สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 25 เคสที่ 13 พักกลางวัน (1)
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 25 เคสที่ 13 พักกลางวัน (1)
วันนี้กินอะไรดี? คงเป็นหนึ่งในคำถามที่หลายคนถามแทบจะทุกวันทุกมื้อ ซึ่งสำหรับผมก็นับว่าเป็นคำถามหนักอกหนักใจเช่นกัน
ตอนนี้ผมอยู่ที่โรงอาหารโรงเรียน ร้านอาหารก็มีเยอะจนเลือกไม่ถูกนั่นแหละ แต่โดยส่วนตัวผมก็จะกินสลับระหว่างก๋วยเตี๋ยวกับส้มตำเท่านั้น เพราะงั้นก็เลยตัดตัวเลือกไปได้เยอะ
จนแล้วจนรอด หลังจากคิดอยู่ราวสองวิ ผมก็ได้มาต่อแถวที่ร้านส้มตำเจ้าประจำเช่นเดิม
แต่นี่ก็ยืนรอมาสักพักแล้วก็ยังไม่ถึงคิวตัวเองสักที ไอ้คนข้างหน้านี่สั่งเยอะซะจนติดอยู่คิวนี้เกือบสิบนาทีแล้วเนี่ย
“หือ?”
มองไปมองมา คนที่อยู่คิวหน้าผม มันก็คนคุ้นหน้าคุ้นตานี่หว่า
เด็กสาวผมขาวสว่างพร้อมด้วยเสื้อฮู้ดสีม่วงทับชุดนักเรียน
“จิ๊บ!”
และลูกเจี๊ยบบนไหล่ที่หันมาโบกปีกทักทายอย่างสนิทสนม
เมื่อเจ้าของลูกเจี๊ยบได้ยินเสียงเช่นนั้นก็หันกลับมา
“…คริสโตเฟอร์?”
“ไง… เมื่อไหร่จะเสร็จเนี่ย? ฉันรอมาสักพักแล้วนะ”
“…สั่งไปหลายชามน่ะ ลัดคิวฉันก่อนมั้ย?”
ปอบนี่เนอะ อยากรู้จริงๆว่าการสั่งส้มตำที่ผมเสียตังค์แค่ห้าสิบบาทกับผีปอบที่กินร้านเดียวกัน ราคาจะต่างกันขนาดไหน
ผมปัดมือ
“ไม่เป็นไรๆ ยังเหลือเวลาพักอีกตั้งเยอะ”
พักเที่ยงของโรงเรียนอาคมจิตตวิทยานั้น จะมีเวลาอยู่ที่สองชั่วโมง ไม่ต้องรีบก็ได้
และจะให้ลัดคิวคนรู้จักก็ยิ่งรู้สึกเกรงใจเข้าไปใหญ่ แถมยังจะทำให้รู้สึกไม่ค่อยดีกับคนข้างหลังด้วย…
“ได้แล้วจ้า! แม่หนูมาทีไร ป้าทำแทบไม่ทันตลอดเลยล่ะ!”
เจ้าของร้านส้มตำพูดด้วยเสียงสดใส
ดิวก็แค่ผงกศีรษะเบาๆ ก่อนยกถาดอาหารที่เห็นแล้วหนักแทนขึ้นมา
“…งั้น ไว้เจอกันตอนเย็นนะ”
“อืม ไว้เจอกัน”
“จิ๊บ! จิ๊บ!”
ผมมองส่งดิวกับเจี๊ยบ จังหวะนั้นเองที่คุณเจ้าของร้านส้มตำพูดขึ้น
“พ่อหนุ่มล่ะ? เอาเหมือนเดิมใช่มั้ย?”
“ครับ เหมือนเดิมครับ”
“ว่าแต่เหมือนเดิมนี่อะไรนะ? ป้าจำไม่ได้ด้วยสิ”
…แล้วจะถามทำไมแต่แรกกันล่ะเนี่ย ให้ตายสิ ข้างหลังมีคนต่ออีกเยอะเลยแฮะ ไม่ค่อยอยากพูดออกมาดังๆเท่าไหร่
แต่ก็นะ…
“ส้มตำไม่ใส่พริกครับ…”
เหมือนได้ยินเสียงคนกลั้นขำจากด้านหลัง ผมพยายามไม่หันกลับไปมอง
ก็คนมันกินเผ็ดไม่ได้นี่ ให้ทำไงเล่า…
…ผมจะใช้เวลาที่เหลือของช่วงพักเที่ยงในการมาอยู่ที่ห้องสภา เผื่อในกรณีที่มีนักเรียนมาขอความช่วยเหลือ ดังนั้นก็จะเป็นการสั่งส้มตำกลับมากินที่ห้องสภาอย่างทุกที
ถึงส่วนใหญ่จะไม่ค่อยมีใครมาช่วงนี้เท่าไหร่ แต่ผมก็ไม่รู้จะไปไหนซะด้วยสิ ส่วนจะให้กินที่โรงอาหารก็รู้สึกว่าแออัดไปหน่อย
เมื่อเข้ามาในห้องสภา ผมก็พบกับแขกไม่คุ้นหน้า รออยู่ที่โต๊ะรับแขก
เราลืมล็อคประตูเหรอ? แต่เอาเถอะ ยังไงสภานักเรียนก็เปิดรับคนที่เข้ามาแบบไม่มีข้อแม้อยู่แล้ว
“สวัสดีครับ”
ผมกล่าวทักทายอย่างสุภาพ
“อะ คะ …สวัสดีค่ะ”
เด็กสาวที่คาดว่าอีกเดี๋ยวคงได้เป็นเจ้าของเคสประจำวันเอ่ยด้วยเสียงเบาเล็กน้อย
“ขอผมวางของแป๊บนะครับ”
ผมว่าเช่นนั้นและวางถุงส้มตำไว้ที่โต๊ะประธาน จากนั้นก็กลับมานั่งที่โต๊ะรับแขกฝั่งตรงข้ามเด็กสาว
เธอก็เดี๋ยวก้มเดี๋ยวมองพร้อมเอ่ยด้วยเสียงค่อยตามเดิม
“อะ เอ่อ คือวันนี้คุณต้นไม่อยู่เหรอคะ?”
“พี่ต้นเหรอครับ? ถ้ามาช่วงกลางวันคงไม่ได้เจอหรอกครับ เวลานี้ก็มีแต่ผมนี่แหละ”
“งะ งั้นเหรอคะ…”
“แล้วอยากให้ช่วยอะไรครับ? …หรือว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพี่ต้นรึเปล่า?”
“ที่จริงก็ใช่นะคะ…”
โอเค เธอได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของเคสเรียบร้อยแล้วนะ
เจ้าของเคสจิ้มนิ้ว
“คะ คือ คิดว่าถ้าเป็นคุณต้นคงจะช่วยได้น่ะค่ะ…”
“หือ?”
นี่ก็เป็นนักเรียนหญิงนี่นะ อาจจะมาหาพี่ต้นเพราะอยากได้ไปช่วยงานพร้อมแอบจีบไปด้วยรึเปล่า?
แต่ดูจากท่าทีก็ไม่น่าใช่แฮะ
เจ้าของเคสเงยหน้า
“คะ…คือช่วงนี้ จู่ๆก็ควบคุมสภาพร่างกายไม่ได้น่ะค่ะ! ถึงจะไม่ใช่คุณต้น แต่…อะ เอ่อ…”
“ประธานนักเรียน คริสโตเฟอร์ครับ”
ผมเอามือทาบอกแนะนำตัว
แปลกใจนิดหน่อยที่ยังมีนักเรียนที่ไม่รู้จักผมหลงเหลืออยู่ด้วยเหมือนกัน
“คะ…คุณประธานพอจะช่วยได้มั้ยคะ?”
“สภาพร่างกายเหรอครับ?”
เอาแล้วสิ ผมก็ไม่ค่อยรู้ประเภทหรือความสามารถผีไทยเท่าไหร่ด้วย …ยัยพลอยหายไปไหนกันนะ
ขณะกำลังนึกหวังพึ่งผีนางรำรองประธาน ลำคอของเจ้าของเคสก็เปล่งแสงสีแดง
“บะ แบบนี้เลยค่ะ!”
รอยฉีกก่อเกิดที่ต้นคอ ก่อนที่จะแยกศีรษะและลำตัวออกจากกัน
ส่วนศีรษะที่ห้อยต่องแต่งด้วยเครื่องในจนเห็นแล้วทำหน้าไม่ถูก กำลังลอยอยู่กลางอากาศผิดหลักธรรมชาติ
“…กระสือเรอะ…”
“ชะ ใช่ค่ะ ฉันมีเชื้อสายของกระสือน่ะค่ะ…แล้วช่วงนี้ก็…”
“เดี๋ยวก่อน!”
ผมยกมือห้าม
เจ้าของเคสก็ทำหน้าตกใจเล็กน้อย
“มะ มีอะไรเหรอคะ?”
“เปล่าหรอก แค่เป็นปัญหาที่ผมไม่ค่อยมีความรู้เท่าไหร่ ถ้ายังไงขอเรียกคนมาช่วยได้มั้ยครับ?”
ตอนแรกก็จะฟอร์มเซียนแก้ปัญหาให้อยู่หรอก แต่พอเห็นกระสือถอดหัวออกมาเต็มๆตาแบบนี้ ก็ทำเอาคิดถึงยัยผีนางรำความรู้แน่นนั่นขึ้นมาเลยล่ะ…
“ประธานคะ!”
หลังจากรอไม่นาน รองประธานที่มาพร้อมกับชฎาบนศีรษะก็โผล่หน้ามา
“มาแล้วเหรอ? ขอโทษที่รบกวนเวลาพักนะ พลอย”
“ไม่เป็นไรค่ะ! อีกอย่างฉันก็กินข้าวเสร็จด้วย”
“งั้นเหรอ”
ส่วนผมนี่ยังไม่ได้กินสักคำ เผลอๆถุงส้มตำนั่นคงได้ตั้งถึงเย็นแน่ ช่างมันประไร ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่
“ก็นี่แหละ เธอคนนี้บอกว่ามีปัญหากับสภาพร่างกายน่ะ …ตอนนี้ก็ยังมีปัญหาอยู่”
ผมพูดพร้อมเหม่อมองศีรษะพร้อมด้วยเครื่องในที่ลอยอยู่เกือบถึงเพดาน
พลอยกุมคางพลางพึมพำ
“กระสือสินะคะ …หืมๆ เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไมประธานถึงได้เรียกดิฉันมาทันทีแบบนี้”
“ตามนั้น ฉันไม่ค่อยเข้าใจผีไทยเท่าไหร่ ที่จริงที่ถอดหัวออกมาได้แบบนี้ ก็น่าจะใส่กลับเข้าไปได้ไม่ใช่เหรอ?”
เจ้าของเคสได้ยินแบบนั้นก็พูดแทรก
“ตะ ตามปกติก็ใส่กลับได้อยู่หรอกค่ะ… แต่อย่างที่บอกว่าช่วงนี้ร่างกายมันแปลกๆ แค่จะทำให้กลับเป็นเหมือนเดิมยังไม่ได้เลยค่ะ…”
“ได้ยินยัง? เธอพอจะมีวิธีแก้ปัญหามั้ย?”
ผมถามพลอยที่ทำหน้าคิดไม่ตก
“อืม~ ก็รู้สึกดีใจที่ประธานหวังพึ่งฉันเป็นคนแรกนะคะ แต่ดิฉันก็แค่ผีนางรำ ถึงจะมีความรู้เยอะกว่าประธานหลายขุม ก็ใช่ว่าจะแก้ปัญหาได้ทุกอย่างนะคะ?”
เมื่อกี้เหมือนโดนดูถูกไงชอบกล? แต่ผมก็เป็นคนเรียกเธอมาซะด้วยสิ ยอมๆให้ก็แล้วกัน…
แต่เดี๋ยวนะ ถ้าจากที่ฟังเมื่อกี้ ก็เหมือนยัยผีนางรำนี่ก็ไม่รู้วิธีแก้เหมือนกันนี่หว่า
พอเข้าใจได้เช่นนั้น ผมก็เงยหน้ามองศีรษะบนเพดาน
“นี่เจ้าของเคส”
“มะ หมายถึงฉันเหรอคะ?”
“อืม เธอนั่นแหละ ทำไมตอนแรกถึงได้ถามหาพี่ต้น?”
จู่ๆผมก็เปลี่ยนมาพูดแบบไม่มีหางเสียงกับเธอเสียแล้ว คงเพราะให้อารมณ์คล้ายคุยกับรุ่นน้องล่ะมั้ง? ไม่รู้ด้วยสิว่าเธออยู่มออะไร
เด็กสาวพยายามลดระดับความสูงของศีรษะ
“กะ ก็คุณต้นเป็นกระหังนี่คะ…”
“หา?”
“อ๋อ…”
พลอยทำหน้าเข้าใจ ซึ่งต่างจากผมที่ยังจับประเด็นไม่ได้ว่ามันเกี่ยวกับพี่ต้นตรงไหน
พลอยมองสีหน้าของผมพร้อมอธิบาย
“คืองี้นะคะประธาน กระหังกับกระสือน่ะ เป็นเชื้อสายเดียวกันน่ะค่ะ”
“เป็นงั้นหรอกเหรอ?”
“กระสือจะปรากฎในเพศหญิง ส่วนกระหังจะในเพศชาย …แต่ถ้าให้ว่าในด้านเชื้อสาย ก็เป็นสายพันธุ์เดียวกันค่ะ!”
เพราะงี้ถึงได้ให้เรียกพี่ต้นสินะ เข้าใจล่ะ ปัญหาเกี่ยวกับเชื้อสายก็ต้องไว้วานให้คนเชื้อสายเดียวกันช่วยสินะ
ขณะผมพยักหน้าเข้าใจ พลอยก็พูดเสริม
“เหมือนซัคคิวบัสกับอินคิวบัสของประธานนั่นแหละค่ะ”
“โอเคๆ เท่ากับว่าฉันขอความช่วยเหลือผิดคนสิเนี่ย …พลอย เธอกลับไปได้แล้ว เดี๋ยวฉันเรียกพี่ต้น”
“เสียมารยาทจังนะคะ?”
“เธออยู่ไปก็ไม่ได้ประโยชน์ไม่ใช่เรอะ?”
“ถ้าว่าในประเด็นนั้น ทางฝั่งประธานที่ช่วยเหลือน้องคนนี้ไม่ได้ ก็นับว่าไร้ประโยชน์เหมือนกันนี่คะ?”
“ที่พูดนั่นก็ถูก …งั้นพวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวพี่ต้นมาถึงก็ให้พี่เขาจัดการเอาแล้วกัน”
และผมกับพลอยก็ทำท่าจะพากันเดินออกสภา
เจ้าของเคสก็รวบรวมความกล้าและตะโกน
“ดะ เดี๋ยวสิคะ!!!”
““ครับ?/คะ?””
“ทะ ทำไมจู่ๆถึงได้จะทิ้งกันดื้อๆเลยล่ะคะ!?”
ผมกับพลอยมองหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนผมจะตอบเจ้าของเคสกลับไป
“สภาพร่างกายของกระสือน่ะ ฉันช่วยอะไรไม่ได้หรอก คิดว่าถ้าไม่มีพี่ต้น พวกฉันก็คงไร้ประโยชน์นั่นแหละ”
“ถูกต้องแล้วค่ะ เพราะงั้นเดี๋ยวพวกฉันไปเรียกพี่ต้นให้ คุณเจ้าของเคสรออยู่ตรงนี้นะคะ”
“อะ…อะ…อะ”
เจ้าของเคสทำหน้างง
แต่พวกผมก็ไม่ได้กะจะละเลยหน้าที่หรืออะไรหรอก แค่บางปัญหามันก็จนปัญญากว่าจะทำอะไรได้ เพราะงั้นถ้ามีคนที่น่าจะช่วยได้แน่ๆน่ะ ก็สู้ไปเรียกคนคนนั้นให้มาช่วยดีกว่า
และคนคนนั้นที่ว่าก็คือพี่ต้นด้วย เพราะงั้นก็ยิ่งไม่มีปัญหาเข้าไปใหญ่
“เข้าใจแล้วนะ! งั้นก็รอแป๊บนึง เดี๋ยวไปลากตัวพี่ต้นมาให้!”
ผมว่าแบบนั้นและออกมาจากสภาพร้อมพลอย ทิ้งเจ้าของเคสที่ทำหน้าฉงนไว้ตรงนั้น
ถึงจะผ่านช่วงพักไปสักพัก แต่พวกผมก็ตัดสินใจว่าจะไปลองหาพี่ต้นที่โรงอาหารดูก่อน ต่อให้ไม่แน่ใจว่ายังอยู่หรือไม่ แต่สำหรับเวลาพักเที่ยงแล้ว นี่ก็เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การตามตัวที่สุด
จากโรงอาหารใหญ่โตที่มีนักเรียนแออัด ที่จริงการจะหาคนคนหนึ่งแบบไม่ได้นัดล่วงหน้าก็คงเป็นไปได้ยาก กระนั้น คนที่พวกผมหาอยู่คือพี่ต้นนี่นะ…
อย่างพี่ต้นน่ะ ถ้ายังอยู่ในโรงอาหารล่ะก็ กวาดตามองทีเดียวก็เจอแล้วล่ะ
“โต๊ะนั้นสินะคะ?”
พลอยมองไปที่บริเวณหนึ่งในโรงอาหาร ซึ่งประกอบด้วยนักเรียนหญิงหลายชั้นปีที่ยืนออกันอยู่ที่เดียว
“…น่าจะโต๊ะนั้นแหละ เดี๋ยวฉันเข้าไปเรียกให้”
จากนั้น ผมก็พยายามแทรกตัวผ่านกลุ่มนักเรียนหญิงที่ราวกับมายืนดูดาราดังนั่งกินข้าว
และพอแทรกเข้ามาได้ ก็พบกับเด็กหนุ่มรุ่นพี่แววตาคมคายที่กำลังรับประทานอาหารด้วยสีหน้าเรียบๆ
“พี่ต้…”
“นี่นายน่ะ! อย่าแซงคิวสิ!”
ไม่ทันจะพูดจบ ผมก็โดนหนึ่งในเด็กสาวไทยมุงตะโกนใส่ด้วยความโมโห
ผมเบ้ปาก
“คือ ฉันมาตามตัวพี่ต้นไปทำงาน…”
“ถ้างั้นก็รอต่อคิวเอาสิยะ! วันก่อนชมรมบาสหญิงเอาไปแล้ว วันนี้ต้องเป็นชมรมของฉันต่างหาก!”
คือไม่รู้หรอกนะว่าพวกชมรมกีฬาหญิงเขามีการจองคิวยืมตัวพี่ต้นไปช่วยงานด้วย แต่ว่านะ ผมน่ะหัวหน้าพี่เขาเลยนา? ธุระของผมต้องมาก่อนสิ ส่วนพวกหล่อนไว้ไปเถียงกันเอาเองโน้น อย่าเอาผมไปมัดรวมด้วย
“เดี๋ยวสิหล่อน! วันนี้ต้องชมรมฉันไม่ใช่เหรอ!?”
“ความจำเสื่อมหรือไง!? วันนี้พี่ต้นเป็นของฉัน!”
จากนั้นก็มีเสียงคนอื่นๆดังแทรกขึ้นมา ราวกับจะตบตีกันได้ทุกเมื่อ
ผมก็ปล่อยให้เถียงกันไป ค่อยๆแทรกตัวจากกลุ่มนักเรียนและมานั่งข้างพี่ต้น
“หวัดดีครับ พี่ต้น”
“น้องประธาน? มีอะไรรึเปล่า?”
พี่ต้นชะงักเล็กน้อยและถามมาแบบนั้น
ขณะผมกำลังจะอ้าปาก ก็โดนกระชากจากด้านหลัง…
“ก็บอกว่าอย่าแซงคิวไง! เจ้าสัตว์ประหลาดนี่!”
“เถียงกันเสร็จแล้วเรอะ!? แล้วก็บอกอยู่ว่าไม่ได้แซงคิว! ฉันมาเรียกพี่ต้นไปทำงานต่างหากเฟ้ย!”
ผมตะโกนกลับไป และดูเหมือนถ้อยคำนั้นจะส่งผลให้รอบข้างวุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ
พี่ต้นลูบต้นคอ
“ที่จริงน้องประธานโทรเรียกพี่ก็ได้นะ”
“ลืมน่ะครับ ถ้ายังไงช่วยไปสภากับผมหน่อยแล้วกันครับ…”
“อืม ได้สิ พี่กินเสร็จพอดี”
ช่างเป็นคนที่จิตใจแน่วแน่ยิ่งนัก ขนาดนั้นโดนรุมล้อมอย่างกับตัวเองกลายเป็นสัตว์ในสวนสัตว์ ยังอุตส่าห์กินข้าวจนอิ่มได้อีก พี่ต้นนี่สุดยอดจริงๆ
เมื่อพี่ต้นลุกขึ้นและเดินออกไป กลุ่มนักเรียนหญิงก็พากันตะโกนประมาณว่า ‘อย่าลืมมาที่ชมรมหนูด้วยนะคะ!’ อีกด้วย ส่วนพี่ต้นก็แค่ยิ้มบางๆและโบกมือให้
แต่สำหรับผมที่เดินตามหลังพี่เขาไปนั้น รู้สึกจะโดนสายตาที่มองอย่างเหยียดหยามจนน่าละเหี่ยใจ …ทำไมกัน ทำไมผมกับพี่ต้นถึงต่างกันขนาดนี้นะ…
พลอยที่ยืนรอก็ยกมือไหว้พี่ต้น
“สวัสดีค่ะ พี่ต้น”
“น้องพลอยก็อยู่ด้วย? น้องประธาน นี่เรื่องเร่งด่วนเหรอ?”
ผมรับคำถามของพี่ต้นพร้อมเกาศีรษะ
“จะว่าเร่งด่วนก็คงได้แหละครับ …คือตอนนี้มีกระสืออยู่ที่สภาน่ะครับ”
“กระสือ?”
“ใช่ครับ กระสือ”
เมื่อพี่ต้นทำหน้าไม่ค่อยเข้าใจ พลอยก็ช่วยพูดเสริม
“นังกระสือคนนั้นใส่ศีรษะกลับเข้าร่างไม่ได้น่ะค่ะ คิดว่าถ้าพี่ต้นที่เป็นสายพันธุ์เดียวกันน่าจะช่วยได้ เลยขอรบกวนหน่อย”
สรุปได้ในประโยคเดียวเลยแฮะ
“งั้นเหรอ? เข้าใจล่ะ งั้นไปห้องสภากันเถอะ”
พี่ต้นตอบตกลงอย่างว่าง่าย
แต่ผมสะกิดใจคำพูดของพลอยเมื่อกี้นิดหน่อย
“นี่พลอย พี่ต้น …เรียกว่านังกระสือแบบนั้น มันไม่หยาบไปหน่อยเหรอ?”
ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ แต่ถ้าใช้คำว่า ‘นัง’ นำหน้ามันก็น่าจะไม่ให้เกียรติไม่ใช่เหรอ? แถมพี่ต้นก็ยังไม่ว่าอะไรเลยด้วย
พี่ต้นขมวดคิ้ว
“เรียกกระสือว่านังก็ไม่หยาบนะ?”
“ใช่ค่ะประธาน กระสือกับนังก็เป็นของคู่กันอยู่แล้วนะคะ?”
ผมทำหน้านิ่งๆรับคำพูดของผีนางรำกับกระหัง
…ไม่เข้าใจหลักการเลยสักนิด แต่ถ้าคนไทยแท้บอกว่าได้ ก็คงได้ล่ะมั้ง?
ผมพยักหน้าเข้าใจ และเอ่ยเร่ง
“โอเคๆ งั้นก็รีบไปกันเถอะ ไอ้กระหัง อีนางรำ ใกล้หมดเวลาพักแล้วด้วย”
“…พี่ว่าน้องประธานยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นะ…”
“…หนูก็คิดงั้นเหมือนกันค่ะ พี่ต้น…”
ผมยักไหล่ให้คำพูดเชิงตำหนิของทั้งสองคน บางอย่างถ้าไม่สาธยายมาให้ผมฟังชัดๆ ผมก็ไม่เข้าใจหรอก แล้วก็ไม่ขอรับผิดอะไรด้วย
เคสที่ 13 พักกลางวัน (กระสือ) /มีต่อ