สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 29 เคสที่ 15 Bad Luck
ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหูแปลกๆ ที่ไปเผลอได้ยินได้ฟังทีไร ก็รู้สึกว่ามันใกล้ตัวกว่าที่คิด ทั้งๆที่เป็นประเด็นที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับตัวผมเลยสักกะนิดส์
ต่อให้จะเป็นข่าวลือแปลกๆมากแค่ไหน ถ้าไม่มีนักเรียนตาใสผู้น่าสงสารมาขอความช่วยเหลือ ตัวผมที่ใช้ชีวิตแบบเอาทุกอย่างรอบตัวไปไกลๆไม่ให้รกสมองนั้น ไอ้ข่าวลือที่ว่าก็แทบไม่มีความหมายในสายตาเลยสักกะนิดส์
และยิ่งเป็นประเด็นที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนกับผมโดยตรง รวมถึงไม่มีใครมาขอให้ช่วย จะบอกว่านั่นคือข่าวลือไร้สาระที่ประธานนักเรียนอย่างผมไม่ต้องใส่ใจก็ว่าได้
ถึงจะคิดงั้นก็เถอะ…
“ช่วงนี้หนู ‘โชคร้าย’ สุดๆเลยน่ะค่ะ…ไม่รู้เป็นเพราะอะไร”
เจ้าของเคสประจำวันก็ได้เอ่ยด้วยเสียงเศร้าโศกเล็กๆ โดยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามโต๊ะรับแขก ผมกับพลอยอยู่อีกฝั่ง
“คนอื่นๆก็โชคร้ายเหมือนกันด้วยค่ะ และก็ไม่รู้ทำไม ถึงได้โทษว่าเป็นความผิดหนู หนูถึงถ่อมาถึงสภานักเรียนนี่แหละค่ะ”
ผมกับพลอยหรี่ตามองเจ้าของเคส
เด็กสาวหน้าตาบ้านๆ ถึงจะเรียกว่าเจ้าของเคสจากมารยาทการรับลูกค้าของสภา แต่แม่นี่ก็เป็นนักเรียนที่คุ้นหน้าคุ้นตาอยู่พอประมาณ
พลอยป้องปากกระซิบข้างหู
“…น้องคนนี้ …หรือว่า”
“น่าจะใช่แหละ เล่นเข้ามาพูดปาวๆทั้งๆที่ยังไม่แนะนำตัวแบบนี้ ฝั่งนั้นก็คงคิดว่าพวกเรายังจำเธอได้ล่ะมั้ง”
“แล้วประธานจำน้องเขาได้รึเปล่าคะ?”
“พอเห็นหน้าก็จำได้”
เป็นบุคคลที่ไม่ได้สลักสำคัญมากนัก ให้ระดับความสำคัญก็อยู่ประมาณระดับห้า ที่ถ้าพอเห็นหน้าก็จำได้
อะไรประมาณนั้นแหละ
เจ้าของเคสทุบโต๊ะรับแขก
“ก็เพราะงี้แหละค่ะ! สภานักเรียนช่วยหาวิธีช่วยหน่อยได้มั้ย!? ตอนนี้ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หนูแล้วนะคะ!”
“นี่น้อง วิธีช่วยน่ะไม่มีหรอก …แต่ถ้าวิธีทำให้โชคร้ายที่ว่านั่นหายไปอย่างกับบีบสิวออกน่ะ ก็ง่ายมากเลยนะ”
“เปรียบเปรยได้น่าขยะแขยงจัง แล้ววิธีที่ว่าคืออะไรเหรอคะ???”
เมื่อเจ้าของเคสถามด้วยความงุนงง
ผมก็เลื่อนนิ้วไปทางห้องเก็บของของสภา
“น้องรีบไปหยิบไม้กวาดมากวาดห้องสภาเดี๋ยวนี้เลย”
“อะไรกันคะเนี่ย!? สภาช่วยเหลือนักเรียนฟรีไม่ใช่หรือไงกัน!? ทำไมหนูต้องทำงานก่อนด้วยล่ะ!”
“ก็หล่อนติดค้างทำความสะอาดกับฉันอยู่ไม่ใช่หรือไงหา!!!?”
ขอแนะนำให้รู้จักอีกครั้ง นี่คือเด็กสาวชั้นมอสี่ที่เคยขอร้องให้สภานักเรียนช่วยมาครั้งนึง …ที่จริงผมก็ไม่ได้คิดชื่อเคสไว้เพื่อจดจำหรอก เพราะยังไงเคสที่ทำเสร็จแล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมาจำ
แต่ถ้าให้ผมตั้งชื่อเคสที่เด็กคนนี้เคยมาขอให้ช่วยล่ะก็…เคสนั้นคงเรียกว่า ‘เคสนอกใจ’ ล่ะมั้ง?
อย่างไรก็ดี เด็กสาวหน้าตาบ้านๆคนนี้ชื่อ ‘หยก’
ผู้ที่แพ้พนันกับผมในเคสดังกล่าว และติดค้างทำความสะอาดให้สภาเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆคือถ้าหยกไม่ทำตามที่สัญญากับผมไว้ล่ะก็ จะส่งผลให้เธอโชคร้าย ‘เล็กน้อย’
ซึ่งไอ้เล็กน้อยที่ว่าก็ในกรณีที่เลทไปวันสองวันนั่นแหละ แต่นี่ก็ผ่านมาเดือนๆกว่า ถึงจะมาโผล่หน้ามาสภา ดังนั้นไอ้โชคร้ายที่ว่าซึ่งเกิดจากพันธสัญญาจึงทวีความรุนแรงไปเรื่อยๆ
อย่างตอนนี้ แค่มองไปที่ตัวเธอ ยังมองเห็นออร่าสีดำๆส่งกลิ่นไม่ค่อยดีออกมา นั่นน่าจะส่งผลให้ตัวเองโชคร้ายและยังทำให้คนรอบๆโชคร้ายตามไปด้วย
หยกลุกขึ้นตะโกน
“หนะ หนูไม่ได้ติดค้างอะไรสักหน่อย!”
“จะตีหน้าซื่อแกล้งมึนเรอะ!? พันธสัญญาที่ผูกตัวข้ากับลูกแกะอันน่าสงสารเอ๋ย! จงแสดงออกมาให้สิ่งมีชีวิตอันต่ำต้อยรับรู้ซะ!”
พริบตานั้นเอง ที่ตัวอักษรสีแดงสดตรงจุดที่ผมเคยใช้เขี้ยวขบไปที่ข้อมือของหยกก็เด่นชัดขึ้นมาราวกับโดนกรีดด้วยมีด
“อะไรเนี่ย!? น่ากลัว! พี่ประธานทำอะไรหนูไว้คะเนี่ย!???”
“อ่านสิว้อย!”
ผมคะยั้นคะยอให้หยกอ่านข้อความสลัก แต่เธอกลับเอามือปัดๆเหมือนไล่แมลง
“อี๋! ไม่อ่านค่ะ! รีบๆเอาออกไปจากตัวหนูได้แล้ว!”
“ก็บอกให้อ่านไงว้อย!!!”
“ไม่อ่าน! แล้วก็อ่านไม่ออกด้วย!”
“อยู่ตั้งมอสี่ ทำไมถึงอ่านภาษาอังกฤษไม่ออกกันหา!!!?”
ข้อความที่เด่นขึ้นมาใช้ภาษาอังกฤษ ทำไงได้ล่ะ ถึงผมจะพูดไทยคล่องปร๋อเพราะอยู่มาหลายปี แต่ไอ้ตัวมนตราจากพันธสัญญาก็ไม่ได้เปลี่ยนภาษาตามไปด้วย
และก็ไม่คิดด้วยว่าจะมีคนอ่านภาษาอังกฤษไม่ออก
ผมคว้าข้อมือหยกและยกขึ้นมา
“เดี๋ยวฉันอ่านให้!”
“อะ อะ อะ… อย่ามาจับตัวหนูสิคะ!”
หยกทำตัวไม่ถูกและพยายามสะบัดมือผมออก
“จะหน้าแดงหาพระแสงอะไรเล่า! พลอย! มาช่วยจับหน่อย!”
“…นั่นลวนลามทางเพศนะคะ”
“ไม่ใช่! แล้วเธอโกรธอะไรเนี่ย!? มาช่วยกันก๊อน!”
สุดท้ายรองประธานผีนางรำก็ไม่ช่วยสักนิด ได้แต่นั่งทำหน้าเคืองๆราวกับผมไปฆ่าบุพการีด้วยแววตาเฉียบคม นี่ผมทำผิดตรงไหนอีกล่ะเนี่ย?
หยกไปเอาไม้กวาดมากวาดห้องสภาด้วยใบหน้าบอกบุญไม่รับ หลังจากที่ผมทำการอ่านพันธสัญญาที่ข้อมือให้เธอฟัง ใจความก็คือเธอติดค้างทำความสะอาดนั่นล่ะ
หยกบ่นพึมพำแบบให้ผมได้ยิน
“ให้ตายสิ มาลงสันยงสัญญาบ้าอะไรก็ไม่รู้กับคนอื่น…”
“ได้ยินนะเฮ้ย คนผิดก็ไม่ใช่ฉัน เธอต่างหากที่ลืม”
“ไม่ได้ลืมสักหน่อย…”
“อ๋อเหรอ? จะไงก็ช่าง อย่าลืมแวะมาทำความสะอาดให้ครบจำนวนที่พนันกันไว้ล่ะ ไม่งั้นโชคร้ายนั่นไม่หายไปแน่”
“…แย่จริง”
เท่ากับว่าอีกเดือนหลังจากนี้ก็ต้องเจอหยกไปอีกสักพักสินะ …มีคนทำความสะอาดให้มันก็ดีอยู่หรอก แต่รู้สึกรำคาญไงไม่รู้สิ ให้คนที่ไม่ใช่สภานักเรียนมาเข้าๆออกๆ
สงสัยก่อนหน้านี้จะคิดน้อยไปหน่อย อืม…เอาไงดีนะ
“ประธานคะ”
“ว่าไง? พลอย”
“สรุปแล้ว ข่าวลือช่วงนี้ที่ว่ากันว่าคนในโรงเรียนโชคร้ายเพราะโดนคำสาปน่ะค่ะ ที่จริงเกิดจากพันธสัญญาที่ประธานลงไว้กับน้องเขาเหรอคะ?”
“ใช่ๆ ลำบากเลยนะ แค่ความขี้เกียจของคนคนเดียวเล่นทำให้คนทั้งโรงเรียนลำบากแบบนี้…”
“หนูได้ยินนะคะ!!!”
หยกตะโกนแทรกขึ้นมา ผมไม่สนใจและพูดกับพลอยต่อ
“แล้วจะบอกว่าคำสาป…จริงๆมันก็คล้ายกันอยู่ล่ะนะ เพราะถ้าไม่แก้ออกก็จะติดตัวไปจนตาย”
“น่ากลัวนะคะนั่น?”
“ไม่หรอก ไม่ใช่ว่าจู่ๆฉันจะไปผูกสัญญากับใครก็ได้สักหน่อย ต้องมีความยินยอมจากเจ้าตัวด้วย และตอนนั้นยัยนี่ก็ต้องยอมรับเพราะลงพนันไว้ …อีกอย่าง ถ้ามาทำแต่แรกก็ไม่มีปัญหาร้อก”
ผมพูดเหมือนไม่ใช่เรื่องของตัวเองขณะป้ายนิ้วใส่หยก จนหยกเขม่นใส่
พลอยก็ทำหน้ากังวลเล็กน้อย
“แต่ว่า…กว่าจะจบเรื่องก็อีกตั้งเป็นเดือนเลยนี่คะ? ระหว่างนี้ในโรงเรียนจะไม่วุ่นวายเอาเหรอ? โชคร้ายนั่น…ไม่ใช่ของที่ใครโดนแล้วจะแค่ปล่อยผ่านนะคะ?”
“หืม? หนักขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ได้ยินมาว่ามีบางคนประสบอุบัติเหตุจนโคม่าเลยน่ะค่ะ…”
เรื่องใหญ่ขนาดนั้นแต่ไม่เข้าหูผมเลยสักนิด สงสัยต้องลดๆไอ้นิสัยเอาหูไปนาเอาตาไปไร่กับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสภาออกไปสักหน่อยแล้วสิ
ผมกวักมือ
“หยกๆ คัมแบ็คด่วน”
“หยุดพูดไทยคำอังกฤษคำสักทีเถอะค่ะ…มันน่ารำคาญ”
ถึงจะบ่น แต่เธอก็วางไม้กวาดและมานั่งที่โต๊ะรับแขก
ผมกอดอก
“จริงอยู่ว่าพันธสัญญาที่ลงไว้น่ะ เป็นไปได้ฉันก็ไม่อยากเอาออกมั่วสั่ว แต่จากสถานการณ์ตอนนี้ที่ทั้งโรงเรียนลำบาก กว่าเธอจะทำงานชดใช้จนหมดๆ เผลอๆโรงเรียนจะพังซะก่อน”
“เดี๋ยวๆ ถ้าโรงเรียนยังพัง แล้วตัวหนูมันจะไม่กลายเป็นฝุ่นไปเลยเหรอคะ???”
“อย่าหลงประเด็นสิ …คืองี้…”
“ค่ะ”
“คืองี้……”
“อะค่ะ ฟังอยู่ค่ะ”
“คือ…งี้…”
“รอบที่สามแล้วนะคะนั่น? อย่าบอกนะว่าพี่ประธานไม่รู้จะพูดอะไรดี?”
…ถูกเป๊ะเลยล่ะ ทำไงได้ นึกวิธีที่จะให้ยัยนี่ทำอย่างอื่นชดใช้แทนการทำความสะอาดหนึ่งเดือนไม่ออกนี่นา
ถ้าจะให้พันธสัญญาหายไปแบบไร้ผลข้างเคียง ก็ต้องทำตามที่พันธสัญญาสั่งไว้อย่างเท่าเทียม แต่ก็อย่างที่พูด ผมนึกไม่ออกว่าจะใช้วิธีไหนให้เทียบเท่ากับจำนวนนั้นน่ะสิ…
ผมเหลือบมองพลอย
“มีอะไรเหรอคะ? ประธาน”
“ถ้าให้วิ่งรอบสนามสักร้อยรอบ เธอว่าจะเท่ากับทำความสะอาดเดือนนึงรึเปล่า?”
“…ฉันว่าเกินไปไกลเลยล่ะค่ะ แล้วน้องหยกก็ไม่น่าจะวิ่งไหวด้วย…”
ไม่ผ่านสินะนั่น เอ เอ เอ เอาไงดีนะ…
“โชคร้ายที่จะส่งผลให้คนรอบๆด้วยสินะคะ?”
จู่ๆพลอยก็พูดขึ้นมาลอยๆแบบนั้น
“อะ ใช่ๆ เพราะปล่อยไว้นานเกินไป เลยส่งผลกับคนรอบข้างด้วยน่ะ”
“งั้นทำไมฉันกับประธานถึงไม่เป็นอะไรเลยล่ะคะ? ถ้าประธานคนเดียวก็ยังเข้าใจได้ แต่ดิฉันก็ไม่รู้สึกผิดปกติตรงไหนด้วยสิ”
ตามที่พลอยว่า ขณะนี้หยกก็ยังปล่อยออร่าโชคร้ายออกมารอบๆ คนที่อยู่ใกล้ก็จะได้รับส่วนแบ่งความโชคร้ายไปด้วย แน่นอนว่าไม่มีผลกับผม แต่กับพลอยนี่ก็น่าจะ…
“เธอคงเป็นคนโชคดีสุดๆล่ะมั้ง? ถึงได้ล้างโชคร้ายออกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น?”
“เหตุผลมันจะกำปั้นทุบดินไปหน่อยมั้ยคะนั่น? และตั้งแต่เกิดมา ฉันก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากขนาดนั้นด้วยค่ะ”
“งั้นเธอเคยโชคร้ายหนักๆมั้ยล่ะ?”
“เอ่อ…ที่จำได้ก็ไม่มีนะคะ…?”
“นั่นแหละ คนเราชอบมองว่าโชคดีคือการได้ลาภก้อนโตหรืออะไรสักอย่างที่เป็นรูปธรรม แต่ว่านะ โชคดีจริงๆน่ะ คือเกิดมาและใช้ชีวิตได้ราบรื่นไม่มีปัญหาต่างหาก”
“…เป็นข้อเท็จจริงจากซาตานงั้นเหรอคะ?”
“จากฉันเองเนี่ยแหละ”
“…แค่มั่วขึ้นมาเองสินะคะเนี่ย…”
น้อยๆหน่อย ถึงจะไม่รู้หลักการแน่ชัด แต่อย่างผมที่เป็นถึงลูกซาตาน ก็ต้องพอเดาระบบโชคดีโชคร้ายได้อยู่แล้ว ซึ่งมันก็น่าจะประมาณนั้น…มั้ง?
หยกทำหน้างงๆ
“ไม่ค่อยเข้าใจที่พี่ๆคุยกันเท่าไหร่เลยน่ะค่ะ ใช่หมายความว่า ถึงหนูจะอยู่กับพวกพี่ๆแค่ไหน หนูก็จะไม่ทำให้พวกพี่โชคร้ายรึเปล่าคะ?”
“คิดว่าเป็นงั้นนะ แต่เธอไม่ใช่สภานักเรียนสักหน่อย คงไม่ได้เจอกันบ่อยขนาดนั้นหรอก”
ยิ่งตอนนี้ผมกำลังหาวิธีให้พันธสัญญาจบๆไป จะได้ไม่ต้องเห็นหน้าคนที่ไม่ใช่สภาอีกเป็นเดือนด้วย
หยกกะพริบตา
“งั้น…ให้หนูเป็นมือที่สามของพวกพี่ดีมั้ยคะ?”
“หา?”
“นะ น้องหยกพูดอะไรคะเนี่ย!?”
พลอยก็ออกอาการสงสัยจนหน้าแดง
หยกพูดต่อ
“ก็พวกพี่เป็นแฟนกันใช่มั้ยล่ะคะ? ดูทรงหนูก็ไม่น่าจะไปอยู่กับใครได้แล้วด้วยถ้าจะทำให้คนอื่นโชคร้าย เพราะงั้นให้หนูพุ่งเข้าไปร่วมกับความสัมพันธ์รักใคร่ของพวกพี่ๆแล้วกันค่ะ!!!”
“พะ พี่กับประธานไม่ใช่คนรักกันสักหน่อย! ชะ ใช่มั้ยคะ…?”
ไม่รู้ทำไมพลอยถึงได้มองผมด้วยแววตาเหมือนไม่แน่ใจ คำตอบมันก็แน่อยู่แล้วไม่ใช่เรอะ?
“เออสิ ฉันกับพลอยไม่ได้เป็นอะไรกัน ฉันไม่สนผีไทย”
“…”
ยัยพลอยทำหน้าปลงๆพร้อมพ่นลมหายใจ ส่วนหยกก็ทำหน้าแหยงๆ
“หว๋าย พี่ประธานพูดเหมือนเมื่อก่อนเปี๊ยบเลย เวลาไม่ทำให้คนเรานิสัยดีขึ้นมาบ้างเลยเหรอเนี่ย? โลกเรามันช่างโหดร้ายจริงๆ”
“หยุดหลงประเด็นได้แล้ว ฉันกับพลอยก็แค่ประธานกับรอง ส่วนเธอไม่ต้องมาเป็นมือที่สามมือที่สี่ เอาเวลามาคิดหาวิธีให้จบเรื่องพันธสัญญานี่ดีกว่า”
“คนเริ่มมันก็พี่ประธานไม่ใช่เหรอ? ทำไมอยู่ๆถึงทำเหมือนหนูต้องมารับผิดชอบแทนล่ะเนี่ย???”
“คนรับผิดชอบมันก็เธอนั่นล่ะ ขี้เกียจจะพูดแล้วนะ แต่เธอเป็นคนที่ลืมเองต่างหาก”
“…ก็พี่ประธานไม่ยอมมาเตือนนี่นา”
“แล้วทำไมฉันต้องไปเตือนเธอด้วย???”
“…กะ ก็…แบบว่า…”
หยกอ้ำๆอึ้งๆพูดไม่ออก
อยากพูดอะไรก็พูดออกมาสิเฮ้ย ไม่งั้นจะรู้เรื่องได้ไง
หยกเดี๋ยวก้มเดี๋ยวมอง สุดท้ายก็ปรับอารมณ์เป็นปกติ
“เข้าใจแล้วค่ะ เข้าใจแล้ว! แค่หาอย่างอื่นทำชดใช้ให้เท่ากับเป็นเบ๊สภาหนึ่งเดือนก็พอสินะคะ!”
“ไม่ใช่เบ๊…เอาเถอะ จะว่างั้นก็ได้ รีบๆคิดมาซะ”
จังหวะที่กำลังจะหารือ บานประตูห้องสภาก็เปิดออก ทีแรกก็คิดว่าเป็นคนมาขอให้ช่วย…
“พรี่คริสโตเฟิ่น!!! ช่วยสอนกระบ้านหนูหน่อย…แอ๊ฟ!!!”
สไปรท์ที่พรวดพราดเข้ามาสะดุดล้มจนหน้าไถลกับพื้นห้องจนสะอาด
“ดูเหมือนจะไม่ต้องทำความสะอาดแล้วนะ?”
“ประธานกล้าพูดออกมาได้ไงคะเนี่ย!? ตายแล้ว น้องสไปรท์ เจ็บมากมั้ย?”
พลอยเข้าไปประคองรุ่นน้องเสือสมิงขึ้นมา หน้าของเด็กสาวผมทรงทวินเทลบวกหนึ่งแดงอย่างกับก้นลิง
ถึงกระนั้น
“ไม่เป็นราย! ไม่เจ็บเลยสักนิด! ว่าแต่ทำไมวันนี้พื้นมันลื่นจังอะ?”
“ก็ไม่ลื่นนี่คะ…น้องสไปรท์สะดุดขาตัวเองรึเปล่า?”
พลอยตอบพร้อมเอานิ้วปาดๆที่พื้น
สไปรท์ส่ายศีรษะแรงๆ
“ไม่ใช่! ถึงหนูจะโง่ก็เถอะ! แต่อย่างหนูไม่สะดุดล้มเด็ดขาด! ต้องเป็นเพราะพื้นห้องสภาแน่ๆ! ไม่น่าแวะมาสภาเล้ย!”
ผมมองค้อนใส่
“ทำตัวให้สำรวมหน่อย มีแขกอยู่นะ”
จะเข้าสภาไม่เข้าสภาผมก็ไม่ซีเรียสมากหรอก ยิ่งเป็นสไปรท์ด้วย แต่อย่ามาพูดแบบนั้นต่อหน้านักเรียนคนอื่นให้เอาไปเป็นขี้ปากไว้ว่าสภานักเรียนทีหลังได้มั้ย?
สไปรท์มองหยก
“เจ้าของเคสเหยอ? สวัสดีค่า! หนูชื่อสไปรท์อยู่มอสี่!”
“สะ สวัสดี ฉันก็มอสี่เหมือนกัน ชื่อ…”
“ไม่ได้อยากรู้สักหน่อย!!!”
สไปรท์เท้าเอวตอบเสียงดัง
ผมปัดมือไล่
“เอ้าๆ พลอย เอายัยเด็กบ้านี่ไปเก็บหน่อย”
พอเห็นว่าอยู่มอสี่เหมือนกันก็พูดจากวนส้นเท้ากับคนพึ่งเจอเลยนะยัยนี่ ไม่ก็นิสัยตามปกติของสไปรท์นั่นแหละ ถึงยังไง…เอาสไปรท์ไว้ในสภาระหว่างมีแขก ไม่น่าเป็นความคิดที่ดี
ที่สำคัญ ที่สไปรท์ลื่นเมื่อกี้ก็น่าจะจากโชคร้ายที่หยกปล่อยออกมา สำหรับคนดวงซวยๆอย่างสไปรท์แล้ว ออกห่างจากสถานการณ์แบบนี้ให้เร็วจะดีที่สุด
ใช่ๆ ผมก็เป็นห่วงสภาชิกสภาพอตัวเหมือนนา?
“จะพาหนูไปไหนอะ? หนูต้องให้พี่คริสโตเฟอร์สอนการบ้านนะ?”
สไปรท์ถามเช่นนั้น ระหว่างที่พลอยดันหลังพาออกสภา
ผมขมวดคิ้ว
“ฉันไปเป็นพี่เลี้ยงสอนการบ้านเธอตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
“ไม่ใช่หรอกเหรอ?”
“เออ”
“หนูจำผิดกับพี่น้ำล่ะมั้ง? สงสัยหน้าพี่คริสโตเฟอร์กับพี่น้ำจะคล้ายๆกัน?”
“ไม่คล้าย! ไม่ใกล้เคียงเลยด้วย!”
พี่น้ำเขาเป็นพี่ไร้หัว แล้วตูจะไปหน้าเหมือนพี่เขาได้ไง…
พลอยก็ดันหลังสไปรท์ออกห้องสภา
“ไว้ค่อยมาใหม่ทีหลังนะน้องสไปรท์ ตอนนี้พวกพี่ยุ่งๆกันอยู่น่ะค่ะ เดี๋ยวไว้พี่สอนการบ้านให้เองก็ได้…”
แม้พลอยจะเสนอตัวช่วย แต่สไปรท์กลับ
“เง๊อะ? พี่พลอยโง่กว่าพี่คริสโตเฟอร์ไม่ใช่เหยอ? ถ้าให้พี่พลอยสอน ให้พี่คริสโตเฟอร์สอนดีกว่า! เนอะ!”
“…พี่จะถือว่าไม่ได้ยินแล้วกันค่ะ”
ไม่ทันที่สไปรท์จะตอบกลับ พลอยก็ปิดประตูกระแทกใส่เสียงดัง และสไปรท์ก็หายไปจากห้อง
ผมเอ่ยเสียงหยอกๆ
“นั่นรุ่นน้องนะ รุนแรงจังเลยนะนั่น?”
“อย่างประธานไม่มีสิทธิ์ว่าดิฉันหรอกค่ะ”
“ครับๆ …แล้วเธอล่ะ? คิดออกรึยัง?”
ผมหันไปถามหยกที่ทำหน้าคิดไม่ตก และแล้วเธอก็โบกนิ้วชี้ขึ้นมา
“งั้นให้หนูเป็นแฟนพี่ประธานแทนดีมั้ยคะ!? สักเดือนนึง!”
“ครั้งก่อนก็เถียงเรื่องนี้กันแล้วไม่ใช่เหรอ…”
หยกยื่นข้อเสนอแบบเดียวกับครั้งก่อน และผมก็เปลี่ยนเป็นให้เธอมาทำความสะอาดแทนอย่างตอนนี้นี่แหละ
ผมถาม
“แล้วเธอคบกับเจ้าเด็กชมรมฟุตบอลอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เลิกไปตั้งนานแล้วค่ะ พี่ประธานไม่ได้ตามข่าวเหรอ?”
…ข่าวดาราผมยังไม่สนใจ แล้วเธอที่เป็นลูกเคสแค่ทีเดียว ผมจะไปตามข่าวให้มันได้บ้าอะไรขึ้นมาหา?
หยกผายมือ
“เพราะงี้เองสินะ พี่ประธานถึงไม่ยอมเข้าหาหนูสักที บอกให้ชัดๆเลยนะคะว่าตอนนี้หนูโสดค่ะ!”
“…ฉันไม่สนผีไทย”
แล้วเธอก็หยุดทำหน้าเคืองๆแบบนั้นได้แล้วนะพลอย ผมไม่ได้นึกจะคบกับลูกเคสหรือใครในโรงเรียนนี้แน่นอน หมดห่วงว่าจะเสียภาพลักษณ์สภานักเรียนได้เลย
…ในเมื่อคิดวิธีไม่ออกสักที ผมจึงถอนหายใจ
“เอางี้แล้วกัน เดี๋ยวฉันเอาพันธสัญญาออกให้”
“ถ้าพี่ประธานทำได้ ทำไมถึงไม่ทำแต่แรกล่ะคะ?”
“ถอนพันธสัญญาชุ่ยๆมันจะมีผลข้างเคียงน่ะ แต่จากที่พวกเราคิดไม่ออกกันสักคน เพราะงั้นเธอก็ยอมรับผลข้างเคียงไปก็แล้วกัน”
คงต้องเป็นแบบนี้นั่นแหละ จะปล่อยให้ตัวนำพาโชคร้ายเดินเล่นไปอีกเป็นเดือน มีหวังได้บรรลัยกันทั้งโรงเรียนแน่
หยกถามด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“…ละ…แล้วผลข้างเคียงที่ว่าคืออะไรเหรอคะ…?”
“โชคร้ายของทั้งเดือนจะประเคนใส่ตัวน้องในครั้งเดียวน่ะสิ”
“ตาย! ตายแน่! ไม่เอาเด็ดขาดค่ะ! หนูขอมาทำความสะอาดดีกว่า!”
“จะทำงั้นได้ไงเล่า! นึกถึงนักเรียนคนอื่นบ้างสิ จบปัญหาที่เธอเริ่มไว้ด้วยตัวเธอเองในครั้งเดียว จะว่าเป็นการเสียสละเพื่อโรงเรียนก็ยังได้!”
“ทำไมหนูต้องทำงั้นด้วย! คนอื่นจะเป็นไงก็ช่างมันไปสิ!”
“เอาน่าๆ ไม่ถึงตายหรอก ต่อให้ตาย เดี๋ยวฉันไปคุยกับนรกให้ทำโทษเบาๆให้”
“แล้วทำไมถึงคิดว่าหนูต้องตกนรกแน่ๆคะเนี่ย!???”
อยู่ในช่วงสรุปเรื่องราว
ถึงหยกจนดื้อดึงอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ยอมให้ผมถอนพันธสัญญาออกจนได้ ส่วนโชคร้ายที่เธอได้รับก็แค่ ‘บ้านไฟไหม้’ เท่านั้นเอง
หืม? ไฟไหม้บ้านถือว่าหนักหนางั้นเหรอ? ไม่หรอกๆ ของนอกกายแบบนั้น เดี๋ยวก็หาใหม่ได้ …ในมุมผมแล้ว สามารถเรื่องจบแค่บ้านไฟไหม้นี่ถือว่าง่ายไปด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ดี ก็จบเรื่องกับหยกไปเป็นที่เรียบร้อย หวังว่าต่อจากนี้จะไม่เจออีกก็แล้วกัน ผมไม่นิยมเจอลูกเคสคนเดิมบ่อยๆซะด้วย
และหลังจากนี้ ถ้าผมจะลงพันธสัญญากับใครก็ต้องคิดถึงผลกระทบต่อสิ่งอื่นให้ดีกว่านี้ …ไม่งั้นเปลี่ยนเป็นลงสัญญาทางกฎหมายแทนจะดีกว่ารึเปล่า? เผลอๆจะน่ากลัวกว่าพันธสัญญาของผมด้วย
อืม อย่างที่คิด …ไว้เป็นเรื่องของอนาคตก็แล้วกัน
เคสที่ 15 Bad Luck /จบ