ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 417 อารมณ์ไม่จีรัง-5
บทที่ 417 อารมณ์ไม่จีรัง-5
……….
บนทางหลวงนอกหัวเมืองรัฐหง ผู้คนหนึ่งกลุ่มกำลังรีบเร่งไปยังทิศทางของเหมืองแร่โดยไม่หยุดพักทั้งกลางวันและกลางคืน
ประมาณยี่สิบสามสิบคนได้
คนที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดคือนายท่านจินและหลี่จวิ้นชาง
คนที่ตามหลังพวกเขาเป็นนักดาบฝีมือดีจากจวนชิง
ชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวินอยู่กลางขบวน
และคนที่ปกป้องด้านหลังคือทหารรับใช้ชั้นยอดจากจวนผู้ควบคุมรัฐหง
ในที่สุด เหวินฉีเหวินก็อยู่ในขบวนด้วย
ถึงจะเป็นเสือแต่ไม่กินลูก ไม่ว่าเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงจะมีแผนการอะไร ก็จะไม่ปล่อยให้ลูกชายเพียงคนเดียวตกอยู่ในอันตราย
ทว่าก็เพราะเหวินฉีเหวินเดินทางในครั้งนี้ นางเสี่ยวจงและชิงหรานจึงตกลงให้ชิงเสวี่ยชิงติดตามไปด้วย
“ท่านพี่ พวกเราเดินถึงไหนแล้วเจ้าคะ อีกนานหรือไม่จะถึงที่หมาย”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
นายท่านจินยิ้มอย่างขมขื่น…
นี่เป็นครั้งที่แปดแล้วที่ชิงเสวี่ยชิงถามคำถามนี้ในหนึ่งชั่วยาม
แทบทุกครึ่งเค่อ ชิงเสวี่ยชิงก็จะถามคำถามนี้อีกครั้ง
และก่อนออกเดินทาง นายท่านจินได้บอกนางอย่างชัดเจนแล้วว่า หากเดินทางต่อเนื่องทั้งกลางวันและกลางคืนก็ต้องใช้เวลาถึงสี่วันครึ่ง
ตอนนี้ พวกเขาเพิ่งจะออกเดินทางได้ไม่ถึงห้าชั่วยามด้วยซ้ำ
“หากเจ้ารีบ เจ้าสามารถขี่ม้านำไปก่อนได้เลย”
นายท่านจินพูด
ไม่ใช่เพราะต้องการสลัดชิงเสวี่ยชิงออกไป จริงๆ แล้วนายท่านจินก็ชอบน้องสาวคนนี้ของเขามาก
ในอดีต เขาเป็นคนดื้อรั้นและไม่รู้เรื่องมากนัก
มักจะโยนความขัดแย้งระหว่างเขากับนางเสี่ยวจงมาใส่ให้น้องสาวที่อ่อนเยาว์นี้…
ตอนนี้เมื่อนึกถึง ในใจกลับรู้สึกผิดอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ ถึงแม้จะไม่ได้เกิดจากมารดาเดียวกัน แต่ชิงเสวี่ยชิงก็มีเลือดของชิงหรานเหมือนกับนายท่านจิน
“แต่ถ้าข้าไปก่อน ไม่ใช่ว่าก็ยังต้องรอพวกท่านอยู่หรือ”
ชิงเสวี่ยชิงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามกลับ
นายท่านจินยิ้มไม่ตอบ
“น้องชิง อย่าเลยดีกว่า พวกเราออกมาด้วยกันก็ต้องปฏิบัติตามกฎและฟังคำสั่งของพี่ใหญ่ อีกอย่าง หากเจ้าไปข้างหน้าคนเดียว ก็ไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไรนัก”
เหวินฉีเหวินกล่าว
แม้หลังจากฟังแล้ว ชิงเสวี่ยชิงจะไม่เต็มใจ แต่นางก็ยังคงยู่ปากและพยักหน้าในที่สุด
“น้องสาวเจ้านี่…”
หลี่จวิ้นชางอึกอัก
“น้องสาวข้าทำไม”
นายท่านจินถามต่อ
ไม่มีใครชอบฟังคำพูดที่พูดมาแค่ครึ่งเดียว
“ข้าแค่คิดว่าน้องสาวของเจ้าเหมือนข้าแต่ก่อนอย่างยิ่ง”
หลี่จวิ้นชางพูด
จากนั้นก็ก้มหน้าลง
นายท่านจินถอนหายใจ
เขารู้ว่าหลี่จวิ้นชางพูดถึงช่วงเวลาที่ตระกูลหลี่ยังรุ่งเรือง
ในเวลานั้น หลี่จวิ้นชางต้องเป็นคนที่สุขใจไร้กังวล เพียงอยากสำรวจดูว่าท้องฟ้าสูงเพียงใดและผืนดินกว้างแค่ไหน
นายท่านจินยังจำได้เสมอว่า สิ่งที่ทั้งคู่ชอบทำที่สุดคือยืนบนหลังคาและจุดดอกไม้ไฟ
บางครั้งก็บนเรือนหลักของจวนชิง บางครั้งก็ชั้นบนห้องโถงของตระกูลหลี่
มองดูดอกไม้ไฟที่พุ้งขึ้นท้องฟ้าอันว่างเปล่า แต่ใจกลับมีความสุขและผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
บางครั้งมีผู้คนผ่านไปมา ลมพัดเสื้อผ้าของพวกเขาปลิวสไว ดูเข้ากับดอกไม้ไฟที่ลอยไปกับลมไม่น้อย
เวลาในตอนนั้น ดูเหมือนจะหมุนอยู่ทุกขณะ แต่ก็หมุนเร็วเกินไป…เร็วจนนายท่านจินแทบจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
เขาจำได้เพียงว่าบนหลังคาบ้านตระกูลหลี่มีกระเบื้องเคลือบสองแผ่นที่เริ่มหลุดลอก
ยังจำได้ว่าเรือนหลักของจวนชิงสูงกว่าหลังคาบ้านตระกูลหลี่อย่างน้อยสามฉื่อ
ส่วนอื่นๆ นายท่านจินก็เริ่มเลือนราง จำได้ไม่ชัดเจนแล้ว
“ตอนนั้น ลมบนหลังคาแรงมากจริงๆ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ใช่…แม้แต่ในฤดูร้อนก็ไม่เคยมีลมร้อน…ไม่ว่าเมื่อไรที่พวกเราอยู่บนหลังคา ลมก็เย็นเสียดแทงกระดูก”
นายท่านจินพูด
“ตอนนั้นท่านทั้งสองอายุเท่าไรเจ้าคะ”
ไม่รู้ชิงเสวี่ยชิงเดินจากกลางขบวนไปอยู่ด้านหน้าตั้งแต่เมื่อไร
ตามหลังนายท่านจินและหลี่จวิ้นชาง
ตอนนี้ก็พลันถามขึ้น
“ข้าจำไม่ได้แล้ว”
“ยังไม่เป็นผู้ใหญ่”
นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางตอบ
ถึงแม้คำตอบของหลี่จวิ้นชางจะคลุมเครือ แต่อย่างน้อยก็ยังชัดเจนกว่านายท่านจิน
“ตอนนั้นท่านทั้งสองเป็นสหายสนิทกันแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“ตอนนั้นพวกเราเป็นสหายสนิทกันแล้ว”
นายท่านจินกล่าวหลังจากคิดอยู่สักพัก
หลี่จวิ้นชางมองใบหน้าด้านข้างของนายท่านจิน แล้วยิ้มเล็กน้อย
“เจ้ารู้หรือไม่ เมื่อก่อนพี่ชายคนนี้เคยทำเรื่องไร้สาระมากมายทีเดียว!”
นายท่านจินชี้ไปที่หลี่จวิ้นชางแล้วบอกชิงเสวี่ยชิง
“เรื่องไร้สาระ? หมายถึงอะไรเจ้าคะ…”
ชิงเสวี่ยชิงไม่เข้าใจ
นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางมองหน้ากัน ไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร
“ตอนนั้น เขาชอบทำสวนมาก เจ้าต้องรู้ว่า บุรุษคนหนึ่งดูแลพืชผักทุกวัน มักเป็นเรื่องที่ผู้คนหัวเราะเยาะ”
นายท่านจินกล่าว
เมื่อไม่รู้ว่าจะอธิบายยังไง ก็ตรงไปตรงมาเล่าเรื่องให้ชิงเสวี่ยชิงตัดสินใจเองดีกว่า
“ใช่แล้ว ท่านแม่ข้าก็เคยบอกว่าข้าไร้สาระ…นางบอกว่านักดาบที่แขวนกระดิ่งสองอันไว้ที่ส้นรองเท้าเป็นเรื่องไร้สาระ…”
ชิงเสวี่ยชิงพูดขึ้นมากะทันหัน
เมื่อได้ยินชิงเสวี่ยชิงพูดถึงมารดาของนาง สีหน้าของนายท่านจินก็เปลี่ยนไป
แต่หากพูดตามตรง นายท่านจินก็คิดว่าสิ่งที่นางเสี่ยวจงพูดนั้นไม่ผิด
“คนทั่วไปปลูกดอกไม้เพื่อชื่นชมและสร้างความเพลิดเพลิน ซึ่งก็ถือว่าเป็นรสนิยมที่ดี แต่หลี่จวิ้นชางปลูกดอกไม้เพื่อมอบให้คนอื่น!”
นายท่านจินพูดต่อ
“มอบให้คนอื่น มอบให้ใครหรือเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงถาม
“ฮ่าๆ แน่นอนว่ามอบให้กับหญิงงามอย่างเจ้านั่นแหละ!”
นายท่านจินกล่าวพลางยิ้ม
ทำให้ชิงเสวี่ยชิงรู้สึกเขินอายขึ้นมา…
นางยังไม่ค่อยคุ้นเคยกับพี่ชายของนางนัก แต่ชิงเสวี่ยชิงรู้สึกว่าทั้งนายท่านจินและหลี่จวิ้นชางมีกลิ่นอายบางอย่างที่นางไม่เคยรับรู้มาก่อน
มันไม่เหมือนกับบิดามารดาของนางที่สูงส่งและสง่างาม และไม่เหมือนกับความคึกคักของผู้คนที่ดื่มสุราในตรอกแคบๆ
แต่มันกว้างใหญ่ไม่มีที่สิ้นสุด
ชิงเสวี่ยชิงไม่รู้จะนิยามความความรู้สึกนี้อย่างไร แต่มันเหมือนกับเข็มปักผ้าที่ตกลงไปในทะเลกว้าง
ไม่ว่ามันจะเล็กและคมเพียงใด ก็สามารถควบคุมได้
ชิงเสวี่ยชิงถึงขั้นรู้สึกว่าการเดินทางครั้งนี้กับเหวินฉีเหวิน และเดินตามหลังพี่ชายของนาง อาจเป็นชีวิตที่มีความหมายที่สุดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แต่เมื่อนางเข้าใกล้หลี่จวิ้นชาง มักจะสัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าที่ว่างเปล่าของเขา
ชิงเสวี่ยชิงเคยถามเหวินฉีเหวินอย่างเงียบๆ ว่าเพราะเหตุใด
แต่เหวินฉีเหวินกลับบอกนางว่าไม่มีเหตุผล
โลกนี้มันซับซ้อนอยู่แล้ว การคาดเดาเพียงอย่างเดียวย่อมไม่สามารถเข้าใจมันได้
หากเจ้าต้องการรู้จริงๆ เจ้าควรไปตบไหล่ของหลี่จวิ้นชางและถามเขาอย่างตรงไปตรงมา…
อย่างไรก็ตาม ผลที่ตามมาของการกระทำนั้นมีสองประการ
ประการแรกคือได้รับคำตอบทั้งหมด
ประการที่สองคือได้รับความเงียบยาวนาน
แต่ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์ใด สำหรับชิงเสวี่ยชิงล้วนยอมรับได้ทั้งคู่
“คนอื่นมอบดอกไม้ให้ ก็จะเป็นช่อไม่ก็ตะกร้า แต่หลี่จวิ้นชางมอบดอกไม้ กลับถือกระถางดอกไม้สองใบเดินเล่นอยู่บนถนน…เมื่อเห็นใครที่เขาประทับใจ ก็จะยื่นกระถางดอกไม้ให้พวกนาง คนที่ไม่รู้เรื่องยังคิดว่าเขาขายดอกไม้…หลังจากไม่นาน สตรีทั้งหัวเมืองรัฐหงก็ต่างรู้จักกับนิสัยประหลาดของหลี่จวิ้นชางกันหมด ทว่าพวกนางไม่ได้หลบหลีก กลับเดินหน้าสู้! ถึงอย่างไร ตระกูลหลี่ในเวลานั้นก็มีชื่อเสียงมากกว่าจวนชิงในรัฐหงเสียอีก หากหลี่จวิ้นชางชอบพวกนางจริงๆ ก็จะเปลี่ยนสถานะพวกนางได้เลยไม่ใช่หรือ”
นายท่านจินกล่าว
“เอ่อ…มันก็ค่อนข้างไร้สาระจริงๆ ไร้สาระยิ่งกว่ากระดิ่งตรงส้นรองเท้าของข้าอีกเจ้าค่ะ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
พูดจบนางยังจงใจส่ายขาของตัวเอง เพื่อให้กระดิ่งที่ส้นรองเท้าของนางส่งเสียงดัง
“ที่จริงกระดิ่งตรงส้นรองเท้าเจ้าไม่ไร้สาระหรอก”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยปากพูด
“หากเจ้าเป็นนักดาบที่เก่งกาจพอ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่ากระดิ่งจะเปิดเผยตำแหน่งของเจ้า เพราะไม่ว่าคู่ต่อสู้จะมีกลยุทธ์หรือเล่ห์เหลี่ยมมากมายเพียงใด เจ้าก็สามารถทำลายได้ด้วยหนึ่งดาบ หากเจ้ามีความสามารถถึงจุดนั้นเมื่อไร กระดิ่งเหล่านี้จะยังเป็นเรื่องไร้สาระอยู่หรือ กลับกันมันจะกลายเป็นสัญลักษณ์ของเจ้า ตามคำกล่าวที่ว่า ‘ได้ยินเสียงฟ้าผ่าแล้วหวาดกลัว’ และหากเจ้าเปลี่ยนเป็น ‘ได้ยินเสียงกระดิ่งแล้วหวาดกลัว’ มันจะยิ่งวิเศษมากใช่หรือไม่”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงฟังแล้วหัวเราะอย่างมีความสุข ร่างกายนางโอนเอนไปมา
ในทางกลับกัน นายท่านจินกลับมองหลี่จวิ้นชางผู้เป็นสหายรักมาหลายปีด้วยความประหลาดใจ
ในอดีต เขาเป็นคนที่สนุกสนานอย่างยิ่ง คำพูดตลกของเขาสามารถพูดได้ตลอดสามวันสามคืนก็ยังไม่หมด
แต่หลังจากที่พบกันครั้งล่าสุด นายท่านจินรู้สึกว่าเขากลายเป็นคนสุขุมมากขึ้น…
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ยินเขาพูดกับชิงเสวี่ยชิงเมื่อครู่นี้ นายท่านจินก็รู้สึกปีติอย่างยิ่ง
บางทีหลี่จวิ้นชางในอดีตอาจจะยึดติดมากไปหน่อย
มักจะถามว่า ‘เพราะเหตุใด’ อยู่เสมอ
แต่หากไม่ถามแล้วจะอย่างไรเล่า
ต่อให้รู้คำตอบและความจริงทั้งหมด ดวงอาทิตย์ก็ยังคงโคจรอยู่ ตะวันขึ้นจันทร์ลับฟ้า ดอกไม้บานในความเงียบเหงา
ความยากลำบากที่สุดในใจของหลี่จวิ้นชางคือการยึดติดในตระกูลหลี่ที่ล่มสลาย
การฟื้นฟูตระกูลหลี่กลายเป็นเสาหลักทางจิตวิญญาณเพียงหนึ่งเดียวของเขา
เมื่อไม่สามารถขจัดความยากลำบากอันยิ่งใหญ่และความตกต่ำนี้ได้ ผู้คนก็จะสิ้นหวังอย่างยิ่ง
นั่นเป็นเหตุผลที่หลี่จวิ้นชางพูดว่า เขาคิดที่จะตายหลายครั้ง…
ในอดีต นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางเคยสนุกสนานกันใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน มักรู้สึกว่าท้องฟ้ายามราตรีเดียวดายเกินไป จึงต้องการดอกไม้ไฟเพื่อทำลายความโดดเดี่ยวนั้น
แต่ตอนนี้พวกเขาต่างชอบความมืดมิดและเรียบง่ายของท้องฟ้ายามค่ำคืน
เหมือนกับว่าค่ำคืนเช่นนี้สามารถทนต่อความผิดพลาดและความขัดแย้งทั้งหมดได้
เมื่ออยากจะร้องไห้ก็ร้อง อยากจะหัวเราะก็หัวเราะ ไม่มีใครมาเยาะเย้ยเจ้า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นเงื่อนไขคือมีคนคนหนึ่ง
“เสวี่ยชิง นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าออกจากบ้าน?”
หลี่จวิ้นชางถาม
“เจ้าค่ะ…ก่อนหน้านี้ไปไกลสุดก็เพียงเดินเล่นรอบๆ หัวเมืองรัฐหงเท่านั้น ไม่เคยเดินทางไกลขนาดนี้มาก่อน”
ชิงเสวี่ยชิงตอบ
“เจ้าโชคดีมาก…ครั้งแรกที่ออกจากบ้านมีผู้ติดตาม สหายร่วมทาง และพี่ชายด้วย นับว่าโชคดีจริงๆ”
หลี่จวิ้นชางกล่าวอย่างโศกเศร้า
หลายปีก่อน ตอนเขาออกจากบ้านครั้งแรก เขาไม่มีอะไรเลยนอกจากดาบ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ในมือ
ไม่มีผู้คน ไม่มีม้า และไม่มีเงิน
สิ่งที่เขาต้องเผชิญคือการเร่ร่อนไม่รู้จบ
ในเวลานั้นเขาปลอบใจตัวเองว่า บางทีการอยู่คนเดียวอาจจะดีที่สุด
ก็แค่ชีวิตเรียบง่ายและสงบมากขึ้นเท่านั้น
แต่ตราบใดที่เขาก้าวไปข้างหน้า ผ่านตำบลแต่ละตำบล เมืองแต่ละเมือง ถนนแต่ละสายและมองท้องฟ้ายามค่ำคืนที่แตกต่างกัน ฟังสำเนียงท้องถิ่นที่แตกต่างกัน ลิ้มรสสุราท้องถิ่นที่แตกต่างกัน
ทว่าทั้งหมดนี้ ในภายหลังเขาก็ไม่ได้ทำสักเรื่อง
เขาไปสถานที่ต่างๆ มากมาย แต่ไม่เคยมีเวลาดื่มสุราและฟังผู้คนพูดคุยอย่างตั้งใจ
มีแต่ต้องรีบออกจากทุกที่ และเติมเต็มชีวิตของเขาด้วยสิ่งเหล่านี้
……………………………………………
……….