ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 418 อารมณ์ไม่จีรัง-6
บทที่ 418 อารมณ์ไม่จีรัง-6
……….
“เจ้าคิดจะทำอะไรในอนาคต”
เมื่อทั้งคู่ยังเด็ก นายท่านจินเคยถามเช่นนี้
“ข้าแค่อยากจะผ่อนคลายบ้าง ทุกครั้งที่ลืมตาตื่นก็ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายเลย ดูสิ ทั้งๆ ที่ข้าไม่ชอบพูด แต่ก็ยังต้องพูดทุกวัน ทั้งๆ ที่ไม่มีอารมณ์ขันด้วยซ้ำ แต่ก็ยังพยายามจำคำพูดตลกไว้เพื่อพูดในภายหลัง พอไม่มีใครหัวเราะ ข้าก็ได้แต่หัวเราะคนเดียวไปเรื่อยๆ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็ดูเป็นเด็กที่เศร้าหมอง
“แต่ตอนนี้เจ้าก็พูดไม่น้อยทีเดียว…ถ้าไม่มีใครฟัง เจ้าก็มาหาข้าได้ แม้ว่าข้าอาจจะไม่ชอบฟังเสมอไป แต่ข้าก็จะฟังเจ้า”
นายท่านจินกล่าว
เขานอนมือหนุนหัวอยู่บนหลังคา
แผ่นหลังสัมผัสกับความเย็นของกระเบื้องหลังคา แม้จะไม่ค่อยสบายนัก แต่เขาก็ยังไม่อยากลุกขึ้น…เป็นความรู้สึกเสพติดอย่างหนึ่ง
“พี่หลี่ ข้าอยากฟังเรื่องน่าอายของพี่ชายข้าเจ้าค่ะ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
สตรีล้วนมีใจที่ไม่เคยสงบนิ่ง
โดยเฉพาะกับคนที่พวกนางรัก ยิ่งอยากรู้และควบคุมทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขา
เหมือนว่ามีเพียงทำเช่นนี้เท่านั้นจึงจะรู้สึกสบายใจและสงบลงได้
“พี่ชายเจ้าเคย…ทำสิ่งที่น่าขันกว่าข้ามอบกระถางดอกไม้อีก”
หลี่จวิ้นชางลูบคางผอมบางของตน ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาและเอ่ยปากขึ้น
เวลานั้น เหวินฉีเหวินก็จูงม้าเข้ามาใกล้และเอียงหูฟัง
แต่เขาก็ยังหยิบผ้าคลุมปักลายลวน[1]ออกมาจากห่อผ้า แล้วคลุมบ่าชิงเสวี่ยชิงเบาๆ
“กลางดึกน้ำค้างลง ชื้นยิ่งนัก”
เหวินฉีเหวินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงพยักหน้า ใช้มือขวาจับคอเสื้อ แล้วมองหลี่จวิ้นชางต่อ รอฟังเขาเล่าเรื่อง
“ไม่รู้เป็นอะไรเหมือนกัน มีหลายวันที่พี่ชายเจ้าไม่เล่นกับข้า ต้องรู้ว่าตอนนั้นพวกเราสองคนอยู่ด้วยกันทั้งวันทั้งคืน ต่อมาข้าไปตามหาเขาทั่วหัวเมือง เดินไปมาตามตรอกซอย ถึงพบว่าเขาแอบมานั่งตรงหน้าบ้านที่มีงานศพ ฟังคนเล่นดนตรีและมองตาไม่กะพริบด้วยซ้ำ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
พูดจบ เขาก็หยิบถุงเก็บน้ำที่แขวนอยู่ข้างม้ามาดื่ม
แต่ภายในถุงเก็บน้ำเต็มไปด้วยสุรา
กลิ่นสุราแรงกระแทกใบหน้า ชิงเสวี่ยชิงรีบหายใจเข้าลึกๆ
“ข้าขอดื่มได้หรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงพูด
หลี่จวิ้นชางตกใจเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบมองนายท่านจิน
เมื่อเห็นว่านายท่านจินเงียบอยู่นาน จึงยื่นถุงเก็บน้ำให้ชิงเสวี่ยชิง
ชิงเสวี่ยชิงรับถุงเก็บน้ำมาและดื่มอย่างสุขใจ
จากนั้นก็ใช้ผ้าคลุมตรงบ่าเช็ดปาก
“ท่านจะดื่มหรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงถามเหวินฉีเหวิน
“ข้าไม่ดื่ม…”
เหวินฉีเหวินโบกมือเป็นพัลวัน
หลี่จวิ้นชางเห็นว่าชิงเสวี่ยชิงไม่ส่งถุงเก็บน้ำคืนมาเสียที จึงได้แต่เล่าเรื่องเมื่อสักครู่ต่อ
“ข้าเข้าไปดึงเขาออกมา แล้วถามว่าเขาตลอดหลายวันนี้หายไปไหนมา กำลังทำอะไรอยู่ พี่ชายเจ้าบอกว่าเขาไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ ก็หลงใหลเสียงดนตรีมาก…ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเล่นดนตรีในงานแต่งงานหรืองานศพ ฝีเท้าเขามักจะช้าลงแล้วฟังจนจบคนแยกย้ายกัน ในช่วงสามถึงห้าวันนั้น เขาใช้เวลาไล่ตามหาที่ที่มีเล่นดนตรีไปทั่วเมือง ฟังจนเขาเริ่มซื้อเครื่องดนตรีมาเล่นเอง จากนั้นพอบ้านไหนจัดงาน เขาก็เข้าไปเล่นร่วมกับคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ชำนาญนักหรอก หากผสานกับคนอื่นก็ยังพอไหว แต่ถ้าต้องเล่นเดี่ยวยิ่งแล้วใหญ่…ในที่สุด มีครั้งหนึ่งเขาเล่นเพลงงานแต่งผิด เกือบโดนเจ้าภาพหักขาทิ้ง!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
นายท่านจินฟังแล้วไม่รู้สึกอายแม้แต่น้อย เพียงแค่ยิ้มเบาๆ
เขาสัมผัสได้ว่าสหายรักของตนค่อยๆ กลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว
สัญญาณที่บอกว่าคนคนหนึ่งกล้าที่จะปล่อยวางคือความกล้าที่จะรำลึกถึงอดีต
หากสามารถเล่าเรื่องราวในอดีตได้เหมือนกำลังดูละคร นั่นหมายความว่าเขาหายดีมากกว่าครึ่งแล้ว
ความห่วงใยของเพื่อน ความรักจากบิดามารดา สิ่งเหล่านี้หลี่จวิ้นชางเคยมีมากมาย และตอนนี้ก็ยังเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีชีวิตรอดอยู่ได้ไปวันๆ
หลายปีมานี้ นายท่านจินกลับพบเพื่อนใหม่หลายคน
ในจวนที่พักของเขาที่เหมืองมักจะคึกคักอยู่เสมอ
ทว่าที่นั่งข้างของแต่ละคนมีจำกัด เมื่อมีคนเข้ามา ก็ย่อมมีคนออกไป
แต่ในเรื่องของความรู้สึกและความสัมพันธ์ นายท่านจินยึดหลักการ ‘ใครมาก่อน ใครมาหลัง’ เสมอ
กาลเวลาสามารถทำให้ความเฉยเมยกลายเป็นความอบอุ่นได้ ทำให้ความอบอุ่นกลายเป็นการพลุ่งพล่านได้ และยังสามารถทำให้การพลุ่งพล่านกลับมาสงบอีกครั้งได้เช่นกัน
ในหมู่เพื่อนๆ ทั้งหมด เขาและหลี่จวิ้นชางรู้จักกันยาวนานที่สุด
แม้ในช่วงเวลาที่ยาวนานก่อนหน้านี้ เขาคิดว่าหลี่จวิ้นชางได้จากไปแล้ว แต่ในใจก็ไม่เคยให้ที่นั่งของเขากับคนอื่น
“ท่านพี่ เหมืองรกร้างมากจริงๆ หรือเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“ก็ไม่ผิดทีเดียว…แต่ที่ที่ข้าอยู่ ไม่ด้อยกว่าจวนชิงแน่นอน!”
นายท่านจินพูดอย่างภาคภูมิใจ
แม้ว่าก่อนหน้านี้ชิงเสวี่ยชิงไม่เคยเจอพี่ชายของนาง แต่นางก็ได้ยินเรื่องราวของเขามามากมาย
ได้ยินคนเก่าแก่ในจวนชิงบอกว่า เหตุผลที่นายท่านจินเปลี่ยนแซ่นั้นหลักๆ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงข้อกล่าวหา อีกเหตุผลหนึ่งก็คือกรงเหยี่ยวของเขาทำจากทองคำ
ตะขอทั้งสองด้านฝังด้วยอัญมณี มองไกลๆ ดูเหมือนดอกล่าเหมยกลางหิมะ
แค่กรงเหยี่ยวเพียงกรงเดียวก็มากพอที่จะทำให้ครอบครัวธรรมดาอยู่สุขสบายทั้งชีวิตได้
แต่นายท่านจินมีกรงเหยี่ยวแบบเดียวกันนี้หลายร้อยกรง
มีคำกล่าวว่า ‘คนรวยเลี้ยงนก คนจนเลี้ยงลิง’ ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง
เหยี่ยวเป็นราชาแห่งนก หากไม่ใช่นักล่า คนธรรมดาย่อมเลี้ยงไม่ได้…
เพิ่มเติมอีกว่าเหยี่ยวต้องกินเนื้อเท่านั้น มีนิสัยดุร้าย ไม่อดทนต่อความเหงา หากไม่บินบ่อยๆ มันจะตายเพราะอึดอัด
ดังนั้นการเลี้ยงเหยี่ยวไม่เพียงต้องมีเงิน แต่ยังต้องมีเวลาว่าง
นายท่านจินจึงเป็นคนที่มีทั้งสองอย่างนี้!
“เสวี่ยชิงก็ชอบเหยี่ยวหรือ”
นายท่านจินถามด้วยความประหลาดใจ
หัวเมืองรัฐหงไม่น่าจะมีเหยี่ยว
“ข้าชอบ! ก่อนหน้านี้ทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดข้างๆ จวนชิงของเรามีเหยี่ยวอยู่ ตอนข้าไปเต้นรำที่นั่นก็เคยเห็นมัน เหยี่ยวตัวนั้นบินวนเหนือศีรษะข้าแต่ไม่ขยับปีกด้วยซ้ำเจ้าค่ะ ขณะที่ชายกระโปรงข้าก็พริ้วตามท่าเต้นรำไม่หยุด ความรู้สึกนั้นเหมือนข้ากำลังเต้นรำอยู่บนยอดไม้ บนท้องฟ้าเลยเจ้าค่ะ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“ทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด…”
นายท่านจินพึมพำ
นั่นก็เป็นสถานที่ที่เขากับหลี่จวิ้นชางเคยเล่นสนุกกันตั้งแต่เด็ก
แต่ตอนนั้นทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดยังธรรมชาติกว่าตอนนี้มาก
ไม่มีสะพานหรือทางเดินไม้
มีเพียงสายน้ำคดโค้งไหลเซาะหินทั้งสองฝั่งที่มีตะไคร่น้ำสีเขียว
ดาบของนายท่านจินและหลี่จวิ้นชางก็ฝึกในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
ก่อนที่จะออกเดินทาง ชิงหรานยังกำชับนายท่านจินเป็นพิเศษว่าให้ชี้แนะวิชาดาบให้กับชิงเสวี่ยชิง
ตอนที่พูดถึงทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด นายท่านจินก็รู้สึกว่านี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก
“เสวี่ยชิงฝึกดาบตัดเงาถึงขั้นที่สามแล้วหรือ”
นายท่านจินถาม
“เจ้าค่ะท่านพี่…แต่ช่วงนี้รู้สึกติดขัดเล็กน้อย…บางครั้งข้าต้องคิดหนักเพื่อเข้าใจท่าดาบ แต่กลับคลุมเครือระดับหนึ่งและหาความรู้สึกนั้นเท่าไรก็หาไม่เจอ…แต่บางครั้งไม่ต้องพยายามมากก็รู้สึกได้เอง เมื่ออารมณ์พลุ่งพล่าน ก็ใช้มันออกมาได้เองเจ้าค่ะ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“ตอนข้าอายุเท่าเจ้า ข้าก็เคยถามหลายคนว่าต้องฝึกดาบอย่างไรถึงจะเก่ง รวมถึงบิดาของพวกเราด้วย คำตอบที่ได้รับคือ หากใจและอารมณ์ถึง ดาบก็จะถึง เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับดาบในมือเจ้าก็คือความรู้สึกข้างใน หลายครั้งเจ้ารู้สึกว่ากำลังออกดาบตลอดเวลา แต่กลับไม่มีดาบใดที่ทำให้เจ้าพึงพอใจ…บางครั้งคิดขึ้นมาได้ก็รีบฟันดาบอีกครั้งทันที แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าไม่ดีพอ ครึ่งๆ กลางๆ และดูฝืน”
นายท่านจินกล่าว
“เป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าค่ะ…แล้วมีหนทางไหนบ้างเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“วิชาดาบก็ต้องการการเสริมแต่ง ก็เหมือนกับการที่ความรู้สึกของตัวเองต้องการการยอมรับ การเข้าใจ และการดูแล แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือสัมผัสสุดท้าย เจ้าต้องคิดคำนวณอารมณ์ของเจ้าอย่างรอบคอบ ในขณะเดียวกันเจ้าต้องชื่นชมช่วงเวลาแห่งความเมตตาสุดท้ายก่อนที่จะใช้ดาบ ก็เหมือนตอนที่เจ้าดื่มสุรา เจ้าย่อมมีอาหารที่ชอบไว้กินแกล้ม มีอาหารแต่ไม่มีสุรา หรือมีสุราแต่ไม่มีอาหารต่างก็น่าเบื่อเหมือนกัน ดังนั้น มีความรู้สึกถึงมีดาบ ดาบไม่เคยเป็นสิ่งที่ไม่มีอารมณ์”
นายท่านจินพูด
ชิงเสวี่ยชิงจมดิ่งอยู่กับความคิด…
คำพูดนี้มีผลกระทบต่อนางอย่างมาก!
ช่วงนี้ยามที่นางฝึกดาบมักรู้สึกว่าหัวสมองโล่งและใจเศร้าหมอง ไม่สามารถหาจุดเชื่อมต่อที่สมบูรณ์ได้ เหมือนกับว่าคำพูดนั้นสลักอยู่นาน แต่ก็ไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้
สุดท้ายนางก็ได้แต่คิดว่าเพราะยังบ่มเพาะไม่เต็มที่จึงต้องวางดาบลง คิดว่าเมื่อไรที่รู้สึกว่าบ่มเพาะเพียงพอแล้วก็จะหยิบดาบขึ้นมาอีกครั้ง
“ดาบไม่ควรทำให้แค่เจ้ารู้สึกว่าพึ่งพาได้ แต่ควรทำให้คู่ต่อสู้ของเจ้า ศัตรูของเจ้ารู้สึกอบอุ่นด้วย”
หลี่จวิ้นชางกล่าวเสริม
“อบอุ่น?”
ชิงเสวี่ยชิงงุนงงอย่างยิ่ง…
อาวุธย่อมเยือกเย็น
การฆ่าฟันก็เต็มไปด้วยความโหดร้ายและนองเลือด
ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความอบอุ่นเลย
“หากดาบของเจ้าแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้สึกซาบซึ้ง หรือคิดว่าไม่มีอะไรดีเด่น การใช้ดาบก็จะไม่มีรสชาติ แล้วจะเรียกว่าหนึ่งท่าดาบที่ดีได้อย่างไร มีช่วงหนึ่งข้าฝึกดาบเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดี…แต่ก็สนใจแค่ตัวเอง ถือตัวเองเป็นศูนย์กลาง ลืมไปว่าคู่ต่อสู้ควรจะเป็นอย่างไร หลังจากนั้นข้าถึงรู้ว่าความหมายของการใช้ดาบไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเลย”
หลี่จวิ้นชางกล่าวต่อ
“ความหมายของการใช้ดาบอยู่ที่คู่ต่อสู้ หากไม่มีใครที่ทำให้เจ้าต้องใช้ดาบ การถือดาบก็ไม่ต่างอะไรกับถือตะเกียบ”
นายท่านจินกล่าว
คำอธิบายนี้ทำให้ชิงเสวี่ยชิงรู้สึกหดหู่…เหมือนกับว่าดาบที่นางฝึกฝนมาหลายปีนี้ยังไม่ดีเท่ากับการใช้ตะเกียบกินข้าวเลย…
“แล้วพวกท่านฝึกดาบกันอย่างไรเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงยู่ปากถาม
“ดาบของพวกเราสร้างจากชีวิตของมนุษย์”
นายท่านจินตอบพลางยิ้ม ตั้งใจจะหยอกเล่น
แต่คำตอบนั้นกลับทำให้ชิงเสวี่ยชิงตัวสั่น…
“น้องชิง เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่”
เหวินฉีเหวินถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่เหวิน ข้าไม่เป็นไร…อาจเพราะหิวเล็กน้อยเจ้าค่ะ”
ชิงเสวี่ยชิงตอบ
……………………………………………
[1] ลวน เป็นนกตระกูลนกฟีนิกซ์ มีสีฟ้า
……….