราก็ยังเป็นเทพเหมือนเดิมนี่ล่ะ ทำไมถามอะไรน่าโมโหจัง?”
ตกลงกุมารทองมันเป็นเทพจริงๆรึเปล่า ผมยังไม่ได้เช็กให้ชัวร์เลย …แต่เอาตามนั้นไปก่อนก็ได้ ประเด็นจริงๆก็ไม่ใช่เรื่องนั้นอยู่แล้ว
“แกจะทำให้คนที่เอาน้ำแดงมาถวายสอบผ่านงั้นเรอะ?”
“ช่ายๆ คริสโตเฟอร์ก็อยากสอบผ่านเหมือนกันเหรอ? แหมๆ คนกันเองๆ ขอน้ำแดงสักสองลังก็พอ”
“กินหมดหรือไง?”
แถมยังเยอะกว่าคนอื่นหลายเท่าเลยด้วย
“เคยบอกแล้วนี่? ถ้าเป็นของคริสโตเฟอร์เอามาถวายล่ะก็ เราจะดื่มให้หมดเป็นขวดแรกๆเลย!”
“คือแกจะไปเปลี่ยนคำตอบในกระดาษข้อสอบ?”
“ไม่ใช่สักหน่อย แค่ใช้อิทธิฤทธิ์อันแรงกล้าของเราทำให้สอบผ่านต่างหาก …เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมโง่จัง”
“แกสิโง่! อิทธิฤทธิ์บ้าบออะไรถึงทำให้คนสอบผ่านได้กันหา!?”
คนที่เอาของมาถวายก็มากหน้าหลายตา …ต่อให้สุดๆ คือทำให้สอบผ่านเฉพาะคนที่ถวายเยอะสุดก็ได้ และถ้าสมมุติว่าไอ้คนที่ว่ามันโง่บรมไม่อ่านหนังสือมาเลยสักตัวเดียว ไอ้อิทธิฤทธิ์นั่นมันจะช่วยเชี่ยอะไรได้?
ดังนั้น ไอ้ที่พูดปาวๆว่าสอบผ่านแน่นอนนั่น มันก็คือโกหกหน้าด้านๆ!
…ผมก็อธิบายให้ขุนทองฟังไปประมาณนั้น
ขุนทองฟังแล้วก็โบกนิ้วชี้
“คริสโตเฟอร์นี่ไม่เข้าใจอะไรเลยน้า เอ้าๆ นั่งก่อนสิ แล้วเรามาค่อยๆคุยกัน”
“ไม่คงไม่ค่อยแล้วเฟ้ย จะเข้าแถวแล้ว”
“นี่เจ้าคิดว่าการไปยืนตากแดดร้อนๆ มันดีกว่าการคุยกับเราอีกรึ?”
ถ้าตอบว่าใช่ จะหักหน้าไปหน่อยรึเปล่านะ
ทางที่ดีไม่ตอบดีกว่า
“เราเข้าใจนะว่าเจ้าเป็นคนต่างชาติ อาจจะยังไม่รู้หลักของการกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์สักเท่าไหร่”
“อะ โอ้ว?”
“ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะไปแก้กระดาษข้อสอบหรือไม่”
“ถ้างั้นจะทำให้คนที่ไม่อ่านหนังสือสอบผ่านได้ไงกัน?”
ขุนทองโบกนิ้วรัวๆ
“คืองี้ๆ อิทธิฤทธิ์ของเราคือการทำให้คนคนนั้นสอบผ่านทันทีเลยต่างหาก เราไม่ต้องแก้กระดาษคำตอบ ส่วนพวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องอ่านหนังสือด้วย”
เล่นพูดมาซะยาว แต่สรุปออกมากำปั้นทุบดินไปหน่อยแล้วนะเฮ้ย?
ผมเริ่มสรุปให้ขุนทองฟัง ว่าผมเข้าใจที่อีกฝ่ายจะสื่อได้ไม่บกพร่อง
“…ต่อให้จะเป็นใครที่มาขอ …จะโง่แค่ไหน …ไม่อ่านหนังสือแค่ไหน แกก็สามารถทำให้สอบผ่านได้ด้วยวิธีเหนือธรรมชาติ แถมไม่ได้ไปแก้กระดาษคำตอบด้วย …ใช่มั้ย?”
“ไม่ใช่เหนือธรรมชาติ อิทธิฤทธิ์ต่างหาก”
มันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ
ผมที่ได้ข้อมูลมาแบบนั้นก็ลองไตร่ตรอง
ในกรณีที่ไม่ได้แก้กระดาษคำตอบที่หมายถึงทุจริตกับตัวระบบ ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องห้ามปราม กระนั้น…คำว่าเหนือธรรมชาติ…ไม่สิ อิทธิฤทธิ์น่ะ พูดกว้างๆมันก็พอเข้าใจได้อยู่
แต่ในรูปธรรมแล้ว มันจะทำให้สอบผ่านได้จริงหรือ?
ถ้าไม่ได้มันก็แค่การต้มตุ๋น
ผมว่าจะหาหนูทดลองสักคน จึงกวาดสายตามองรอบๆ แต่ก็ไม่พบนักเรียนที่หน้าตาดูจะเข้าข่ายเป็นหนูทดลองได้เลยสักคน
จนกระทั่ง…
“อืม…”
ผมเพ่งมองนักเรียนชายคนนึงที่พึ่งเดินผ่านประตูโรงเรียนเข้ามา
นักเรียนที่จะเข้าข่ายเป็นหนูทดลองของผมนั้น พูดแบบตรงๆเลยก็คือดูแล้วน่าจะ ‘เรียนโง่’ นั่นล่ะ
ซึ่งผมก็ไม่ได้ดูคนที่ภายนอกหรอกนะ…แต่ว่าไงดีล่ะ นักเรียนคนตรงหน้าผมนี่ ไม่ว่าจะดูยังไงก็เป็นคนที่น่าจะสอบได้ศูนย์คะแนนชัดๆ
ผมตะโกนเรียก
“น้องครับ!”
“คริสโตเฟอร์จะทำไรอะ?”
“รออยู่เฉยๆเถอะ”
ผมตัดบทสนทนากับขุนทอง และรอให้น้องนักเรียนชายเดินมาหา
“เอ่อ มีอะไรรึเปล่าครับ? พี่ประธานนักเรียน …พอดีใกล้จะเข้าแถวแล้ว”
“น้องโง่ใช่มั้ย?”
“เป็นคำถามที่น่าโดนชกมากเลยนะครับนั่น…”
ถึงน้องเขาจะทำหน้าอารมณ์เสีย แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจ
“ก็โง่จริงๆนั่นล่ะครับ …ไม่ว่าจะพยายามอ่านหนังสือแค่ไหน สุดท้ายก็ทำข้อสอบไม่ได้อยู่ดี…”
“พอดีเลย พี่ว่าจะทดลองอะไรหน่อย คือไอ้ศาลเจ้าตรงนี้บอกว่าถ้าเอาน้ำแดงมาถวายล่ะก็ จะทำให้สอบผ่านแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์… อะๆ! ไม่ได้บังคับให้เชื่อหรอกนะ แน่นอนว่าค่าน้ำแดงก็ไม่ต้องจ่าย เดี๋ยวพี่ออกให้”
ผมรีบห้ามน้องเขาที่ทำสีหน้าเหมือนคิดว่าผมกำลังจะหลอกเอาเงิน
ผมหันไปหาขุนทอง
“เดี๋ยวฉันซื้อน้ำแดงให้แกสอง…ไม่สิ สามลังไปเลย แกช่วยทำให้น้องคนนี้สอบผ่านได้มั้ย?”
“ขอสักห้าได้ปะ?”
“จะเอาไปอาบหรือไง? ช่างเถอะ ห้าก็ห้า …ทำได้รึเปล่า?”
ขุนทองลอยตัวขึ้นและกอดอกด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ
“ก็ต้องได้อยู่แล้วซี่! อิทธิฤทธิ์ของเราเป็นของจริงขิงจอง! เราจะทำให้เด็กหนุ่มคนนี้สอบผ่านเอ๊ง! เอ้า! ไอ้หนุ่ม เข้ามาใกล้ๆซิ!”
“อะ เอ่อ…”
ถึงเด็กหนุ่มจะงงๆ แต่ก็เดินเข้าใกล้ขุนทอง
ขุนทองก็เอาฝ่ามือตบเบาๆที่ศีรษะ
“สอบผ่าน สอบผ่าน สอบผ่าน! เพี้ยง!”
อย่างที่คิด เด็กหนุ่มทำหน้างงกว่าเดิม …อีกอย่าง ทีกับคนก่อนหน้าไม่เห็นจะมีพิธีแบบนี้เลย นี่แกแค่มั่วขึ้นมาเฉยๆใช่มั้ยเนี่ย?
แม้จะสงสัย แต่ผมก็ตบหลังน้องเขาเบาๆ
“พี่รบกวนแค่นี้ล่ะ สอบก็สู้ๆ”
“คะ ครับ…”
จากนั้นน้องนักเรียนชายก็จากไปด้วยความงงงวย
ขุนทองสะกิดไหล่ผม
“แล้วๆ น้ำแดงเราจะซื้อให้เมื่อไหร่อะ?”
“รอฉันยืนยันได้ก่อนว่าคนเมื่อกี้สอบผ่านรึเปล่า ถ้าผ่านจริงเดี๋ยวซื้อให้”
“ขัดใจจังน้า~ ปกติต้องถวายให้เรียบร้อยก่อนแท้ๆ ไม่ใช่แปะโป้งแบบนี้ …ก็ด๊ะๆ เพราะเห็นว่าเป็นคริสโตเฟอร์หรอกนะ”
“ขอบใจ”
“จากที่เราดูๆเมื่อกี้ ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเจ้ากำลังหาเด็กทรงโง่ๆมาเป็นหนูลองยาน่ะ …แต่เราสงสัยนิดหน่อย ทำไมถึงเลือกไอ้หนุ่มคนเมื่อกี้รึ? เราว่าไอ้หนุ่มนั่นก็ไม่ได้ดูโง่ขนาดนั้นสักหน่อย”
“หน้าตาก็ไม่ได้ดูโง่อย่างที่ว่าล่ะนะ แต่ว่า…การแต่งตัวเนี่ยสิ”
“เจ้ามองคนที่ภายนอกจังนะเนี่ย? อีกอย่าง เครื่องแบบนักเรียนชายมันก็เหมือนๆกันไม่ใช่รึ?”
จริงอยู่ว่าเครื่องแบบเหมือนกันทั้งโรงเรียน
แต่ว่า…น้องคนเมื่อกี้น่ะ
เขาไว้ผมสั้นเตียนเหมือนสกินเฮด ใส่แว่นหนาเตอะ อีกทั้งยังใส่เสื้อยืดสีเหลืองทับชุดนักเรียนอีกต่างหาก พอบวกกับกางเกงขาสั้นของโรงเรียนที่เป็นสีกรมท่าแล้ว…
“ขุนทอง”
“หืม?”
“แกรู้จักเรื่องโดราเ*ม่อนรึเปล่า?”
“รู้จักสิ ดังจะตาย …แล้วมันเกี่ยวกับเรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ด้วยเหรอ?”
“ก็นะ ช่างมันเถอะ อ๋อใช่…ถ้าน้องคนนั้นสอบไม่ผ่านขึ้นมา ฉันจะบอกครูใหญ่ให้มาทุบศาลเจ้าแกทิ้ง เข้าใจนะ?”
“ทำไมตัดสินใจอะไรไม่บอกเราสักคำเลยเนี่ย!?”
โวยวายไปเถอะ ถ้ามั่นใจในอิทธิฤทธิ์นั่นจริงก็ไม่เห็นต้องกลัวเลยนี่?
ผมคิดเช่นนั้นพร้อมเดินตรงไปเข้าแถวตอนเช้าที่สนามกีฬา ขุนทองก็ตะโกนด่าไล่หลังแต่ผมไม่สนใจ
ส่วนน้องคนนั้นจะสอบผ่านอย่างที่ขุนทองว่าหรือไม่ …คงได้รู้ผลกันตอนหลังสอบเสร็จนั่นล่ะ ไว้ค่อยว่ากันอีกที
เออ ลืมถามชื่อกับห้องน้องเขาเลยแฮะ ช่างประไร ยังไงก็ต้องไว้ว่ากันอีกทีอยู่แล้วนี่นะ
เคสที่ 19 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยลูกช้างด้วย /จบ