สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 39 เคสที่ 18 ติวสอบ (3)
“นี่พี่คริสโตเฟอร์…”
“…”
“เอาจริงๆ หนูแอบผิดหวังนา…”
“…เรื่องอะไร?”
เมื่อผมตอบ สไปรท์ก็ลุกด้วยความโมโห
“ทำไมถึงได้เอาของแช่แข็งที่ซื้อเซเว่นมาให้หนูกินล่ะเนี่ย!?”
ตอนนี้พวกผมอยู่ในช่วงพักกินข้าว แน่นอนว่าอาหารบนโต๊ะก็คืออาหารแช่แข็งที่อุ่นมาจากไมโครเวฟชั้นดีที่ซื้อมาราคาแพง …ก็ไม่เห็นมีตรงไหนต้องโมโหนี่…
ผมยัดข้าวเข้าปากและพูดปัดรำคาญ
“มีให้กินก็กินเข้าไปเถอะน่า อีกอย่างถ้าฉันทำอาหารขึ้นมา เกิดกะปริมาณไม่ถูกแล้วดิวไม่อิ่มจะทำไง? ถ้าเป็นของแช่แข็งจากเซเว่นล่ะก็ฉันมีเต็มตู้ อยากเติมเท่าไหร่ก็ตามสบาย”
“ทำพูดดี! พี่คริสโตเฟอร์แค่ขี้เกียจทำเฉยๆใช่มั้ยล่ะ!?”
“เฮ้อ…”
แค่อิ่มท้องจะเอาอะไรมากกันเล่า เธอผิดเองที่ดันไปนึกเพ้อเจ้อว่าผมจะแต่งตัวเป็นพ่อครัวแล้วถือถาดเหล็กครอบออกมาพร้อมเปิดออกจนกลิ่นหอมลอยฟุ้ง จนเธอพูดว่า ‘น่าอร่อยจัง’ ต่างหาก
เอ หรือไม่ได้คิดถึงขั้นนั้นรึเปล่านะ…
“ดูสิ ดิวยังไม่บ่นสักคำ แถมยังกินไปตั้งแปดกล่อง …และเหมือนจะยังต่อได้อีกนะนั่น!”
“ก็พี่ดิวเขาเป็นปอบ! พี่คริสโตเฟอร์ตื่นเต้นอะไรเนี่ย!?”
ส่วนดิวที่เข้าโหมดรับประทานอาหารก็ไม่หันมาสนใจพวกผมเลยสักนิด
“คืองี้นะสไปรท์…”
ติ๊งต่อง…!
ระหว่างผมจะบ่นพร่ำเพรื่อใส่สไปรท์เพื่อให้เธอหยุดบ่น ก็มีเสียงออดดังพอดี
ผมลุกขึ้น
“เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูแป๊บ”
“อ๊ะ! อย่าหนีสิ!”
ผมเดินหนีมาทั้งๆอย่างนั้น
ปกติไม่ค่อยเห็นสไปรท์จะโมโหอะไรเท่าไหร่ …คนที่ควรโมโหจากประเด็นเรื่องอาหารน่ะ มันต้องเป็นดิวไม่ใช่เรอะ? หรือสไปรท์จะชอบกินมากกว่าที่คิด
ไม่รู้แฮะ ช่างเถอะ กว่าจะเปิดประตูเสร็จ กลับไปยัยนั่นก็หายโมโหแล้วมั้ง
เมื่อผมเปิดประตู ก็พบเด็กสาวใส่ชุดนักเรียนเต็มยศ เหงื่อไหลซึมตามหน้าผากจนเธอต้องเอาแขนขึ้นปาด พร้อมด้วยชฎาบนศีรษะ
“ขะ ขอโทษจริงๆค่ะ! ดิฉันตื่นสายไปหน่อย…”
“ไม่ๆ เรื่องนั้นฉันยังไงก็ได้ ถ้าจะขอโทษก็ไปขอโทษดิวโน่น …ฉันติดใจตรงเสื้อที่เธอใส่มากกว่า”
พลอยดึงเสื้อตัวเอง
“นี่เหรอคะ? แหม…มาบ้านประธานทั้งที จะให้แต่งตัวเสียมารยาทได้ไงล่ะคะ …ประธานต่างหากแต่งตัวอะไรคะนั่น?”
เมื่อโดนถามกลับ ผมก็ดึงเสื้อเช่นกัน
“แปลกตรงไหน? ชุดอยู่บ้านนี่นา แถมยังธีมเดียวกับดิวด้วย”
“ประธานไม่เหมาะกับเสื้อฮู้ดหรอกค่ะ”
“วิจารณ์กันซะเสียความมั่นใจเลยนะ”
“อย่างกับเด็กเก็บตัวเลยค่ะ”
“เธอไปเห็นเด็กเก็บตัวตอนไหนกันฮึ?”
และถ้าแค่ใส่เสื้อฮู้ดก็โดนมองว่าเป็นเด็กเก็บตัวล่ะก็ จะเสียมารยาทกับคนใส่ฮู้ดทั่วโลกไปหน่อยนะ
พลอยเท้าเอวอย่างภาคภูมิใจ
“ก็เพราะงี้แหละค่ะ! ดิฉันถึงใส่ชุดนักเรียนไงคะ!”
“เข้าใจล่ะ …เสียดายนิดหน่อยแฮะ อยากเห็นเธอแต่งอย่างอื่นที่ไม่ใช่ชุดนักเรียนบ้าง”
“ปะ ประธานอยากเห็นเหรอคะ…?”
“เออสิ”
พอผมตอบไปแบบนั้น พลอยก็กุมคางใช้ความคิด
ผมสะบัดข้อมือ
“ที่จริงเธอไม่ต้องซีเรียสมากก็ได้ อย่างสไปรท์ยังใส่ชุดนอนมาเลย”
พร้อมป้ายนิ้วไปทางห้องรับแขก
“อืม…ถ้าบอกว่าไม่เหนือความคาดหมายเท่าไหร่ จะใจร้ายกับน้องสไปรท์รึเปล่าคะ?”
ไม่ต้องไปรู้สึกผิดกับเสือสมิงนั่นหรอก เพราะผมก็คิดคล้ายๆกันนั่นแหละ
หลังจากคุยสัพเพเหระกันเล็กน้อย พวกผมก็มาถึงห้องรับแขกที่ดิวกับสไปรท์รออยู่
ทันทีที่สไปรท์สังเกตเห็นก็โบกมือยกใหญ่
“พี่พลอย! มาแล้วเหรอ!?”
และดูท่าจะลืมที่โมโหเมื่อกี้ไปแล้วด้วย โกรธง่ายหายเร็วสุดๆ…
พลอยยิ้มบางๆให้
“สวัสดีค่ะน้องสไปรท์ ดิวก็ด้วย”
“…ช้ามาก”
ดิวตำหนิเสียงค่อย
“ขะ ขอโทษจริงๆค่ะ ไม่คิดว่าจะตื่นสายขนาดนี้…”
“…ก็บอกแล้ว …จะใส่อะไรมา …คริสโตเฟอร์ก็ไม่ว่า”
พอผมได้ยินดิวพูดแบบนั้น
“ว่าไงนะ? เหตุผลที่ตื่นสายเพราะเธอมัวแต่เลือกเสื้องั้นเหรอ? แถมยังไปถามดิวด้วย???”
พลอยรีบปัดมือ
“มะ ไม่ใช่สักหน่อย! คะ แค่ไม่เคยเจอประธานนอกวันเรียนมาก่อน ก็เลย…”
อะไรล่ะนั่น? กลัวว่าจะแต่งตัวไม่เหมาะกับที่เป็นรองประธานเรอะ?
ขอทีเถอะน่า ผมแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวเป็นนะ นี่ไม่ใช่เวลางาน จะแต่งตัวยังไงผมก็ไม่ว่าหรอก
“อย่าเอาความเห็นฉันไปใช้ตัดสินเรื่องส่วนตัวสิ ฉันไม่ได้เคร่งขนาดนั้นสักหน่อย”
“อะ ค่ะ…”
พลอยรู้สึกผิดจนก้มหน้า ว่าแต่ผมพูดอะไรให้ซึมได้ขนาดนั้นเลยเหรอ…
ผมตัดสินใจว่าประเด็นนั้นไม่สำคัญก่อนเอ่ย
“เธอกินข้าวรึยัง?”
“เรื่องนั้น…”
ไม่ทันที่พลอยจะตอบ เสียงท้องก็ดังขึ้นจนเธอหน้าแดง
ก็รู้หรอกว่าสายจนต้องรีบ แต่เล่นมาทั้งๆยังไม่กินข้าวกินปลาให้เรียบร้อย ก็ทำผมรู้สึกผิดเล็กๆ
ทั้งๆที่ไม่ใช่ความผิดผมเลยสักนิด
“รอแป๊บ เดี๋ยวเอาอะไรให้กิน”
“เอ๋? ประธานจะทำอาหารให้ดิฉันทานเหรอคะ!?”
แม้น้ำเสียงพลอยจะตื่นเต้น แต่สไปรท์กลับพูดแทรกขึ้นมา
“เออใช่! หนูลืมโกรธเลย! พี่คริสโตเฟอร์กลับมาคุยกับหนูต่อเดี๋ยวนี้เลยนะ!?”
“นะ น้องสไปรท์โกรธอะไรประธานเหรอคะ?”
ผมไม่สนใจสไปรท์พลางตอบพลอย
“โกรธที่ฉันเอาของแช่แข็งให้กินน่ะ …กินเสร็จเมื่อไหร่ก็รีบติวให้ดิวด้วยล่ะ”
และผมก็ไปห้องครัวโดยที่มีเสียงสไปรท์ตะโกนแว้ดๆตามหลัง
เดินมาถึงก็เจอเซอบี้กำลังโซ้ยอาหารเม็ดในถาดอยู่ข้างทางเข้าห้องครัว ถาดอาหารสามอันที่วางไว้ใกล้กันประกอบด้วยอาหารเม็ดใกล้หมด
กินเร็วสมเป็นเจ้าพวกนี้จริงๆ
ผมลูบเซอบี้เบาๆ
“…รู้สึก ตอนเด็กๆ ฉันจะเคยบอกว่าอยากเจอผีนางรำสักครั้งสินะ…ตอนนี้ก็ได้เจอแทบทุกวันแล้วด้วย พวกแกก็แวะไปทักทายยัยนั่นหน่อยแล้วกัน พวกแกก็น่าจะไม่ต่างกับฉันหรอก”
“““บ๊อก!”””
เซอบี้ที่น่าจะเข้าใจว่าผมพูดเรื่องสมัยไหนก็ตอบรับด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ผมก็ยิ้มให้มันก่อนหยิบอาหารแช่แข็งในตู้เย็นเข้าไมโครเวฟ
…หลังจากรับประทานอาหารกลางวันที่มีพลอยมาร่วมด้วยในตอนสุดท้าย ก็ได้เริ่มติวหนังสือจริงๆจังๆเสียที
พลอยที่รู้สึกผิดที่มาช้า กำลังชดเชยด้วยการติวให้ดิวอย่างเข้มข้น จนผมเริ่มเห็นว่าดิวหน้าซีดลงเรื่อยๆ
ส่วนสไปรท์ ผมกรอกความรู้เข้าสมองให้อย่างรวดเร็วแต่ก็แม่นยำ จนตอนนี้ก็เหลืออีกแค่วิชาเดียวเท่านั้น และยังใกล้เสร็จแล้วด้วย
“ทำไมต้องมีวิชาวิทยาศาสตร์ด้วยนะ หนูไม่ได้กะโตไปเป็นนักวิจัยสักหน่อย”
“ไปร้องเรียนกระทรวงโน่น บอกฉันไปก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก”
“บู้ๆ ถ้าเปลี่ยนจากวิทย์เป็นเวทมนตร์ล่ะก็ หนูต้องได้คะแนนเต็มแน่”
“ถ้ากระทรวงจะมีวิชาบ้านั่นให้เรียนจริงๆ ฉันนี่แหละจะเป็นคนร้องเรียนคนแรก”
ในการ์ตูนบางเรื่อง วิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์มันก็ก้ำกึ่งกันเล็กน้อย แต่อย่าเอาวิธีคิดแบบนั้นมาใช้กับชีวิตจริงได้มั้ยฮึ?
“แต่ว่าน้า…ไอ้ที่พี่คริสโตเฟอร์ใช้ก็เหมือนเวทมนตร์ไม่ใช่เหรอ?”
“หมายถึง?”
“ ‘ด้วยนามแห่งข้า! จงรับฟังแต่โดยดี!’ ไง!”
สไปรท์ชี้นิ้วและตะโกนเช่นนั้นใส่หน้าผม …เวลาผมใช้วาจาสิทธิ์เนี่ย โดนยัยเด็กนี่มองเป็นแบบนั้นหรอกเรอะ?
ผมส่ายศีรษะ
“จะนับเป็นเวทมนตร์ก็ได้อยู่หรอก แต่ตามหลักการแล้ว…ต่างกันนิดหน่อย”
“ต่างกันไงอะ?”
“มันเป็นความสามารถจากเชื้อสายของฉัน ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับการควบคุมจิตใจ กิเลศ และตัณหามนุษย์ …ควบคุมจิตใจจากคำพูดก็ใช้หลักการอย่างที่พูดไป”
“แต่พี่คริสโตเฟอร์พ่นไฟได้ไม่ใช่เหรอ?”
ตูไม่ใช่มังกรนะเฮ้ย
“ไม่ได้พ่น …แค่ดึงไฟจากนรกให้โผล่ที่ภพนี้เท่านั้นเอง”
“งั้นๆๆ ปีกอะ ปีก!”
“รวมรวบประจุความคิดด้านลบโดยรอบมาสร้างเป็นวัตถุสมมุติสามมิติที่ใช้งานได้จริง”
“พี่คริสโตเฟอร์พูดซะน่าเบื่อเลยอะ…”
“ตามนั้นแหละ ไม่ใช่ของแบบที่เธอเห็นในการ์ตูนสักหน่อย”
“ติวให้หนูต่อเหอะ ยิ่งถามยิ่งกร่อย”
“…นี่เธอ”
สไปรท์ที่หมดความสนใจก็ก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ
ที่ผมตอบเมื่อกี้คือความจริงล้วนๆเลยนะ อย่าจินตนาการมั่วสั่วว่าเป็นแบบในการ์ตูนได้มั้ยเนี่ย?
เหมือนจะหลุดประเด็นไปหน่อย ผมจึงดึงตัวเองกลับมาที่การติวหนังสือ
…จากคะแนนของสไปรท์แล้ว วิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้น(ถ้าเทียบกับมาตรฐานวิชาอื่นๆอะนะ) ฉะนั้นพอติวไปสักพัก ผมก็ตัดสินใจว่าแค่นี้น่าจะเพียงพอให้สอบไม่ตก
“พอแค่นี้แล้วกัน อยากถามอะไรเพิ่มมั้ย?”
“ค่าๆ!”
“ว่ามา”
“ถ้าหนูสอบตกจะโกรธแมะ?”
“ถามเหมือนจะบังคับให้ฉันตอบว่าไม่โกรธเลยนะ…”
คำถามเชิงมัดมือชกแบบนี้มันจะมีทางเลือกให้ตอบกี่ทางกันเล่า?
ผมหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะที่สไปรท์เฝ้ารอคำตอบด้วยตาเป็นประกาย
เฮ้อ ให้ตายเถอะ
“…เอาเป็น ตกไม่เกินครึ่ง ฉันก็พอใจแล้วล่ะ”
“หึหึหึ พูดแล้วห้ามคืนคำนะ!”
“เออๆ”
ผมตอบปัดรำคาญพลางหันไปมองข้างๆ ที่พลอยกับดิวกำลังติวหนังสือ
“เป็นไงบ้าง? พวกเธอ”
“อะ อ๋อค่ะ ไม่มีอะไรต้องห่วง ดิวเธอเข้าใจง่ายน่ะค่ะ นึกสงสัยเหมือนกันว่าทำไมถึงสอบตกแต่แรก”
พลอยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ส่วนดิวที่หน้าซีดปากห้อยก็อ่านหนังสือด้วยตาล่องลอย
ผมกระซิบพลอย
“นั่นคือเข้าใจจริงๆใช่มั้ยนั่น?”
“เข้าใจสิคะ?”
ดูทรงถามพลอยไปคงไม่ได้คำตอบแน่ชัด ผมจึงเปลี่ยนคู่สนทนา
“นี่ดิว”
“…อย่าพูดยาวนะ …คริสโตเฟอร์”
“หมายความว่าไงเนี่ย?”
“…ความจำใกล้เต็ม เดี๋ยวจะลืมที่เรียนไป…”
“สมองเธอเป็นหน่วยความจำโทรศัพท์หรือไง?”
“…ก็บอกว่าอย่าพูดยาวไง”
พลอยก็แทรกขึ้นมา
“เอ้าๆ ดิวบอกอะไรก็ทำตามสิคะประธาน ถ้าดิวสอบตกขึ้นมาจะว่าฉันไม่ได้นะคะ?”
“เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว…แต่นี่ใกล้มืดแล้วนะ พอกันก่อนมั้ย?”
ผมเหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าหกโมงจะทุ่มเข้าไปแล้ว ไม่นึกเลยว่าแค่ติวหนังสือไม่กี่วิชาให้คนอื่นจะใช้เวลามากขนาดนี้ แถมยังเพลินจนผ่านไปหลายชั่วโมงอีกต่างหาก
พลอยเห็นด้วย
“นั่นสินะคะ… พอแล้วค่ะดิว กลับกันเถอะค่ะ”
“…รอดแล้ว…”
ดิวพึมพำเสียงค่อยและเหมือนพลอยจะไม่ได้ยินจึงร้อง ‘อื๋อ?’ พร้อมเอียงคอ
คิดถูกคิดผิดให้ยัยผีนางรำนี่ติวให้ดิวกันนะ …ก็ขอภาวนาให้ดิวสอบผ่านแล้วกัน
…อย่างไรก็ตาม นี่ก็ถือว่าการติวหนังสือช่วงวันหยุดก่อนสัปดาห์แห่งการสอบจบลงด้วยดี ผมก็กำชับให้ทบทวนบทเรียนในวันพรุ่งด้วยตัวเองกันด้วย ไม่ใช่พรุ่งนี้จะขี้เกียจนอนพักกันเฉยๆ
และในเมื่อดึกขนาดนี้ กับผมที่รักษามารยาทขั้นต่ำไม่ว่าจะเป็นกับใครก็ตาม ครั้นจะไม่ชวนรับประทานข้าวเย็นเป็นมารยาทสักหน่อยคงไม่ได้
“พวกเธอสามคนน่ะ จะกินอะไรมั้ย? เดี๋ยวฉันเลี้ยง”
ผมพูดระหว่างที่คนอื่นๆเก็บข้าวของใกล้เสร็จ
คำพูดคำจาช่างใจป้ำเยี่ยงคนหน้าใหญ่ใจโตยิ่งนัก แต่ผมไม่ได้เป็นคนแบบนั้นหรอก แค่เงินหนาเฉยๆ
ถือว่าชดเชยอาหารแช่แข็งมื้อกลางวันไปกลายๆด้วยล่ะนะ
สไปรท์ตอบคนแรก
“วันนี้หนูจะกินชาบูกับที่บ้านแหละ!”
ดิวส่ายศีรษะ
“…ใช้พลังงานเยอะ ต้องกินเยอะ …กลับไปกินบ้านดีกว่า”
นั่นสิ ครั้นจะพาปอบสภาพหิวโซไปกินข้าวแถมยังต้องเลี้ยง ต่อให้จะเงินถุงเงินถังขนาดไหนก็ต้องเข้าเนื้อกันบ้างแหละ
งั้น…ก็เหลือแค่หน่อเดียว
“เธอล่ะ? พลอย”
“อืม…ที่จริงวันนี้คุณพ่อคุณแม่ไม่อยู่บ้านพอดีน่ะค่ะ แต่จะให้อยู่กับประธานสองคนก็ดูไม่ดี…”
“เออแฮะ”
ขณะอยู่ในบรรยากาศที่การเลี้ยงข้าวครั้งนี้น่าจะล้มครืน
“พี่พลอยไม่ต้องห่วงหรอกน่า!”
“…พวกฉันไม่คิดมากหรอก”
ดิวกับสไปรท์ก็ว่ามาแบบนั้นจนพลอยสงสัย
“มะ หมายความว่าไงคะเนี่ย?”
เสือสมิงกับผีปอบตามคำถามของพลอยพร้อมกันว่า
“เพราะพี่คริสโตเฟอร์ไม่สนผีไทยไง!” “…เพราะคริสโตเฟอร์ไม่สนผีไทย”
แบบนั้น
…พอสไปรท์กับดิวกลับไป บ้านก็เงียบเหงาลงจนน่าใจหาย ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยรู้สึกเลยแท้ๆ
ผมเหลือบมองเด็กสาวในชุดนักเรียน
“เอาไงกันดี? ถึงสองคนนั้นจะว่างั้นก็เถอะ แต่เธออยู่กับฉันสองต่อสองก็ดูไม่ดีจริงๆนั่นล่ะ”
“ใช่ค่ะ…เอาไงดีน้า”
พลอยคิดไม่ตก
จากนั้นก็โบกนิ้วชี้ขึ้น
“ถ้างั้น…แค่ไปซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อแล้วแยกย้ายกันกลับแล้วกันค่ะ!”
“ฉันจะเลี้ยงทั้งที อยากได้แค่นั้นจริงเหรอ?”
ใจผมนึกไปถึงต้องเข้าร้านอาหารแพงๆเลยนะนั่น
พลอยส่ายศีรษะจนชฎาสั่น
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็พอแล้ว …แล้วอย่างประธานที่เอาอาหารแช่แข็งให้คนอื่นทานเนี่ย ไม่ควรคิดมากกับอะไรอย่างนั้นเลยนะคะ?”
“ครับๆ… ขอไปหยิบกระเป๋าแป๊บ”
ผมกำลังจะขึ้นไปชั้นสอง แต่แล้วเซอบี้ก็วิ่งสวนลงมาพอดี
เซอบี้วิ่งไปทางพลอย
“““บ๊อก!”””
“เอ๊ะ? ประธานเลี้ยงหมาด้วยเหรอคะ?”
“อืม ก่อนหน้านี้พวกมันอยู่ห้องครัวน่ะ…ฉันกลัวว่าสไปรท์จะมัวแต่เล่น เลยแอบพาขึ้นไปชั้นบน …ยังไม่ได้แนะนำให้เธอรู้จักเลยนี่นะ เจ้าพวกนี้ชื่อเซอบี้”
“อย่าบอกนะคะว่าเอามาจากคำว่าเซอร์เบอรัส?”
พลอยหรี่ตาถามขณะลูบหลังเซอบี้ และเธอก็ไม่ได้แปลกใจที่เจ้านี่มีสามหัวด้วย รู้จักเซอร์เบอรัสตั้งแต่แรกแล้วสินะ
“ฉันเจอพวกมันตั้งแต่เด็ก อายุเท่านั้นคิดชื่อเจ๋งๆไม่ได้หรอก”
“เข้าใจอยู่หรอกค่ะ…แต่น้องเขามีตั้งสามหัว อย่างน้อยก็ต้องตั้งสักสามชื่อสิคะ?”
“เอาไปเลี้ยงเองเลยมั้ย?”
“อืม… ไว้ว่างๆเดี๋ยวฉันมาเล่นกับน้องเขาแทนดีกว่าค่ะ อย่างประธานคงไม่ถนัดเล่นกับสัตว์แบบนี้ด้วย บ้านฉันก็เลี้ยงไว้ตัวนึง เรื่องเล่นกับสัตว์เลี้ยงนี่คาดหวังได้เลยค่ะ!”
พอเป็นกับพลอยแล้ว ทำไมผมถึงไม่อยากเถียงว่าเจ้าพวกนี้ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงแล้วก็ไม่ใช่หมากันนะ…
แปลกใจตัวเองชะมัด ทั้งๆที่กับสไปรท์ก็เถียงกันตั้งขนาดนั้นแท้ๆ
ผมส่ายศีรษะและพูดกับพลอย
“…นี่เธอจะมาบ้านฉันบ่อยขนาดนั้นเลยเรอะ?”
พลอยที่โดนผมถาม ก็อ้าปากค้างไปแป๊บนึง
“มะ ไม่ได้หมายความแบบนั้นค่ะ!”
และตะโกนใส่
ในท้ายที่สุด ก็กลายเป็นว่าได้ไปร้านสะดวกซื้อและซื้อของกินก่อนจะแยกย้ายกันกลับเฉยๆเท่านั้น
พลอยก็มารยาทงามเกินคาด ที่เธอซื้อก็แค่ข้าวกล่องกล่องเดียวกับน้ำอีกขวดนึง ให้ตายสิ…กับผมน่ะ ไม่ต้องเกรงใจก็ได้
ผมเหลือบมองพลอยที่กำลังคิดเงินกับพนักงานร้านสะดวกซื้อ แน่นอนว่าใช้เงินผมจ่าย
“ยิ้มอะไรของเธอ?”
“คิกคิก ไม่ได้ยิ้มสักหน่อย”
“ก็เห็นว่ายิ้มอยู่ชัดๆ”
“งั้น…ถ้าบอกว่าดีใจที่ได้มาซื้อของกับประธาน จะเชื่อรึเปล่าคะ?”
“คงไม่เชื่อนั่นล่ะ”
ผมตอบหน้าเรียบๆ พลอยก็หัวเราะคิกคัก
ส่วนคุณพนักงานร้านสะดวกซื้อก็มองมาที่พวกผมด้วยสีหน้าแปลกๆ ซึ่งผมเข้าใจดีว่าเป็นสีหน้าของความริษยา
…ขอทีเถอะ ผมกับพลอยไม่ใช่คู่รักข้าวใหม่ปลามันมากุ๊กกิ๊กกันที่เซเว่นสักหน่อย แค่ประธานนักเรียนกับรองประธานแค่นั้นเอง
เคสที่ 18 ติวสอบ /จบ