สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 33 เคสที่ 17 การทำงานร่วมกันของสภานักเรียน (2)
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 33 เคสที่ 17 การทำงานร่วมกันของสภานักเรียน (2)
…อย่างที่บอกว่าไม่ใกล้ไม่ไกล ตอนนี้พวกผมก็มาถึงจุดหมายตามโลเคชั่นเรียบร้อย
ผมกดออดหน้าบ้านครูสมศักดิ์ ภายนอกก็เป็นบ้านหรูน่าดู อย่างว่าล่ะนะ เป็นถึงครูใหญ่ก็น่าจะมีเงินซื้อบ้านดีๆสักหลังอยู่แล้ว
รอสักพัก ครูสมศักดิ์ในเสื้อโปโลกางเกงขาสั้นก็เปิดประตูออกมา …แต่งตัวซะชิลเลยนะพ่อคุณ
“มากันแล้วเหรอ? สภานักเรียน”
“ครับ”
ผมตอบสั้นๆ พี่ต้นก็ยกมือไหว้ ส่วนสไปรท์ยังก้มหน้าก้มตาเล่นเกมตามเดิม
ครูสมศักดิ์พยักหน้า
“ตอนแรกนึกว่าคริสโตเฟอร์จะมาคนเดียวซะอีก แอบกังวลนิดหน่อย เพราะของเยอะน่าดูเลยล่ะ”
“ผมก็คิดงั้นแหละครับ ถึงได้พาคนมาช่วยด้วย”
“อืมๆ สมเป็นคริสโตเฟอร์ …แล้ว…ทำไมเปมิกาถึงตัวเปียกแบบนั้นล่ะ?”
นางสาวเปมิการับคำถามด้วยการเล่นเกมมือถือโดยไม่สนใจ
ผมเคาะกะโหลกเธอเบาๆไปหนึ่งที
“แอ๊ะ!”
“ครูเขาถามก็ตอบสิเฮ้ย”
“เจ็บอะ! อย่าใช้กำลังสิ!”
เปมิกาที่ว่าก็คือยัยเสือสมิงนี่นั่นแหละ นิสัยคนเป็นครูอะเนอะ ชอบเรียกเด็กนักเรียนด้วยชื่อจริง
สไปรท์ลูบศีรษะตอบครูสมศักดิ์
“ไปว่ายน้ำเล่นในคลองมาอะ”
“…เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก สระว่ายน้ำที่โรงเรียนก็มีไม่ใช่เหรอ?”
“แล้วสระโรงเรียนมันมีปลามั้ยเล่า!”
ผมทุบศีรษะสไปรท์ไปอีกที
“ก็บอกว่าเจ็บไง! พี่คริสโตเฟอร์!”
“พูดกับผู้ใหญ่ให้ดีๆหน่อย อย่าให้ฉันต้องสอนเรื่องมารยาท …แล้วเธอก็แค่ร่วงลงคลองเองไม่ใช่เรอะ?”
ยัยนี่แค่ประมาทจนตกคลองเท่านั้นแหละ เล่นพูดซะอย่างกับที่ลงไปในคลองจนเปียกโชกขนาดนี้เป็นความตั้งใจเลยนะนั่น
ครูสมศักดิ์หัวเราะ
“ฮะฮะ อย่างคริสโตเฟอร์นี่ไปสอนคนอื่นแบบนั้นได้ด้วยเหรอ?”
“ครูใหญ่…ผมพยายามรักษามารยาทกับครูอยู่ตลอดนะครับ? อย่าพูดเหมือนผมเป็นเด็กไร้มารยาทสิครับ”
ถึงบางการกระทำจะห่ามๆไปบ้าง แต่คำพูดคำจาของผมน่ะ แต่ละคำก็มีดอกพิกุลร่วงจากปากทุกครั้งเลยนะ
“งั้นเหรอๆ โทษทีๆ ครูแค่หยอกเล่นน่ะ อ้าว? ปฏิภาณก็มาด้วยนี่นา? แหม เข้ามานั่งข้างในก่อนสิ เดี๋ยวครูไปหยิบของให้”
นายปฏิภาณก็ค้อมศีรษะ
“อุปกรณ์ไล่ผีที่ครูว่า คงไม่ใช่พวกพระเครื่องใช่มั้ยครับ?”
พร้อมถามแบบนั้น
รุ่นพี่ผีกระหังมีประเด็นเรื่องพระเครื่องอยู่นิดหน่อยล่ะนะ ต่อให้จะเอาไปไล่ผี พี่ต้นก็คงไม่อยากใช้เท่าไหร่
ครูใหญ่สมศักดิ์กลั้วหัวเราะ
“ไม่ใช่หรอกๆ อย่างครูที่เป็นครูใหญ่ของจิตตฯ ถ้ามีของแบบนั้นติดตัวคงดูไม่ดี …จะเหมือนไม่มีความเชื่อใจในตัวนักเรียนน่ะสิ”
“ครับ…”
“เพราะงั้นหมดห่วงได้เลย ของที่ครูเตรียมให้ ใช้หลักวิทยาศาสตร์ล้วนๆ!”
ของที่จะให้พวกผมเอาไปปราบผีดันใช้หลักวิทย์เนี่ยนะ? เริ่มรู้สึกว่าที่มาที่นี่เสียเที่ยวไงไม่รู้…
ครูใหญ่พูดต่อ
“แล้วก็นะ อย่างครูไม่ต้องใช้พระเครื่องหรอก ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับผีเฮี้ยนๆจริงๆ ไว้ครูให้คริสโตเฟอร์ช่วยก็ได้”
“ผมก็แค่ซาตานเองครับ”
“แค่ซาตานอะไรกันเล่า? ฮะฮะฮะ!”
หลังการพูดคุยหอมปากหอมคอ พวกผมก็เข้าไปในบ้านครูสมศักดิ์ เพื่อเอาของที่เป็นจุดมุ่งหมายของการมาเยือนครั้งนี้
สไปรท์ที่ขอยืมห้องน้ำก็ตามครูใหญ่ขึ้นไปชั้นบน …ส่วนเสื้อที่เปียกก็น่าจะต้องเปลี่ยนนั่นล่ะ คงต้องยืมชุดของครูเขาเอาล่ะนะ
ตอนนี้ ผมกับพี่ต้นก็มานั่งที่ห้องรับรองแขกที่ดูเป็นทางการกว่าโต๊ะรับแขกโง่ๆของสภาหลายเท่า บ้านคนมีตังค์ก็งี้แหละ
หลังจากครูสมศักดิ์พาผมกับพี่ต้นมารอที่นี่ และพาสไปรท์ไปอาบน้ำ คนที่เข้ามาในห้องรับรองแขกคนต่อไปกลับเป็นหญิงสาวที่ไม่คุ้นหน้า
“สวัสดีจ่ะเด็กๆ ป้าเอาน้ำมาให้ คอแห้งกันรึเปล่า?”
เสียงใสๆที่แฝงด้วยความเป็นห่วงกล่าวเช่นนั้น
พวกผมยกมือไหว้
“ขอบคุณมากครับ …เอ่อ…”
เมื่อเห็นผมทำหน้างงๆ หญิงสาวก็แนะนำตัว
“ภรรยาของครูใหญ่พวกเธอเอง …เรียกคุณป้าเฉยๆก็ได้ คริสโตเฟอร์ ปฏิภาณ”
“รู้จักพวกผมด้วยเหรอครับ?”
“แหม สภานักเรียนที่เจ้าศักดิ์หวงนักหวงหนาเลยนี่นา ชอบเอาเรื่องของพวกเธอมาเล่าให้ป้าฟังอยู่บ่อยๆ ล่าสุดที่ไปเที่ยวก็ถึงขนาดยอมควักเงินตัวเองซื้อของมาฝากพวกเธอเลยล่ะ ทั้งๆที่ปกติคนคนนั้นขี้เหนียวแท้ๆ”
“งะ งั้นเหรอครับ ขอโทษด้วยนะครับ”
ถึงที่ซื้อมานั่นจะแค่หวังให้ผมพาพี่แกไปนรกก็เถอะ …สงสัยจังว่าคุณป้าเขารู้รึเปล่า ว่าผมมีส่วนให้ครูสมศักดิ์เข้าโรงบาล…และก็ขอย้ำอีกครั้งว่าผมไม่ใช่ต้นเหตุนะ
“ไม่เป็นไรๆ แต่พอป้ามาเห็นพวกเธอ ก็เริ่มรู้แล้วล่ะว่าทำไมเจ้าศักดิ์ถึงได้ชอบขนาดนี้”
“อะฮะฮะ”
ผมหัวเราะโดยไม่มีเหตุผล
คุณป้าก็วางน้ำชาลงบนโต๊ะ
“งั้นป้าไปก่อนดีกว่า ทั้งสองคนก็ตามสบายเลยนะจ๊ะ”
““คร้าบ””
เมื่อเธอจากไป พี่ต้นก็พูดขึ้น
“เป็นผู้หญิงที่สวยมากเลยนะ…”
“เจ้าครูใหญ่นั่นก็ไม่ได้หน้าตาขี้ลิ่วขี้เหร่ จะหาเมียสวยๆแบบนี้ได้ก็ไม่แปลกหรอกครับ แถมยังเป็นถึงครูใหญ่ที่งานการมั่นคงด้วย”
“วิเคราะห์ตรงจังเลยนะนั่น…”
“สังคมมนุษย์มันก็รูปแบบประมาณนั้นนั่นแหละครับ…ว่าแต่ช้าจังนะเนี่ย…”
ไม่ทันจะพูดจบ จู่ๆก็มีเสียงเปิดประตูที่ดังมาจากประตูทางเข้า
หืม? ใครมาล่ะนั่น? เพื่อนครูเขาเหรอ?
ผมสงสัย และเสียงฝีเท้าก็วิ่งตึกตักเข้ามาในห้องรับแขก ก่อนจะปรากฏร่างของเด็กหนุ่มที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายครูสมศักดิ์ชอบกล แถมยังใส่เครื่องแบบของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยาด้วย
เด็กหนุ่มยืนจังก้ามองพวกผม
พี่ต้นขมวดคิ้ว
“เด็กประถม…?”
“คนไหนคือคริสโตเฟอร์!”
เด็กหนุ่มพูดแทรกและปาดนิ้วใส่
ผมยกมือขึ้นช้าๆ
“ฉันเอง…นายเป็นลูกครูใหญ่เหรอ?”
“ใช่แล้ว! นายสินะที่ทำคุณพ่อเข้าโรงบาลน่ะ!”
…บรรลัยแล้วไง
“คุณพ่อบอกว่าวันนี้สภานักเรียนจะมาบ้าน! ผมจะมาดูหน้าเจ้าซาตานนั่นให้ชัดๆ! นายเองสินะ! เจ้าหัวชมพู!”
“จะ…เจ้าหัวชมพูเหรอ…”
อย่างน้อยก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเขาบนหัวผมเท่าไหร่ อาจจะเป็นเรื่องดีกว่าที่คิดก็ได้
พี่ต้นกระซิบ
“ที่ครูสมศักดิ์เข้าโรงบาล …น้องประธานเป็นคนทำเหรอ?”
“ไม่… …เอ่อ …ใช่”
“ตกลงยังไงเนี่ย?”
“ผมไม่ผิดนา ครูใหญ่เขาทำตัวเองต่างหาก”
“อ่า… ช่างเถอะ น้องประธานจัดการเองเลยนะ พี่ขอไม่ยุ่งดีกว่า”
ว่าแล้วพี่ต้นก็ย้ายไปนั่งโซฟาอีกฝั่งและซดน้ำชาอยู่เงียบๆ ปล่อยผมให้รับหน้าเด็กประถมนี่คนเดียว
ดูจากรูปการณ์ คงเป็นลูกชายของครูใหญ่นั่นแหละ
เด็กหนุ่มพุ่งตัวเหมือนกระโดดมานั่งข้างผม
“นี่! เจ้าหัวชมพู”
“…ครับ”
ตามปกติคงจะซัดซักเปรี้ยงให้เด็กไม่มีสัมมาคารวะไปแล้ว …แต่ผมยังรู้สึกผิดเรื่องนั้นอยู่นิดหน่อย จึงปล่อยไปเลยตามเลย
เด็กนี่เป็นลูกครูใหญ่ที่ผมมีส่วน(นิดหน่อย)ที่ทำให้เขาเข้าโรงบาลนี่นะ
“ผมชื่อเมฆ อยู่ปอสี่”
ดูจากเครื่องแบบ …แผนกประถมของโรงเรียนที่สร้างขึ้นมาเป็นพิธีนั่นสินะ สัดส่วนนักเรียนก็น้อยกว่ามัธยมหลายเท่า
“…ยินดีที่ได้รู้จัก”
“เป็นซาตานสินะนายน่ะ ทำให้คุณพ่อล้มพับจนเกือบตายด้วย”
“ไม่ถึงตายสักหน่อย แค่…คำนวณความแข็งแกร่งด้านจิตใจของมนุษย์พลาดไปนิดเดียว …แค่นิดเดียวจริงๆนะ”
เด็กหนุ่มเมฆกุมคาง หันซ้ายหันขวามองรอบๆ
หาอะไรอยู่ล่ะนั่น? คงไม่ใช่จะหาไม้มาฟาดผมใช่มั้ยเนี่ย?
…ก็เป็นไปได้แฮะ คนเป็นลูกก็ต้องห่วงพ่อแม่เป็นธรรมดา เหมือนที่พ่อแม่ห่วงลูกนั่นแหละ
มาเจอคนที่ทำให้พ่อตัวเองเข้าโรงบาล จะโกรธจนอยากทำอะไรสักอย่างก็อยู่ในเกณฑ์ที่เข้าใจได้
…แม้จะคิดอย่างนั้น แต่หลังจากมองรอบข้างเรียบร้อย เด็กหนุ่มก็ยกตัวมากระซิบข้างหูผม
“ทำไมไม่ทำให้ตายๆไปเลยล่ะ?”
“นี่น้องพูดบ้าอะไรอยู่ครับเนี่ย???”
“อย่าเสียงดังสิ!!!”
ผมโดนเมฆตะคอกใส่
“คือผมเบื่อหน้าไอ้แก่นั่นเต็มทนแล้ว นายรู้ใช่มั้ยว่าผมเป็นคนธรรมดาน่ะ? แต่ไอ้แก่นั่นกลับพาผมเข้าไปเรียนในจิตตฯเฉยเลย คิดว่าคนธรรมดาจะไปหาเพื่อนในโรงเรียนแบบนั้นง่ายหรือไง?”
“เหตุผลแค่นั้นมันถึงขั้นอยากฆ่าบุพพการีเลยเรอะ?”
“นายเป็นผีไม่เข้าใจหรอก สภาพของผมตอนนี้เหมือนหลุดไปอยู่ในดงคนป่าเลยล่ะ แค่จะเอาชีวิตรอดในแต่ละวันก็ยากจนอยากจะตายให้ได้ …เพราะงั้นถ้าไอ้แก่นั่นตายก่อน เดี๋ยวคุณแม่ก็คงพาผมย้ายโรงเรียนไปที่อื่นเองแหละ”
“โกรธจัดเลยนะนั่น…”
“ตามนั้นแหละๆ ถึงจะเสียดายที่นายไม่ทำให้ตายไปเลยก็เถอะ …แต่ถ้ายังไงขอยาพิษหรืออะไรก็ได้ที่ทำให้มนุษย์ตายแบบไม่ทิ้งหลักฐานให้ผมหน่อยได้มั้ย? นายเป็นซาตานนี่นา”
“มีมันก็มีอยู่หรอก…แต่จะให้ของแบบนั้นง่ายๆเลยมันก็…”
เมฆขมวดคิ้ว
“อะไร? ต้องมีค่าใช้จ่ายเหรอ? ผมรวยนะ เดี๋ยวเอาเงินไอ้แก่นั่นมาจ่ายก็ได้ กี่บาทว่ามาเลย”
…เอาเงินพ่อตัวเองมาฆ่าพ่องั้นเหรอ …ปล่อยไว้แบบนี้ ผมได้เจอเด็กนี่ในนรกเข้าสักวันแน่
ขู่ให้ยอมๆไปดีกว่า ปัญหาครอบครัวผมไม่อยากไปยุ่งด้วย
ผมทำหน้าจริงจัง
“จะเอาของจากซาตาน สิ่งที่จ่ายไม่ใช่เงินหรอกนะ …แต่เป็น…”
ผมจงใจละคำพูดไว้แค่นั้น เพื่อให้สัมผัสถึงความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้
แต่เมฆกลับ
“วิญญาณเหรอ? หรืออายุขัย? อยากได้อะไรก็พูดมาสิ”
“อะ เอ่อ…พี่ต้นฮับ ช่วยผมด้วยฮับ”
“…”
พี่ต้นทำเป็นไม่ได้ยิน …เอาตัวรอดเก่งไปมั้ยฮึ?
ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายไปกว่านี้ ครูสมศักดิ์ที่หยิบของเสร็จพอดีก็มาที่ห้องรับรองแขก
“ช้าไปหน่อย โทษทีนะ อ้าว? กลับมาแล้วเหรอ? ลูกเมฆ”
“คุณป้อ~!”
เมฆเปลี่ยนอารมณ์ทันควันและวิ่งไปสวมกอดครูสมศักดิ์ด้วยความรัก…
“ฮะฮะ เมฆนี่น่ารักจริงๆเชียว คุยอะไรกับพวกพี่ๆเขาเหรอ?”
“คุยว่าใครรักคุณพ่อมากกว่ากันครับ!”
“งั้นเหรอๆ”
“ไม่มีใครรักคุณพ่อได้เท่าผมเลยล่ะ!”
“ดีใจจัง …เมฆไปทำการบ้านเถอะ เดี๋ยวพ่อต้องคุยธุระกับพวกพี่เขาๆน่ะ”
“คร้าบ!”
จากนั้นเมฆก็วิ่งขึ้นชั้นสอง พร้อมสบสายตากับผมที่มองตามขึ้นไป แววตาช่างน่ากลัวจนมิอาจหาคำเปรียบ …แถมยังทำท่าปาดคอเหมือนจะให้ผมฆ่าครูสมศักดิ์ด้วย…
ครูสมศักดิ์วางถุงข้าวของบนโต๊ะ เหลือบมองสีหน้าผมกับพี่ต้น
“หืม? ทำไมทั้งสองคนทำหน้าแปลกๆจัง? เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
““ไม่มีอะไรครับ””
“แหมๆ หรือว่าเขินเรื่องที่คุยกับลูกครูกันล่ะ? ไม่ต้องอายหรอกๆ”
…ขอใช้สิทธิ์ไม่พูดแล้วกัน ให้หมอนี่คิดเอาเอง ที่จริงอยากเตือนให้ระวังเด็กนั่นไว้หน่อยก็ดี แต่ก็นะ…ไม่ใช่กงการอะไรของผมด้วยสิ…
พี่ต้นเปลี่ยนเรื่อง
“ขะ…ของนี่คือที่จะให้พวกผมเอาไปปราบผีใช่มั้ยครับ?”
“ใช่ๆ ครูซื้อมาติดบ้านไว้สักพักแล้วน่ะ สัมผัสที่หกครูไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีก็อยากเห็นผีบ้างไรบ้าง อุปกรณ์พวกนี้ก็ไม่เชิงไล่ผีนักหรอก ส่วนใหญ่จะเป็นการตรวจหาผีมากกว่า แต่รวมๆก็น่าจะใช้ได้”
“ขอผมดูหน่อยนะครับ”
“เชิญๆ ยังไงก็จะให้พวกเธอยืมอยู่แล้ว”
พี่ต้นทำการหยิบของในถุงออกมาวางบนโต๊ะทีละชิ้น ผมก็พินิจพิจารณาของพวกนั้น…
เทียน เกลือ หลอดไฟuv เครื่องวัดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า เครื่องตรวจจับเสียง เครื่องตรวจจับการเคลื่อนไหว …และของอื่นๆอีกมากมาย
พี่ต้นทำหน้าปั้นยาก
“ขะ ของพวกนี้…”
“อืม ครูซื้อมาตามเกมที่ครูเคยเล่นน่ะ พวกเธอรู้จักรึเปล่า?”
“อย่างที่คิดจริงๆด้วย…”
พี่ต้นลูบต้นคอด้วยสีหน้าแปลกๆ
…หมอนี่ซื้ออุปกรณ์พวกนี้มาตามเกมล่าท้าผีหรอกเรอะ? ให้ตายสิ เริ่มจะรู้สึกเสียเที่ยวจริงๆแล้วนะ
“ชะ ใช้ไม่ได้เหรอ?”
พี่ต้นส่ายศีรษะตอบครูใหญ่ที่ทำหน้ากังวลว่า
“ไม่หรอกครับ อาจจะดีกว่าที่คิดก็ได้ ขอบคุณมากครับ”
ไม่รู้ว่าพี่เขาพูดรักษาน้ำใจหรือว่าอะไร แต่ไว้ไปถึงหน้างานจริงๆก็น่าจะรู้ว่ามีประโยชน์แค่ไหน …ให้พี่ต้นเป็นคนใช้ก็แล้วกัน
ครูใหญ่ก็ยิ้มด้วยสีหน้าปลาบปลื้ม
และในหมู่อุปกรณ์มากมาย ดันมีกล่องสีดำอยู่หนึ่งกล่อง
ผมมองไปที่กล่องนั้น ครูใหญ่ก็พูดขึ้น
“นั่นก็เป็นของไว้ใช้ไล่ผีน่ะ แต่ผีไทยไม่กลัวอะไรแบบนี้หรอก เอามาเผื่อเฉยๆ และที่ใส่กล่องไว้ เพราะไม่รู้ว่าจะมีผลอะไรกับคริสโตเฟอร์รึเปล่า…”
“อย่าบอกนะว่าของในกล่องนี่คือ…ไม้กางเขน?”
“ใช่ๆ…”
ทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น…
ผมก็หยิบกล่องนั่นขึ้นมาและเขวี้ยงลงถังขยะทันที
“คริสโตเฟอร์~~~!!! อันนั้นครูซื้อมาแพงมากเลยนะ! ทำจากแก้วด้วย!”
“ไม้กางเขนบ้านครูเขาทำจากแก้วหรือไงครับ! แล้วถ้าเป็นแก้วจริงๆก็ยิ่งดี!”
ที่เขวี้ยงไปเมื่อกี้ก็น่าจะแรงพอให้แก้วแตก อืมๆ ตัดปัญหาได้รวดเร็วฉับไวจริงๆ
ครูสมศักดิ์เดินไปที่ถังขยะ หยิบกล่องขึ้นมาเปิดดูด้วยหน้าเหมือนจะร้องไห้
“…ละเอียดเป็นเม็ดทรายเลย …ถ้าจะไม่ใช้ก็บอกครูดีๆก็ได้นี่…”
“โทษทีครับ อารมณ์มันพาไป”
ได้ยินคำว่าไม้กางเขนทีไรก็ของขึ้นตลอด ให้ตายสิน่า ของที่ไม่ถูกโรคด้วย จะทำยังไงก็ไม่ชินจริงๆนั่นแหละ
ต่อให้จะไม่ถึงกับแพ้หนักจนเข้าขั้นสาหัส แต่กับของที่สร้างอันตรายให้ผมได้แม้จะน้อยนิด เอาไว้ห่างๆตัวหรือทำลายทิ้งไปล่ะดี
“อะ เอ่อ น้องประธาน …พวกเรากลับกันเลยมั้ย?”
“ก็ดีนะครับ งั้นไว้เจอกันนะครับครูใหญ่ ฝากขอบคุณคุณป้าเรื่องน้ำชาด้วยนะครับ”
“อืม…โชคดีนะ…”
ผมกับพี่ต้นก็เดินออกประตู โดยทิ้งครูใหญ่ที่หมดอาลัยตายอยากไว้แบบนั้น
…เนื่องจากก่อนหน้านี้ผมก็จำทางระหว่างมาแล้ว เพราะงั้นจึงกลับถึงโรงเรียนได้ง่ายดายโดยไม่ต้องใช้เทคโนโลยีช่วย
แต่แล้วเมื่อถึงหน้าทางเข้าโรงเรียน พวกผมก็พบกับเด็กสาวผมสีขาวสว่างที่ใส่ฮู้ดสีม่วงพร้อมด้วยลูกเจี๊ยบบนไหล่อีกหนึ่งตัว
เลขานุการของสภา ดิวนั่นเอง
เธอดูงงๆ มองผมสลับกับพี่ต้น
ผมเอ่ย
“ดิว? จะไปไหนเนี่ย? พวกฉันเอาของมาแล้วนะ”
ดิวกะพริบตาด้วยใบหน้าอึนๆ
“…ยังไม่เริ่มงานไม่ใช่เหรอ? …ฉันว่าจะไปซื้อขนมสักหน่อย …อืม …ขอยืมจักรยานคริสโตเฟอร์ได้มั้ย?”
“ก็ได้อยู่หรอก ไปเอาเลยก็ได้ ฉันไม่ได้ล็อคคอไว้”
ร้านคุณป้าของชำก็ปิดไปแล้ว ดิวเลยจะไปซื้อของกินที่เซเว่นแทนสินะ …สงสัยจะติดใจจักรยานน่าดูเลยนะนั่น
พี่ต้นพูดขึ้น
“ถ้าจะไปเซเว่นล่ะก็ ให้พี่ไปเป็นเพื่อนมั้ย?”
“…ได้เหรอ?”
“ได้สิ หรือน้องดิวอยากไปคนเดียวรึเปล่า?”
“…เปล่า …ขี้เกียจปั่นเองพอดี”
ถึงดิวจะพูดจาน่าหมั่นไส้หน่อยๆ แต่พี่ต้นก็ยิ้มบางๆด้วยใบหน้าอันหล่อเหลา
“งั้นพี่กับน้องดิวขอยืมจักรยานหน่อยนะ น้องประธาน”
“เชิญเลยครับ ที่จริงให้ดิวไปคนเดียวก็เป็นห่วงนิดหน่อย มีพี่ต้นไปด้วย ผมก็อุ่นใจขึ้นเยอะ”
“ไปแค่เซเว่นเองนะ น้องประธานคิดมากไปรึเปล่า?”
“ระวังตัวไว้ก็เป็นเรื่องดีนี่ครับ”
ถึงแถวนี้จะไม่ค่อยมีอาชญากรรมเกิดขึ้นก็เถอะ แต่ให้ดิวไปคนเดียวก็ดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ …แต่เอ ดิวก็เป็นปอบนี่นา หรือผมจะคิดมากไปจริงๆล่ะนั่น?
เอาเถอะ ให้พี่ต้นไปด้วยแหละดี
สุดท้ายก็นัดแนะกันเช่นนั้น ผมเอาถุงที่ได้จากครูใหญ่มาจากพี่ต้น และกำลังจะเดินเข้าโรงเรียน
ทันใดนั้นเอง ที่ดิวดึงแขนเสื้อผมเอาไว้
“อะไร? จะยืมเงินเหรอ?”
“…ไม่ใช่”
และในจังหวะเดียวกันที่พี่ต้นตะโกน
“เฮ้ย!? แย่แล้ว!”
แบบนั้น
“?”
ผมที่ยังตามไม่ทัน ก็ได้แต่รอว่าดิวจะพูดอะไร…
“…สไปรท์…อยู่ไหน?”
และพอได้ยินเท่านั้นแหละ…
“ตายห่*แล้วไง…”
ผมสบถ กุมขมับด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ
เคสที่ 17 การทำงานร่วมกันของสภานักเรียน /มีต่อ