สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 1 ตอนนำร่อง หรือที่เรียกว่าก่อนจะเข้าเรื่อง
- Home
- All Mangas
- สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ
- ตอนที่ 1 ตอนนำร่อง หรือที่เรียกว่าก่อนจะเข้าเรื่อง
“ประธานคะ? หลับรึเปล่าคะ?”
เสียงเรียกนั้นทำผมหลุดจากภวังค์ เมื่อเงยหน้าขึ้นมองระหว่างที่เท้าคางอย่างเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้พร้อมโต๊ะประจำตำแหน่งที่มีแสงอาทิตย์ยามเย็นจากหน้าต่างส่องเข้ามา ผมก็พบกับ ‘พลอย’
เด็กสาวที่อยู่ชั้นปีเดียวกัน และเหนือสิ่งอื่นใด เธอรับตำแหน่งรองประธานนักเรียนที่มีอำนาจรองลงมาจากผม
เส้นผมสีดำขลับยาวสลวยและดวงตาสีดำ แต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียนหญิงไทยถูกระเบียบไม่มีผิดเพี้ยน อีกทั้งกระโปรงยังยาวจนเกือบถึงตาตุ่ม แม้มองภายนอกจะเข้าใจได้ว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาดี หุ่นเพรียวบาง แต่เพราะ ‘ชฎา’ บนศีรษะจึงทำให้เธอพิเศษกว่าคนอื่นนิดหน่อย
พลอยคือ ‘ผีนางรำ’
…ไม่ใช่จำพวกวิญญาณหรืออะไรเถือกนั้นหรอก ถ้าให้พูดคร่าวๆตอนนี้ ก็คือคนที่มีเชื้อสายของภูตผีแล้วกัน
“ไม่ได้หลับ แค่คิดอะไรนิดหน่อย…”
ถึงตรงนั้นพลอยก็เท้าเอว
“งั้นก็หยุดคิดได้แล้วค่ะ ถึงพวกเราจะมีกันหลายคน แต่สูบลูกโป่งให้ครบร้อยลูกไม่ได้ใช้เวลาแค่แป๊บเดียวนะคะ ต่อให้เป็นประธานแต่จะมามัวอู้แบบนี้ได้ที่ไหนกัน…”
“นี่เธอ! ถึงฉันจะเหม่อแต่มือก็ขยับอยู่นะว้อย!”
“ค่ะค่ะ”
พลอยถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปโซฟารับแขกที่ตอนนี้มีสมาชิกสภาอีกสองคนนั่งอยู่ งานในปัจจุบันคือการเป่าลูกโป่งให้ครบร้อยลูก เพราะชมรมที่มาขอให้ช่วยจะเอาไปจัดซุ้มอะไรสักอย่างนี่แหละ
อาจจะสงสัยกันว่าทำไมพวกผมถึงต้องมาทำอะไรเช่นนี้ เป่าลูกโป่งเนี่ยนะ? ของแบบนี้มันช่วยหรือทำอะไรให้โรงเรียนก้าวหน้าตรงไหนกัน? อีกทั้งยังไม่มีคุณประโยชน์ในแง่อื่นอีกด้วย ว่ากันตามตรงประโยชน์ของมันก็คือการ…ผมว่าเริ่มจะออกนอกเรื่องไปหน่อยแล้ว
ตอนนี้คือเวลาชมรม หรือหลังเลิกเรียน
ที่นี่คือห้องชมรม
และห้องชมรมที่ผมอยู่ตอนนี้เรียกว่า ‘ห้องสภานักเรียน’
เมื่อพูดถึงสภานักเรียนแล้ว คงไม่ต้องอธิบายอะไรมาก มันก็คือสภานักเรียนอย่างที่หลายคนเข้าใจ
ผมชื่อ ‘คริสโตเฟอร์’ ตำแหน่งประธานนักเรียนคนปัจจุบัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้า
สมาชิกอีกห้าคนในชมรมที่เห็นอยู่สายตา ก็ล้วนแต่เป็นสภานักเรียนเช่นกัน
อันที่จริง…มันก็เรื่องเดียวกันนี่นะ เพราะถ้าบอกว่าเป็นสภานักเรียนที่หลายคนเข้าใจ งั้นคงมีบางส่วนที่อาจไม่เข้าใจว่าทำไมสภานักเรียนต้องมาเป่าลูกโป่งอยู่สินะ?
ผมหยิบลูกโป่งที่เป่าเสร็จแล้วไปกองรวมกันที่มุมห้อง เพื่อที่เมื่อครบตามยอดจะนำไปส่งให้ชมรมที่มาขอให้ช่วย
จากนั้นก็เท้าแขนที่โซฟาพลางถามพลอยที่กำลังใช้ที่สูบลูกโป่งอย่างขะมักเขม้น
“พวกเราคือสภานักเรียนนะ ทำไมถึงต้องมาเป่าลูกโป่งแบบนี้ด้วย?”
พลอยหยุดมือก่อนตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“แหม…ประธานนี่ก็ พวกเราไม่ใช่มนุษย์ยุคหินนะคะ ไม่มีใครมาเสียเวลาเป่าเองให้เมื่อยปากเมื่อยแก้มกันหรอกค่ะ รู้จักสิ่งที่เรียกว่าที่สูบลมใช่มั้ยคะ?”
“หลงประเด็นไปไกลแล้วเฮ้ย”
“คือประธานอยากถามว่าทำไมสภานักเรียนอย่างพวกเราถึงต้องมาทำงานจิปาถะแบบนี้สินะคะ?”
“อะไรประมาณนั้น”
ที่นี่คือโรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตลี้ลับ ภูตผี วิญญาณ ปีศาจ หรือแม้กระทั่งเทพ
‘อาคมจิตตวิทยาสาขาที่หนึ่ง’ โรงเรียนที่ตั้งอยู่ในต่างจังหวัดอันห่างไกล
นี่คือยุคที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถพบเห็นได้ทั่วไป แน่นอนว่าประชากรส่วนใหญ่ในโรงเรียนแห่งนี้ก็ล้วนมีเชื้อสายอย่างที่ว่ามาด้วยกันทั้งสิ้น
ต้นตอหรือที่มาไม่ต้องสนใจ เพราะยุคสมัยเช่นนี้ก็ดำเนินมาเนื่องนานกว่าที่ผมจำได้เสียอีก คิดเสียว่าเป็นโลกที่เห็นผีได้ง่ายๆก็คงได้ล่ะมั้ง?
อย่างไรก็ตาม พวกผมคือสภานักเรียนของจิตตฯ
นอกจากงานต่างๆที่สภานักเรียนต้องทำแล้ว หน้าที่หลักๆของสภาคือการช่วยเหลือนักเรียน แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆแล้ว คือช่วยเหลือในประเด็นปัญหาต่างๆเสียมากกว่า
ปัญหาที่ว่าก็ยกตัวอย่างเช่น…ความลำบากของเชื้อสาย ทั้งการที่ควบคุมอาคมไม่ได้เอย… …แบบนี้ดีกว่า ลองนึกภาพว่าเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ก็มีปัญหามากมายถาโถมใช่มั้ยล่ะ?
แล้วถ้ายิ่งเป็นวัยรุ่นที่มีเชื้อสายของผีสางอีกล่ะ?
นั่นแหละ ปัญหาก็ยิ่งทวีคูณ ด้วยความที่ครูใหญ่ไม่อยากให้โรงเรียนวินาศสันตะโรก่อนเวลาอันควร ถึงได้ก่อตั้งสภานักเรียนขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว เป้าหมายก็เพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้นักเรียนคนอื่นๆ
และนั่นคือหน้าที่ของสภา
แต่ก็ยังตอบคำถามที่ว่าทำไมพวกผมถึงต้องมานั่งสูบลูกโป่งไม่ได้อยู่ดี…
พลอยวางมือ พร้อมผสานมือไว้บนตัก
“ประธานเป็นคนบอกเองนี่คะ ว่าสภานักเรียนพร้อมช่วยเหลือไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร”
“อ่า…หะ?”
“เพราะงั้นจะมีงานเบ๊แบบนี้มาให้พวกเราทำก็มิใช่เรื่องแปลก อย่าคิดมากเลยค่ะ ส่วนใหญ่พวกเราก็ว่างๆอยู่แล้วด้วย”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ว่างหรือไม่ว่าง แต่ของแค่นี้ก็ให้คนที่จะใช้ทำเองก็ได้มั้ย? เล่นโยนงานไร้สาระให้สภาทำแบบนี้ เกิดคนอื่นคิดว่าสภานักเรียนเป็นร้านรับจ้างสารพัดขึ้นมาพวกเราก็แย่กันพอดี”
“สภาโดนมองเป็นแบบนั้นอยู่แล้วนะคะ?”
“พูดมีประเด็นดีนี่”
นั่นแหละฮะ ที่ผมจะบ่นไปมากแค่ไหน แต่ในสายตาของนักเรียน สภานักเรียนก็เป็นอย่างที่ว่าพลอย นึกแล้วน่าหน่ายใจจริงๆ ให้ตายเถอะ
“เหลืออีกเยอะมั้ย?”
“เอ่อ…อีกนิดเดียวก็เสร็จแล้วค่ะ”
“เกือบจะหมดเวลาชมรมแล้วด้วย หวังว่าจะเสร็จทันพอดี”
“ที่จริงก็ทันแหละค่ะ ถ้าไม่มีคนแอบทำให้งานช้า…”
“ก็บอกว่าฉันไม่ได้อู้ไงเล่า”
“ดิฉันหมายถึง…”
พลอยละประโยคเอาไว้พลางสายตาเหลือบมองไปด้านหลัง ที่พื้นห้องมีสมาชิกสภาสองคนนั่งอยู่กับพื้น เหตุจากโซฟาที่ไม่พอ
สองคนนั้น คนนึงอยู่มอสี่ อีกคนมอหก กระนั้นทั้งสองกับสนิทกันแบบสุดๆ
โป้ง!
เสียงลูกโป่งแตกตามมาด้วยเสียงหัวเราะ
“วะฮะฮ่า! พี่น้ำเห็นเป่า?! อันเมื่อกี้ได้ใหญ่กว่าก่อนหน้านี้อีก!”
“เห็นค่ะเห็น พี่ไม่ยอมหรอกนะ คราวนี้ล่ะ! ต้องทำให้ใหญ่กว่าน้องสไปรท์ให้ได้เลย!”
และนี่คือสองหน่อที่รวมกันแล้วมูลค่าไม่น่าจะถึงบาทของสภานักเรียน
ผมเดินไปหาพลางก้มมอง
“พี่น้ำกับสไปรท์ทำบ้าอะไรกันอยู่ครับ?”
““ลูกโป่ง””
“รู้ใช่มั้ยว่างานคือสูบลูกโป่งให้ครบโควตาน่ะ?”
เด็กสาวมอสี่เอียงคอ
“ไม่ใช่ว่าใครทำได้ใหญ่สุดหรอกเหรอ?”
“คิกคิก”
พี่น้ำที่น่าจะฟังภาษาคนรู้เรื่องกว่าสไปรท์ แต่ก็ยอมเล่นตามน้ำสไปรท์เพราะใจจริงขี้เกียจทำงานก็หัวเราะมาแบบนั้น
หัวจะปวด เพราะงี้สินะ แค่งานง่ายๆถึงได้ไม่เสร็จสักที ทั้งที่มีกันตั้งหลายคน
ผมจับคอเสื้อพี่น้ำกับสไปรท์ขึ้นมา ก่อนจะใช้เท้าถีบประตูและโยนทั้งสองคนออกไป
““พี่คริสโตเฟอร์!?/น้องคริส!?””
“วันนี้อนุญาตให้ทั้งสองคนกลับก่อนเวลา”
ผมว่าไปแบบนั้น พวกเธอจึงตะโกนกลับมา
“แต่ยังทำไม่เสร็จเลยนี่คะ!? ให้พวกพี่เข้าไปช่วยดีกว่า!”
“ช่ายๆ! รอบนี้หนูจะทำให้ใหญ่เท่าห้องสภาโล้ย!”
ปัง!
ผมปิดประตูอย่างแรงด้วยความหงุดหงิด เอาจริงถ้าให้สองคนนี้มาช่วยงาน ผมเอาหมาจรมาช่วยงานยังเร็วกว่าเสียอีก
จากนั้นก็ยังได้ยินเสียงเคาะประตูราวกับจะขอความเมตตา แต่สุดท้ายเสียงก็เงียบลง คงเบื่อและพากันกลับบ้านไปแล้วนั่นแหละ
ผมย้ายมานั่งที่โซฟา โดยคิดว่าจะรีบๆทำงานนี่ให้เสร็จก่อนหมดเวลา จะได้กลับบ้านโดยไม่มีงานค้าง
“ไปไล่พวกเธอแบบนั้น เดี๋ยวพรุ่งนี้พวกเธอจะพากันโดดสภาเอานะคะ?”
“ช่างสิ ปกติเห็นโดดกันเป็นว่าเล่น ฉันแปลกใจมากกว่าว่าทำไมวันนี้ถึงได้เข้าสภา”
“นั่นสินะคะ”
“ผิดกันกับพี่ต้นกับดิวเลยนะ ผมขอกล่าวชมอย่างจริงใจ”
สมาชิกสภาที่เหลืออีกสองคนได้ยินผมเอ่ยเช่นนั้นก็ตอบกันมาแบบนี้
“…แค่มาหาที่กินขนม”
“พี่ก็แค่อยากช่วยน้องประธานน่ะ”
คนแรกเป็นเด็กสาว ‘ผีปอบ’ ที่เหมือนจะมองห้องสภาเป็นห้องรับประทานอาหารส่วนตัว ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่มีปัญหา เพราะยังไงเธอก็ช่วยงานผมค่อนข้างเยอะ พร้อมด้วยลูกเจี๊ยบบนไหล่อีกหนึ่งตัว
ส่วนคนที่เรียกผมว่าน้องประธานนั้น คือพี่ต้น หนุ่มรุ่นพี่ ‘ผีกระหัง’ ประจำสภานักเรียน เรียกได้ว่าเป็นสมาชิกที่ผมค่อนข้างภูมิใจนำเสนออย่างยิ่ง ทำงานดีสุดๆ ถึงช่วงนี้จะมีติดงานนอกสภาจนไม่ได้เข้าสภาบ่อยเหมือนทุกทีก็ตามแต่
อ๋อ…สองตัวบาทเมื่อกี้มี ‘ผีไร้หัว’กับ ‘เสือสมิง’ บอกไว้เผื่ออยากรู้ แต่ที่จริงไม่ต้องสนใจก็ได้ เพราะไม่ค่อยจะมาเข้าสภากันอยู่แล้ว และอย่างที่รู้ว่าต่อให้มาก็ไม่มีประโยชน์
…สุดท้ายก็หมดเวลาชมรมพร้อมกับที่งานเสร็จพอดี
ลูกโป่งสีแดงสดจำนวนร้อยลูกพอดิบพอดีถูกบรรจุไว้ในถุงขนาดใหญ่ที่พี่ต้นกำลังแบกเอาไว้
“งั้นผมขอฝากพี่ต้นเอาไปส่งให้หน่อยนะครับ”
“อืม พี่ไปก่อนนะ ไว้เจอกัน”
ว่าแล้วพี่ต้นก็ออกไป เหลือเพียงผม ผีนางรำ ผีปอบ
ผมมองรอบๆเช็กความเรียบร้อยของห้องสภา
“เรียบร้อย กลับบ้านกันเถอะ”
“…อือ”
“เสร็จจนได้นะคะ”
วันทั่วๆไปของสภานักเรียนก็ประมาณนี้แหละ รับเคส ทำเคส ถ้าเป็นไปได้ก็ทำให้เสร็จก่อนหมดเวลาชมรม จะได้ไม่ต้องเหลือไปทำวันอื่นให้วุ่นวาย และก็เป็นอีกวันที่พวกผมทำเคสได้เสร็จเรียบร้อย
ต่อให้เป็นเช่นนั้น พรุ่งนี้ก็ต้องมาวัดดวงกันอีกทีว่าจะมีเรื่องปวดหัวอะไรตามมาอีก
จริงสิ สภาชิกสภาห้าคนที่มีความพิเศษส่วนบุคคลเหล่านี้ ผมจะค่อยๆแนะนำพวกเขาไปทีละคนแล้วกัน อีกไม่นานนักหรอก
แล้วก็อีกเรื่อง อย่างที่สังเกตได้ว่าสมาชิกทั้งห้าล้วนแต่เป็นภูตผีที่มีต้นกำเนิดจากตำนานหรือความเชื่อของไทยด้วยกันทั้งสิ้น นับเป็นเรื่องสามัญ เพราะจิตตฯคือโรงเรียนสำหรับสิ่งมีชีวิตลี้ลับที่ตั้งอยู่ในประเทศไทย
คำถามก็คือ…ผมคือภูตผีอะไรกันล่ะ?
ยังไม่ได้แนะนำตัวอย่างเป็นทางการเลยนี่นะ
ผมชื่อคริสโตเฟอร์
เด็กหนุ่มผู้มีหน้าตาอันหล่อเหลาพร้อมด้วยเส้นผมสีชมพู …เอ่อ กรรมพันธุ์ให้มาแบบนั้นล่ะนะ ไม่ต้องสนใจเรื่องสีผมก็ได้ เอาเป็นว่าหล่อก็พอ
เป็นคนที่มีความสงสัยว่า ทำไมการเรียนการสอนของมัธยมที่นับว่ามีเนื้อหาง่ายแสนง่ายที่เพียงแค่นั่งฟังเฉยๆก็ซึมซับเข้าสมองแบบฝังแน่นแบบนี้ พวกที่สอบตกนี่มันโง่หรือไงกันนะ?
ใช่แล้ว นอกจากหล่อแล้วยังเรียนเก่งด้วย ประธานนักเรียน คริสโตเฟอร์ ไงล่ะ!
อวยตัวเองแบบไส้ฉีก จนถ้าใครมาได้ยินเข้ามีหวังโดนรุมกระทืบอย่างแน่นอน
แต่นั่นคือตัวผมล่ะ
แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบที่แตกต่างจากนักเรียนคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด เสื้อเบลเซอร์สีดำพร้อมด้วยเนคไทสีดำ และอีกเอกลักษณ์ที่ใครเห็นก็ต้องจับจ้อง… ‘เขา’ บนศีรษะทั้งสองข้าง
ผมเป็นชาวต่างชาติที่มาอยู่ไทยได้หลายปี
อีกทั้งยังได้รับสายเลือดที่ต่อให้เป็นในประเทศบ้านเกิดก็หาได้ยากยิ่ง ไม่สิ…คงมีแค่ผมคนเดียวมากกว่า
รอยสลักไม้กางเขนกลับด้านที่ใต้ดวงตาทั้งสอง
เขาสีแดงเลือดบนศีรษะ
เส้นผมสีชมพูที่เกิดจากการผสมของเชื้อสาย
ขอต้อนรับเข้าสู่โรงเรียนอาคมจิตตวิทยาสาขาที่หนึ่ง และนี่จะเป็นเรื่องราวของสภานักเรียนที่มีหน้าที่ช่วยแก้ปัญหาน่าหนักใจของวัยรุ่นเชื้อสายเหนือจินตนาการ
ตัวผมจะเป็นคนดำเนินเรื่องราวเอง
ใช่แล้ว…ตัวผมคนนี้ที่เป็น ‘ซาตาน’ เนี่ยแหละ
ตอนนำร่อง หรือที่เรียกว่าก่อนจะเข้าเรื่อง (ซาตาน) /จบ