สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 37 เคสที่ 18 ติวสอบ (1)
…เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก
ตั้งแต่ที่ผมได้เป็นประธานนักเรียนก็ช่วงขึ้นมอห้า หรือก็คือตอนที่ประธานนักเรียนคนเก่าจบไป
และตอนนี้คือช่วงสัปดาห์สุดท้ายของภาคเรียนที่หนึ่ง และอีเว้นท์สำคัญที่นักเรียนทุกคนต้องเจอนั่นคือ ‘สอบปลายภาค’
แน่นอนว่าในกรณีสอบตก ในช่วงที่คนอื่นๆได้นอนตีพุงหยุดพักปิดเทอม ตนเองก็ต้องถ่อมาโรงเรียนเพื่อสอบซ่อม จะบอกว่าเป็นเรื่องที่นักเรียนควรหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุดก็ไม่ผิด
ต่อให้พูดแบบนั้น แต่สำหรับตัวผมที่มีผลการเรียนเป็นอันดับท็อปของชั้นปี ก็ไม่ได้รู้สึกว่าการสอบมันน่ากลัวอย่างที่พวกง่าวๆเขาพูดกัน
จากนั้น…ก็จะปิดเทอม
ฉะนั้น ก่อนจะปิดเทอม ผมขอแนะนำให้รู้จักกับอีเว้นท์ที่เรียกว่า ‘สัปดาห์แห่งการสอบ’
ใช่ๆ… ช่วงนี้คงไม่มีเคสอะไรให้ทำหรอก(ถึงมีก็ไม่รับ) จะมีก็แค่การสอบเท่านั้นแหละ…
สภานักเรียนปิดทำการช่วงสอบ ไม่ว่าจะเป็นสอบกลางภาคหรือปลายภาคเทอมอะไรก็ตาม เหตุผลเพราะจะมีนักเรียนบางประเภทที่ไม่รู้ใช้สมองส่วนไหนคิด มาขอให้สภานักเรียนช่วยให้ตัวเองสอบผ่านโดยไม่ต้องอ่านหนังสือ…
…สภานักเรียนไม่ใช่พระเจ้านะเฟ้ย
นั่นแหละๆ สุดท้ายคุณประธานนักเรียนคนก่อนหน้า ก็เลยตั้งมาตรการว่าจะหยุดพักการช่วยเหลือช่วงสอบ
อีกทั้งนี่ก็ยังเป็นสอบปลายภาค ที่มีการปิดเทอมอันน่าลุ่มหลงตามมา…
พูดง่ายๆก็คือ เจอกันอีกทีเปิดเทอมสองนะจ๊ะ
วันนี้เป็นวันศุกร์…เท่ากับว่า หลังจากผ่านวันหยุดสุดสัปดาห์ ก็จะเข้าสู่สัปดาห์แห่งการสอบ
ผมถือวิสาสะปิดทำการสภานักเรียนเร็วกว่ากำหนดเล็กน้อย วันนี้คนที่จะเข้าสภาได้ มีแค่บุคคลที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
บานประตูห้องสภาถูกแขวนด้วยป้ายกระดาษที่ผมเขียนลวกๆว่า ‘ปิดทำการ เริ่มอีกครั้งเทอมสอง’
แค่นั้นก็เพียงพอให้นักเรียนทราบว่าสภานักเรียนไม่สะดวกรับงานไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม ที่จริงก็น่าจะรู้กันอยู่แล้วนั่นแหละนะ สภาก็ใช้มาตรการนี้มาตั้งนานแล้วด้วย…
ภายในห้องประกอบด้วยสมาชิกสภาอันคุ้นหน้าคุ้นตา ผมยืนอยู่หัวโต๊ะรับแขก ส่วนหมิงหมิงที่คิดว่าจะอยู่ดันหายหัวไปไหนไม่รู้
“สวัสดีตอนเย็นนะทุกคน วันจันทร์ที่จะถึงนี้เป็นช่วงสอบอย่างที่รู้ๆกัน ที่ฉันเรียกสมาชิกทุกคนมาก็น่าจะเข้าใจใช่มั้ย?”
ผมกล่าวด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ส่วนใหญ่ก็พยักหน้าเข้าใจ แต่มันจะมีอยู่คนนึง…
“ค่าๆๆ!”
สไปรท์ยกมือและดีดตัวเหมือนสปริง
ไม่น่าใช่ตอบเพราะเข้าใจแน่ๆ
ผมชี้นิ้ว
“ถามมา”
“ทำไมก่อนสอบต้องเรียกประชุมด้วยอะ? รีบๆปล่อยกลับบ้านไปอ่านหนังสือไม่ดีกว่าเหยอ?”
เป็นคำถามที่สมเหตุสมผล ในเมื่อใกล้จะสอบอยู่ร่วมร่อ จึงไม่มีความจำเป็นต้องเรียกประชุมให้เสียเวลา งานสภาก็ปิดรับชั่วคราว
ฉะนั้น ก็ควรปล่อยให้ไปอ่านหนังสือตามอัธยาศัยมากกว่า…
…ก็ถ้าคนถามมันไม่ใช่สไปรท์ล่ะก็นะ
“ทำพูดดี อย่างเธอกลับไปก็คงเอาวันหยุดไปเที่ยวเล่นไม่ก็เล่นเกมใช่มั้ยล่ะ?”
“รู้ได้ไงเนี่ย!? พี่คริสโตเฟอร์แอบสะกดรอยตามหนูเหรอ!???”
“ไหนๆ มีใครคนไหนพอจะตอบประธานนักเรียนคนนี้ได้มั้ย ว่าทำไมถึงต้องเรียกมารวมกันแบบนี้”
ผมไม่สนใจสไปรท์และถามกับทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะรับแขก
พี่น้ำยกมือ ผมจึงผายมือไปทางพี่เขา
“ว่าไงครับ? พี่น้ำ”
“น้องคริสจะไปบอกครูใหญ่ให้สภานักเรียนทุกคนสอบผ่านสินะคะ? เลยจะแจ้งกับพี่ว่าไม่ต้องกลับไปอ่านหนังสือแล้ว?”
“…ไหนๆ มีใครคนไหนพอจะตอบประธานนักเรียนคนนี้ได้มั้ย ว่าทำไมถึงต้องเรียกมารวมกันแบบนี้”
คำตอบบ่งบอกความขี้เกียจและทุจริตจนขี้เกียจจะสนใจ ผมจะไปทำอย่างนั้นได้ไงเล่า
คราวนี้เป็นพี่ต้นที่ยกมือ
“ว่าไงครับ! พี่ต้น! ไหนตอบให้ผมชื่นใจหน่อยซิ!”
“เอ่อ…เพราะช่วงสอบกลางภาคมีสมาชิกสภาบางคนสอบตก น้องประธานเลยจะช่วยติวเพื่อให้ทุกคนสอบผ่าน สภาจะได้ไม่ถูกมองในทางแย่ๆ?”
“ถูกต้องเลยครับ! สมเป็นพี่ต้น! ต่อไปช่วยบอกหน่อยซิ คนสอบตกที่ว่าหมายถึงใคร!?”
“…เรื่องนั้น น้องประธานพูดเองแล้วกันนะ”
“รับทราบ! สไปรท์กับดิวตกแม่*ทุกวิชา! ส่วนพี่น้ำตกเกือบครึ่ง คนอื่นๆไม่มีปัญหา!”
พี่น้ำกับสไปรท์ที่ได้ฟังดังนั้นก็ตะโกนเสียงดัง
“เพราะข้อสอบมอสี่มันยากต่างหาก!”
“เพราะข้อสอบมอหกมันยากต่างหาก!”
และพูดมาแบบนั้น ก่อนจะหันไปมองหน้ากันและผสานเสียง
““ใช่แล้ว! ข้อสอบของมอห้ามันง่ายเกินไปต่างหาก!””
นั่นข้ออ้างเรอะ?
จะบอกว่าที่ผมกับพลอยผ่านทุกวิชาเพราะข้อสอบมันง่ายรึไง? ถ้าว่าประเด็นนั้น ดิวที่อยู่มอห้าเหมือนผมล่ะ? ยัยผีปอบนี่ก็ตกทุกวิชาเลยนะ
ผมหันไปหาดิว
“เธอล่ะ? มีอะไรจะแก้ตัวมั้ย?”
“…ฉันทำคำสอบไม่ได้เอง …ไม่มีข้ออ้าง”
ดิวตอบเสียงเรียบๆ จนพี่น้ำกับสไปรท์หน้าเสีย
ผมแสยะยิ้ม
“ตามนั้นนะครับ ไม่มีข้อสอบของชั้นปีไหนง่ายหรือยากหรอก มันอยู่ที่ตัวบุคคลต่างหาก”
“น้องคริสเรียนเก่งก็พูดได้นี่คะ”
“แล้วทำไมพี่ถึงเรียนไม่เก่งล่ะครับ?”
“……”
พี่ต้นพูดแทรกให้พี่น้ำที่ใบ้รับประทาน
“เดี๋ยวพี่ตอบให้ เพราะยัยน้ำขี้เกียจจนไม่ยอมอ่านหนังสือไง”
“พูดให้มันดีๆหน่อยนะต้น”
“ทำไมล่ะ? ที่จริงฉันก็สงสัย…อย่างเธอขึ้นมาถึงมอหกได้ไง คงไม่พ้นลอกคำตอบโต๊ะข้างๆสิท่า”
“นายต่างหากที่แอบเอาโพยเข้าห้องสอบน่ะ! อย่างนายจะไปเรียนเก่งได้ไงกันยะ!?”
“ไม่ได้เรียนเก่ง แค่อ่านเท่าที่ทำให้ไม่ตก …แล้วฉันเนี่ยนะทุจริต? เธอมากกว่า ได้ข่าวว่าแอบเอางบประมาณไปให้ชมรมวิจัยอนิเมะเกินที่คำนวณไว้ด้วยไม่ใช่เหรอ?”
“พูดงี้ตบกันเลยดีกว่า! เจ้ากระหังนี่!”
พี่น้ำคว้าไม้คว้ามือใส่พี่ต้นที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ส่วนสไปรท์ก็หยีตาและล็อคเอวพี่น้ำ
“แย้ก! อย่าตีกัน อย่าตีกัน!”
“ปะ ประธานไม่คิดจะห้ามอะไรหน่อยเหรอคะ?”
พลอยถามผมด้วยสีหน้ากังวล
“ก็อยากอยู่นะ…แต่ฉันจะให้พี่ต้นติวให้พี่น้ำด้วยสิ เห็นสนิทกันแบบนี้อาจจะดีกว่าก็ได้”
“ประธานเห็นว่านั่นคือสนิทกันสินะคะ…”
ไม่สนิทคงไม่ต่อปากต่อคำกันขนาดนี้หรอกแหม ทำประชดใส่
“เดี๋ยว น้องประธานจะให้พี่ติวใครนะ?”
พี่ต้นหันขวับมาทางผม
“กะ ก็พี่น้ำไงครับ…”
เมื่อผมตอบออกไป พี่ต้นก็ทุบโต๊ะ
“ถึงจะเป็นน้องประธานขอก็เถอะ! แต่พี่ไม่อยากติวให้ผีไร้หัวที่ไม่มีกะใจจะเรียนหรอกนะ!”
“อะร้าย~ จะขัดคำสั่งน้องคริสหรือไงต้น~ และฉันก็ไม่อยากให้นายเป็นคนติวด้วย ไอ้คนจดโพยเข้าห้องสอบ!”
“นี่เธอ…!”
ผมหรี่ตามองสองรุ่นพี่ที่คนนึงเหมือนจะสติดีสุดแต่กลับหมดความอดทนเพราะสมาชิกรุ่นเดียวกัน
ปวดขมับจริง…
ก่อนที่ทุกอย่างจะวินาศกว่านี้ จู่ๆเจี๊ยบบนไหล่ดิวก็ทำหน้าจริงจัง ก่อนกระโดดเหินลงมากลางโต๊ะรับแขก
“จิ๊บ!”
และผายปีกไปข้างๆราวกับชี้หน้าสมาชิกทุกคน
ผมก้มตัวกระซิบเจี๊ยบ
“นายทำบ้าอะไรเนี่ย…?”
“จุ๊บๆ จิ๊บๆ!”
อืม ฟังไม่รู้เรื่อง
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่เจี๊ยบก็พูดใส่สมาชิกรอบโต๊ะรับแขก
“จิ๊บๆ จิ๊บ จิ๊บ! จุ๊บๆ จิ๊บๆๆๆๆ!!!”
พร้อมจิ๊บบ้าจิ๊บบออะไรไม่รู้อยู่นานสองนาน พร้อมจบประโยคด้วยการก้มศีรษะไปรอบๆราวกับวงดนตรีจบการแสดง
ผมก็นึกว่าคนอื่นจะงงเหมือนที่ผมเป็น…
“นั่นสินะ จะเถียงกันแบบนี้ก็ไม่ดีด้วยสิ”
เฮ้ย? นั่นพี่ต้นพูดเชี่*อะไรอยู่ครับเนี่ย???
“จริงด้วย เป็นถึงรุ่นพี่ทั้งที ควรจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้รุ่นน้องนี่นะ”
พี่น้ำก็ด้วย!? ไอ้เสียงฟังไม่ได้ศัพท์ของลูกเจี๊ยบมันให้ข้อคิดขนาดนั้นได้ไง???
พี่ต้นหันสายตาที่เหมือนเข้าใจทุกอย่างแล้วมาทางผม
“เดี๋ยวพี่จะติวหนังสือให้น้ำเอง น้องประธานไม่ต้องห่วงนะ”
“อะ เอ่อ…”
“ส่วนพี่ก็จะพยายามทำข้อสอบให้ได้นะคะ น้องคริส”
“อะ โอ้…”
เกิดบ้าอะไรขึ้น?
ในหัวผมคิดแบบนั้นและถามพลอย
“เอ่อ พลอย …เมื่อกี้เจี๊ยบพูดว่าอะไรเหรอ?”
“อืม ดิฉันก็ฟังไม่ออกหรอกค่ะ แต่น่าจะเกิดจากท่าทางล่ะมั้ง? ถึงเข้าใจได้”
ไม่ๆ ใครมันจะไปเข้าใจกันเล่า!
“เฮ้อ…”
…ช่างประไร อย่างน้อยก็เคลียร์ประเด็นพี่ต้นกับพี่น้ำได้ด้วยความช่วยเหลือจากเจี๊ยบ… เอาอย่างนั้นไปก่อนแล้วกัน
ผมที่เห็นว่าอย่างน้อยๆก็ถือว่าผ่านพ้นไปได้ด้วยดีก็ลงความเห็นกับตัวเองไปแบบนั้นและพูดแจง
“พี่ต้นติวให้พี่น้ำ ส่วนพลอย…เธอติวให้ดิวแล้วกัน”
“ไม่ขัดข้องค่ะ แต่ขอเหตุผลที่ทำไมถึงไม่ให้ฉันติวน้องสไปรท์ได้มั้ยคะ?”
“รับคำสั่งเงียบๆสักรอบไม่ได้เลยหรือไง …เอาเหอะ คืองี้ ดิวอยู่มอเดียวกับเราใช่มั้ยล่ะ? เพราะงั้นถ้าเธอติวให้ดิว ก็จะได้ทบทวนบทเรียนไปในตัว”
“…รู้สึกว่าเดี๋ยวดิฉันจะได้ยินอะไรน่าหงุดหงิดตามมายังไงไม่รู้สิคะ…”
“ถึงเธอจะเรียนเก่งแต่ก็ไม่เท่าฉัน ถ้าเธอยังต้องเอาบทเรียนของมอสี่ที่ไว้ใช้ติวสไปรท์เข้าสมองเพิ่ม มันจะพาลให้ทำข้อสอบแย่กว่าเดิม”
“ประธานจะบอกว่า ต่อให้ประธานต้องเอาเวลาติวหนังสือของตัวเองไปทบทวนบทเรียนของมอสี่อีกรอบ เพื่อติวให้น้องสไปรท์ ประธานก็ยังสอบได้คะแนนเท่าเดิมเหรอคะ?”
“เออเด่ะ”
“มั่นใจจนน่าหมั่นไส้เลยนะคะนั่นน่ะ…”
ว่าแล้วพลอยก็ทำหน้าหงุดหงิดอย่างที่ว่าไว้ตอนแรกจริงๆ
ต่อให้จะอาสามาติวให้สมาชิกสภาที่สอบตกกันระนาวก็เถอะ พวกผมก็ยังต้องสอบ เกิดพลอยติวให้สไปรท์จนเนื้อหาของมอสี่กับมอห้าผสมกันจนเธอทำข้อสอบไม่ได้ คงตลกน่าดู
ด้วยเหตุนั้น ผมจึงรับหน้าที่ติวหนังสือให้สไปรท์เอง แม้จะต้องรื้อฟื้นบทเรียนเก่าๆของปีที่แล้วที่จะไม่ได้ใช้ในการสอบปีนี้ ผมก็คิดว่าไม่ส่งผลต่อคะแนนของผมอยู่ดี
เรานี่มันเก่งจริงๆ
“งืม…จากที่ฟัง คือพี่คริสโตเฟอร์จะติวหนังสือให้หนูใช่มะ?”
“อ่า ดีใจไว้ซะเถอะ คิดว่ามีกี่คนในโรงเรียนอยากให้ฉันติวหนังสือให้กัน”
“โว้ว! เริ่มรู้สึกดีใจที่เข้าสภาขึ้นมาแล้วสิ!”
…ว่าง่ายแปลกๆ จนรู้สึกกังวลนิดหน่อย
“แล้วจะติวที่ไหนกันดี? สภาก็น่าจะที่ไม่พอ…”
เมื่อพี่ต้นว่าแบบนั้น ผมก็หันมองรอบห้อง
มีแค่โต๊ะประธานกับโต๊ะรับแขกเท่านั้น ครั้นจะให้นั่งที่โต๊ะรับแขกสี่คน ก็เดี๋ยวจะติวกันไม่รู้เรื่อง ยังไงติวหนังสือก็ต้องใช้เสียงเพื่อสอนด้วยนี่นะ
“นั่นสินะครับ ขอผมคิดแป๊บ…”
“โอ้วๆ! งั้นพี่คริสโตเฟอร์กับหนูไปติวที่ห้องสมุดกันเถอะ!”
“ห้องสมุด?”
“ไม่เข้าใจเหยอ? ไลเบอรี่ไงไลเบอรี่”
“ออกเสียงว่าไลบรารี่ต่างหาก …อาจจะดีก็ได้แฮะ งั้นพี่ต้นกับพี่น้ำใช้โต๊ะของผมก็ได้ เดี๋ยวผมกับสไปรท์ไปห้องสมุดแทน”
พี่ต้นกับพี่น้ำพยักหน้า
“ส่วนพลอยกับดิวก็ใช้โต๊ะรับแขก”
“ได้ค่ะ งั้นเจอกันอีกทีหลังหมดเวลาชมรมนะคะ”
“ตามนั้น สองชั่วโมงงั้นเหรอ…น่าจะพอทำให้สไปรท์ฉลาดได้อยู่”
สไปรท์แทรกคำพูดของผม
“ไม่พอหรอกน่า! หนูโง่จะตาย!”
“ฉันภูมิใจที่เธอกล้าพูดออกมาได้ไม่อายปากนะ…”
“แหะๆ”
สมาชิกคนอื่นรู้ว่านั่นไม่ใช่คำชม แต่ยัยเสือสมิงกับหัวเราะหน้าบาน
โง่จริงๆด้วย…
…ส่วนใหญ่ผมไม่ค่อยมาที่ห้องสมุดเท่าไหร่นัก
ยิ่งช่วงสอบที่คนเยอะผิดปกติ ซึ่งหลักๆก็มาติวหนังสือกันแบบที่ผมกำลังจะทำเนี่ยแหละ …ตามจริงคือผมอยากหลีกเลี่ยงที่คนแน่นๆโดยไม่จำเป็น
มองไปรอบๆจะเห็นเด็กนักเรียนหน้านิ่วคิ้วขมวดพลางจ้องตัวหนังสือจนตาแทบถลน มือจดเนื้อหาลงสมุดจดเหมือนกลัวว่าที่อ่านไปจะไม่เข้าสมอง
ช่างเป็นทิวทัศน์ห้องสมุดช่วงสอบที่เห็นแล้วรู้สึกเครียดจริงๆ
แต่ทำไงได้ โต๊ะในสภามันไม่พอนี่นะ
“พี่คริสโตเฟอร์!”
สไปรท์ตะโกนเสียงดัง ทั้งๆที่ผมกับเธอนั่งกันอยู่คนละฝั่งของโต๊ะ
ผมส่งสายตำหนิ
“อยู่ในห้องสมุด อย่าเสียงดัง”
“พี่…คริส…โต…เฟอร์”
“ไม่ได้ให้พูดช้าๆ แค่…เออ ช่างเถอะ มีอะไร?”
“จะติวอะไรก่อนอะ?”
“ขอฉันเช็กก่อน…”
ผมเปิดโน้ตในโทรศัพท์ ที่จดเอาไว้ว่าสมาชิกสภาเมื่อตอนสอบกลางภาคตกวิชาอะไร และคะแนนเท่าไหร่
สไปรท์ยืดตัวจนแทบจะคร่อมโต๊ะมาดูหน้าจอ
“พี่คริสโตเฟอร์จดอะไรแบบนี้ไว้ด้วยเหรอ?”
“…แรกๆก็ไม่กะจะทำหรอก แต่พอเห็นคะแนนเธอกับดิวครั้งที่แล้ว เลยต้องจดไว้เตือนความจำสักหน่อย”
เป็นคะแนนที่เห็นแล้วแทบจะสำรอก
…ที่คิดเผื่อไว้ตอนนั้นก็สำหรับสถานการณ์แบบนี้นั่นล่ะ จะได้เน้นให้ถูกวิชา เพราะอย่างสไปรท์หรือดิว ไม่สิ…คนอื่นๆคงไม่จำคะแนนสอบของรอบที่แล้วกันหรอก
และก็อย่างที่เข้าใจ ทันทีที่ผมรู้คะแนนสอบของสมาชิกสภา ก็คิดถึงวันที่ผมต้องติวให้มาตั้งนานแล้ว…
“หนักสุดก็ภาษาอังกฤษสินะ”
“มั่ยๆ หนักทุกวิชาเลยต่างหาก”
“วิชาอื่นยังพอมีเศษคะแนนอยู่บ้าง แต่ภาษาอังกฤษเธอได้ศูนย์…เดี๋ยวนะ มันมีข้อสอบปรนัยด้วยไม่ใช่เรอะ? ต่อให้กามั่วก็น่าจะถูกสักข้อไม่ใช่หรือไง?”
“นั่นจิ น่าสงสัยจังเนอะ”
“ไม่ต้องมาทำพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเองเลยนะเฟ้ย”
จะบอกว่าเก่งก็ไม่ถูก แต่เล่นกาข้อสอบช้อยส์ห้าสิบข้อผิดหมดทุกข้อจนไม่ได้สักคะแนนนี่ก็น่านับถืออยู่นะ…
สไปรท์นาบหน้ากับโต๊ะ
“ก็ภาษาอังกฤษมันยากนี่นา ทำไมคนไทยต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วยน้า…”
“มีภาษาที่สองติดตัวมันทำอะไรง่ายกว่า”
พูดไปคงไม่น่าเกลียดสินะ? เพราะผมก็ได้ภาษาไทยคล่องแล้วด้วย เดี๋ยวจะโดนหาว่าโกงเพราะได้ภาษาอังกฤษตั้งแต่เกิด
สไปรท์เลิกคิ้ว
“ทำอะไรที่ว่า หมายถึงทำอะไรอะ?”
“หางาน”
“หนูพึ่งมอสี่เองนะ?”
“มองอนาคตซะบ้าง”
อายุขัยมนุษย์ไม่ได้นานนักหรอก ยิ่งช่วงมัธยมที่ชอบเอาเวลาไปใช้กันเปล่าๆปลี้ๆด้วย เผลอแป๊บเดียวก็เข้าวัยทำงานแล้ว อะไรที่เตรียมพร้อมได้ก็เตรียมพร้อมไปเถอะ
สไปรท์คิดไปแป๊บนึง
“เย็นนี้กินอะไรดี…?”
พร้อมกะพริบตาปริบๆใส่
โทษที แต่เลือกข้าวเย็นมันไม่ถือว่ามองอนาคตหรอกนะ
ผมถอนหายใจตอบ
“…นั่นก็ใกล้ไปนิด”
“ซื้อโลงลายอะไรไว้ใส่ตอนตาย?”
“นั่นก็ไกลไป อีกอย่าง…เรื่องเลือกโลงน่าจะเป็นหน้าที่ลูกเต้าเธอมากกว่า”
“แต่หนูว่าจะไม่มีลูกแหละ”
“ก็มองอนาคตเป็นไม่ใช่เรอะ?”
“เพราะคิดว่าคงไม่มีเงินเลี้ยงแน่ๆ”
“…… …เริ่มติวกันเถอะ”
ต่อความยาวสาวความยืดกว่านี้มีหวังได้ออกทะเลไปไกลแน่ รีบดึงกลับเข้าเรื่องดีกว่า และผมไม่อยากรับรู้ถึงความอนาถาในอนาคตของเธอหรอกนะ
…จากนั้น ผมก็เริ่มติวหนังสือให้สไปรท์ รู้สึกผมจะเคยเคลมตัวเองไว้ว่า ต่อให้ติวหนังสือให้ควายที่ไหน ก็สามารถทำให้ควายตัวนั้นฉลาดได้สินะ?
ไม่ใช่จะถอนคำพูดหรอก แค่จะบอกว่า…สมองยัยสไปรท์นี่น่าจะเทียบเท่าอะมีบาหรือเชื้อรา…
“…ถ้าซ้ำชั้น พ่อแม่เธอจะว่าอะไรมั้ย?”
“พ่อแม่หนูไม่ว่าร้อก เห็นบอกว่าไม่ต้องเรียนเก่งแต่เป็นคนดีก็พอ”
เป็นพ่อแม่ที่ให้ท้ายลูกแปลกๆ…
สไปรท์พูดต่อ
“ถามทำไมอะ? พี่คริสโตเฟอร์จะซ้ำชั้นอ๋อ?”
“หมายถึงเธอนั่นแหละ!!!”
““แฮ่ม!””
เสียงอะฮ่อม อะแฮ่ม ดังมาจากทั่วห้องสมุด
“ขะ ขอโทษครับ…”
ผมรีบกล่าวขอโทษที่ตัวเองเผลอตะโกน
…ลงท้ายก็ผ่านพ้นสองชั่วโมงโดยที่พึ่งติวภาษาอังกฤษได้วิชาเดียว สไปรท์เล่นไม่เข้าใจบทเรียนเลยสักนิด จึงจำเป็นต้องไล่จี้ทุกจุด และยังหลายรอบกว่าจะเข้าใจ
“ถึงจะใช้เวลานานไปหน่อย แต่ถ้าเธอเข้าใจแล้วก็ถือว่าผ่านล่ะนะ”
“เข้าใจนิดหน่อย น่าจะไม่ตกแล้วมั้ง?”
“ได้งั้นก็ดี…”
“แล้ววิชาอื่นทำไงอะ?”
สไปรท์ที่ปักธงเรียบร้อยแล้วว่าผมต้องติวให้ทุกวิชาก็ถามแบบนั้นด้วยสีหน้าบ๊องแบ๊ว …ไม่ผิดหรอก ผมก็กะจะติวให้ทุกวิชาจริงๆนั่นล่ะ
“วิชาอื่นงั้นเหรอ…”
ผมพึมพำ
อีกเดี๋ยวห้องสมุดก็จะปิด ส่วนในตึกเรียนหรือตึกชมรมก็นะ…ต่อให้เป็นสภานักเรียนแต่จะอยู่ดึกๆดื่นๆโดยไม่ขออนุญาตไม่ได้
เวลาไม่พอสินะเนี่ย พรุ่งนี้ติดเสาร์อาทิตย์ด้วยสิ…
“สไปรท์”
“เง๊อะ?”
“พรุ่งนี้ทำตัวให้ว่างซะ”
“ทำไมอะ?”
ที่จริงก็ไม่อยากทำงี้เท่าไหร่ แต่ถ้าปล่อยเสาอาทิตย์ผ่านไปฟรีๆล่ะก็ มีหวังหลังสอบเสร็จ ผมได้เส้นเลือดในสมองแตกตายจากคะแนนสอบของสไปรท์แน่
ที่น่าจะไปรอดตอนนี้มีแค่ภาษาอังกฤษวิชาเดียว ยังเหลืออีกเป็นกระตัก
ผมพูดคล้ายถอนหายใจ
“เธอมาติวหนังสือบ้านฉันแล้วกัน”
“ไม่เอา! หนูยังไม่อยากลงนรกสักหน่อย! ชู่ว…!!!”
สไปรท์ที่เผลอตะโกนก็ยกนิ้วขึ้นห้ามตัวเอง
ผมส่ายศีรษะให้ความเข้าใจผิด
“ไม่ได้จะให้ไปนรก…คือบ้านเกิดฉันก็ที่นั่นแหละ แต่ตอนนี้ฉันอยู่โลกมนุษย์นะ ต้องมีที่พักสิ”
“คือ… จะให้หนูไปเที่ยวบ้านพี่คริสโตเฟอร์?”
“ไม่ได้เที่ยว ติวหนังสือต่างหาก”
“อืม~~~”
สไปรท์กุมคางครุ่นคิด
ผมขมวดคิ้วถาม
“ต้องคิดด้วยเรอะ? อยากสอบตกหรือไง?”
“แม่หนูบอกว่าห้ามไปบ้านผู้ชายแล้วอยู่กันสองต่อสองแหละ”
“สงสัยว่าทำไมเธอถึงคิดว่าฉันอยู่คนเดียวนิดหน่อยแฮะ …แต่ก็อยู่คนเดียวจริงๆนั่นล่ะ ถึงงั้นก็ไม่ต้องห่วงหรอก”
“อื๋อ?”
ผมเก็บข้าวของและลุกขึ้น
“ฉันจะให้คนในสภาไปด้วย”
“โว้ว! ไปกันหมดเลยเหรอ!? สุดยอด! สุดยอด!”
“อย่าเสียงดัง!”
…และก็กลายเป็นโดนครูประจำห้องสมุดบ่นใส่ซะหูชา แน่นอนว่าผมที่ตวาดไปก็ผิดเหมือนกัน
แต่ว่านะ ต้นเหตุส่วนใหญ่มันไม่ได้มาจากผมสักหน่อย…
เคสที่ 18 ติวสอบ /มีต่อ