สตรีแกร่งตระกูลไป๋ - ตอนที่ 1565 เสียใจ
ตอนที่ 1565 เสียใจ
“นั่นเกาอี้อ๋อง! รีบเปิดประตูเมืองเดี๋ยวนี้ นั่นคือเกาอี้อ๋อง!” ทหารทัพคุ้มกันเมืองรีบหันไปสั่ง “รีบไปตามแม่ทัพคุ้มกันเมืองมา บอกว่าเกาอี้อ๋องเสด็จกลับมาที่นี่ เร็วเข้า!”
ขณะเดียวกันองครักษ์ลับที่เหว่ยซู่ส่งกลับมาหาไป๋ชิงเหยียนก็เพิ่งเดินทางถึงเมืองเช่นกัน เขาพบว่าไป๋ชิงเหยียนออกเดินทางไปจากเมืองแล้ว เขากำลังเตรียมไล่ตามหญิงสาวไปก็ได้ยินเสียงไป๋จิ่นจื้อตะโกนขึ้นว่าฝ่าบาทถูกลอบโจมตีเสียก่อน เขากำบังเหียนม้าในมือแน่นทันที
นายหญิงสั่งให้เหว่ยซู่พาพวกเขาและทหารหน่วยกล้าตายของตระกูลต่งไปคุ้มครองคุณหนูสาม แสดงว่าตอนนี้ข้างกายของนายหญิงไม่มีคนคอยคุ้มครอง!
ประตูเมืองที่ถูกปิดมานานตั้งแต่เกิดโรคระบาดค่อยๆ ถูกเปิดออก แม่ทัพคุ้มกันเมืองรีบออกไปนอกเมืองทันที
หลู่หยวนเผิงที่สองมือโอบเอวไป๋จิ่นจื้อและปกป้องนางไว้ในอ้อมแขนเห็นทหารพุ่งตัวออกมาจากประตูเมืองที่เปิดออกอย่างเลือนราง แรงเฮือกสุดท้ายที่เขาพยายามฝืนเอาไว้หมดลงในทันที เขามองดูไป๋จิ่นจื้อที่มีสีหน้าร้อนรนในอ้อมกอดของเขา จากนั้นนึกถึงไป๋ชิงเหยียน…
ครั้งนี้เขาไม่ได้จงรักภักดีต่อฝ่าบาทจนถึงที่สุดอย่างที่ขุนนางคนหนึ่งควรทำ เขาทิ้งพี่สาวไป๋ไว้ที่นั่นอย่างคนเห็นแก่ตัว!
พวกเขาใช้เวลากว่าสองชั่วยามในการหนีจากที่นั่นมายังเมืองนี้ ศัตรูดูเตรียมพร้อมมาเป็นอย่างดี พี่สาวไป๋ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อให้พวกเขาหนีรอดออกมา ตอนนี้นางคงยากจะรอด!
ตั้งแต่เล็กจนโตหลู่หยวนเผิงทำตามใจตัวเองมาโดยตลอด เขาไม่รู้ว่าความรู้สึกผิดคือสิ่งใด
ทว่า ช่วงนี้เขาเอาแต่รู้สึกผิด!
“เกาอี้อ๋อง!” แม่ทัพคุ้มกันเมืองขี่ม้าออกมานอกเมือง เมื่อเห็นสภาพสะบักสะบอมของไป๋จิ่นจื้อจึงเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ
“อวี้…” ไป๋จิ่นจื้อกระชากบังเหียนม้าให้หยุดลง จากนั้นตะโกนเสียงดังลั่น “ฝ่าบาทถูกลอบโจมตี แม่ทัพคุ้มกันเมืองรีบจัดทัพไปช่วยเหลือฝ่าบาทโดยเร็วที่สุด!”
แม่ทัพคุ้มกันเมืองรับคำและหันไปออกคำสั่งทันที “ตีกลอง เรียกรวมพล!”
หลู่หยวนเผิงได้ยินแม่ทัพคุ้มกันเมืองกล่าวเช่นนี้ ในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ร่างของเขาค่อยๆ พลัดตกลงจากหลังม้า
เมื่อน้ำหนักบนหลังม้าเบาขึ้นม้าจึงถลาไปด้านหน้าสองสามก้าว ไป๋จิ่นจื้อรีบหันไปมองทางด้านหลังทันที…
นางเห็นหลังม้าอาบไปด้วยเลือดสด ขอเพียงมันสะบัดขนเลือดสดก็จะกระจายเต็มพื้น
“ท่านแม่ทัพ!”
“ท่านแม่ทัพหลู่!”
ทหารกองทัพไป๋รีบลงจากหลังม้าไปประคองร่างของหลู่หยวนเผิง พวกเขากลัวว่าหลู่หยวนเผิงจะพลิกตัวจนลูกธนูแทงเข้าไปในร่างลึกกว่าเดิม
“หลู่หยวนเผิง!” ไป๋จิ่นจื้อตกตะลึง นางร้องเรียกหลู่หยวนเผิงจากนั้นรีบลงจากหลังม้า นางเพิ่งเห็นว่าร่างของหลู่หยวนเผิงโชกไปด้วยเลือด ไป๋จิ่นจื้อที่เครียดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วน้ำตาไหลพรากในทันที นางรู้ดีว่าหลู่หยวนเผิงรับธนูแทนนาง ทว่า ระหว่างทางเขากลับไม่ปริปากบอกนางสักนิด ได้แต่อดทนอยู่คนเดียว
เสียงกลองศึกดังสนั่นขึ้น ไป๋จิ่นจื้อรีบตะโกนบอกทหารคุ้มกันเมือง “รีบตามหมอมาเร็ว!”
ทหารคุ้มกันเมืองได้ยินจึงรีบสั่งให้คนไปตามหมอทันที เขาไม่รู้ว่าฝ่าบาทถูกลอบโจมตีร้ายแรงเพียงใดแม่ทัพของกองทัพไป๋ถึงได้บาดเจ็บหนักเช่นนี้
หลู่หยวนเผิงง่วงนอนมาก เขาแทบลืมตาไม่ขึ้นด้วยซ้ำ ทว่า เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำตาของไป๋จิ่นจื้อที่หยดลงบนใบหน้าของเขาหลู่หยวนเผิงจึงพยายามลืมตาขึ้น เขาเหนื่อย…เหนื่อยมากแล้ว
“อย่าร้องไห้…” หลู่หยวนเผิงไม่เคยเห็นไป๋จิ่นจื้อร้องไห้มาก่อน เขาอยากยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้นาง ทว่า ร่างกายของเขาไม่มีแรงแม้แต่น้อย แขนของเขาหนักอึ้งราวกับจมอยู่ในน้ำ
เขาจำได้ว่าตอนตระกูลไป๋เกิดเรื่องขึ้นใหม่ๆ มีคนซื้อตัวญาติของทหารให้ไปก่อเรื่องหน้าจวนไป๋ แม้แต่ฝู่กั๋วอ๋องยังโมโหคนเหล่านั้นจนเสียน้ำตาพลางเอ่ยถามว่า…ตระกูลไป๋ปกป้องใต้หล้า ทว่า ผู้ใดปกป้องตระกูลไป๋ แต่ตอนนั้นไป๋จิ่นจื้อเพียงแค่จ้องไปที่คนเหล่านั้นด้วยความโมโห น้ำตาของนางคลออยู่ในดวงตา ทว่า ไม่ได้ไหลออกมา
“เจ้าโง่หรืออย่างไร เหตุใดได้รับบาดเจ็บจึงไม่บอกให้ข้ารู้” ไป๋จิ่นจื้อทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว “เหตุใดต้องทนมาทั้งทางเช่นนี้ด้วย”
หลู่หยวนเผิงเจ็บจนไม่สามารถกล่าวสิ่งใดออกมาได้ ลำคอของเขาร้อนผ่าว เขาลืมตาไม่ขึ้น ทว่า ยังฝืนกล่าวประโยคสุดท้ายออกมา “ไป๋จิ่นจื้อ อย่าร้องไห้…ข้าจะปกป้องเจ้าเอง”
“หลู่หยวนเผิง! เจ้าห้ามหลับนะ เจ้าลืมตามาคุยกับข้าก่อน!” ไป่จิ่นจื้อตบหน้าของหลู่หยวนเผิงพลางกล่าวด้วยเสียงสะอื้น “เจ้าอย่าหลับนะ!”
ไป๋จิ่นจื้อเคยผ่านเหตุการณ์เฉียดเป็นเฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง เมื่อเห็นเลือดที่อยู่บนหลังม้าและเห็นสีหน้าและริมฝีปากที่ไร้สีเลือดของหลู่หยวนเผิงนางจึงรู้สึกหวาดกลัวมาก
น้ำเสียงของไป๋จิ่นจื้อดังอยู่ที่ข้างหูของหลู่หยวนเผิง สติของหลู่หยวนเผิงค่อยๆ หมดลง เขานึกถึงซือหม่าผิงสหายคนสนิทของตัวเองขึ้นมา…
หากซือหม่าผิงอยู่เขาคงไม่โดนธนูยิงเช่นนี้…
ทุกครั้งที่ทำสงครามเขามักใจร้อนวู่วาม ซือหม่าผิงคอยปกป้องเขาทุกครั้ง
ทว่า ครั้งนี้เขากลับกล่าวถ้อยคำทำร้ายจิตใจซือหม่าผิง กล่าวว่าต้องการตัดสัมพันธ์กับเขาเพียงเพราะต้องการเดินทางมากับไป๋จิ่นจื้อเพียงสองคน
ความจริงเขารู้ดีว่าซือหม่าผิงเป็นห่วงเขาและไป๋จิ่นจื้อ
ทว่า เขากลับกล่าวกับซือหม่าผิงว่า “ซือหม่าผิง พวกเราคือสหายรัก เจ้าเคยช่วยชีวิตข้าไว้หลายครั้งดังนั้นข้าไม่อยากแตกหักกับเจ้า เจ้ารู้ว่าข้าชอบเสี่ยวซื่อ ข้าไม่เคยปิดบังความรู้สึกกับเจ้า ทว่า เจ้ากลับเห็นข้าเป็นคนโง่! หากพี่ชายของข้าไม่บอกข้าว่าเจ้าอาจชอบเสี่ยวซื่อเหมือนกัน เจ้าคิดจะบอกข้าเมื่อใดกัน”
เขาเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าผิงค่อยๆ จางหายไป เขารู้สึกปวดใจมาก เขาไม่กล้ามองหน้าซือหม่าผิง ได้แต่กำหมัดแน่นพลางกล่าวขึ้น “ไม่ว่าเจ้าอยากได้สิ่งใดข้าล้วนให้เจ้าได้ทุกอย่าง แม้แต่ชีวิตของข้าเอง! ทว่า เสี่ยวซื่อไม่ได้ หากเจ้าคิดแย่งนางกับข้าพวกเราก็จบกันแค่นี้”
รอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าผิงหายไป เขากล่าวขึ้นเสียงทุ้มต่ำ “หลู่หยวนเผิง เจ้าคิดว่าหากข้าคิดแย่งไป๋จิ่นจื้อไปจากเจ้า เจ้าจะสู้ข้าได้อย่างนั้นหรือ!”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ครั้งนี้เจ้าก็ไม่ต้องตามพวกเราไป หากไม่มีเจ้าคอยแทรกกลาง ข้ากับเสี่ยวซื่อต้องได้ลงเอยกันแน่”
ต่อมาซือหม่าผิงก็ไม่ได้ตามพวกเขามายังต้าเยี่ยนจริงๆ
เสียใจหรือไม่
หลู่หยวนเผิงเสียใจมาก ทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของซือหม่าผิงหายไป ทุกครั้งที่เห็นสายตาผิดหวังของสหาย หลู่หยวนเผิงรู้สึกเสียใจมาก
ตั้งแต่เล็กจนโต…ขอเพียงเป็นสิ่งที่เขาอยากได้ซือหม่าผิงจะยอมยกให้เขามาโดยตลอด ความจริงเขารู้ดีว่าซือหม่าผิงไม่เคยคิดแย่งไป๋จิ่นจื้อไปจากเขา
ทว่า ตั้งแต่ที่เขารู้ว่าซือหม่าผิงหลงรักไป๋จิ่นจื้อเหมือนกันเขาก็เริ่มหวาดกลัว ซือหม่าผิงคอยปกป้องเขาและไป๋จิ่นจื้อทุกครั้งยามอยู่ในสนามรบ เขากลัวว่าไป๋จิ่นจื้อจะหลงรักซือหม่าผิง
หากวันนี้เขาต้องตายอยู่ที่นี่จริงๆ สิ่งที่เขาเสียใจมากที่สุดคือการไม่ได้บอกความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองให้ไป๋จิ่นจื้อรับรู้ หากไม่ได้บอกความรู้สึกออกไปก็ไม่สามารถรบกวนจิตใจของไป๋จิ่นจื้อได้ นางจะเห็นเขาเป็นเพียงสหายคนหนึ่งเท่านั้น นางจะไม่เจ็บปวดเจียนตายกับการจากไปของเขา