ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 413 อารมณ์ไม่จีรัง-1
บทที่ 413 อารมณ์ไม่จีรัง-1
……….
แม่นางน้อยหลับตาลง
จิ้งเหยาตึงเครียดกว่าตอนประมือกับเจ้าหมิงหมิงมาก
“เจ้ารู้จักแม่นางน้อยผู้นี้มากเพียงใด”
จิ้งเหยาถามขึ้น
“ข้าไม่รู้สิ่งใดเลย”
เกาเหรินเอ่ยตอบ
“เอาเถอะ ข้ารู้แค่เพียงเรื่องเล่าและข่าวลือเท่านั้น ไม่น่าจะช่วยอะไรในสถานการณ์ตอนนี้ได้เลย”
เกาเหรินเห็นแววตาเคร่งขรึมของจิ้งเหยา ก็ได้แต่ยักไหล่แล้วพูดต่อ
“เรื่องเล่าและข่าวลือต่างกันอย่างไรหรือ”
จิ้งเหยาถามต่อ
ในความคิดของเขา เรื่องเล่าและข่าวลือล้วนเหมือนกัน
ไม่มีสิ่งใดแตกต่าง
ล้วนเป็นเรื่องที่ไร้หลักฐานและไม่น่าเชื่อถือ
“แน่นอนว่าแตกต่างกัน”
แม่นางน้อยเอ่ยขึ้นทันทีหลังจากลืมตา
“เรื่องเล่ามักจะเป็นเรื่องจริง ส่วนข่าวลือก็แค่เรื่องที่พูดเกินจริงไปเท่านั้น”
คำพูดนี้ดังเข้าหูจิ้งเหยา แต่เขาก็ยังไม่เห็นความแตกต่างอยู่ดี
เรื่องที่มักจะเป็นจริง หมายความว่าอาจเป็นไปได้ที่จะไม่จริง
ส่วนเรื่องที่พูดเกินจริงนั้น ยิ่งไร้ขอบเขตยิ่งกว่า
มีเพียงสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตา รับรู้ได้ด้วยหู สัมผัสได้ด้วยมือ จึงจะนับว่าเป็นจริง
แหล่งข้อมูลอื่นๆ ล้วนไร้ประโยชน์สำหรับเขา
เพราะจิ้งเหยาไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้น
สำหรับผู้ฝึกยุทธ์แล้ว นอกจากจิตใจอันมั่นคงและเป้าหมายในเส้นทางยุทธ์แล้ว อารมณ์ความรู้สึก สิ่งแวดล้อมรอบข้าง และความลุ่มลึกในจิตวิญญาณ ล้วนมีความสำคัญอย่างยิ่ง
แต่วิถีทางของแต่ละคนล้วนแตกต่าง
คนที่ไม่ได้ฝึกวิถียุทธ์ก็อาจมีความก้าวหน้าและความคิดในด้านอื่นๆ
วิถียุทธ์จึงเป็นรากฐานหนึ่งของผู้ฝึกยุทธ์ และถือเป็นแก่นแท้ในการดำเนินชีวิตของคนอย่างจิ้งเหยา เจ้าหมิงหมิง และหลิวรุ่ยอิ่ง
ฟ้าดินได้หล่อหลอมชีวิตมนุษย์ขึ้นมา
ส่วนมนุษย์ก็สร้างความสัมพันธ์ระหว่างฟ้าดินขึ้นเช่นกัน
บนเส้นทางแห่งวิถียุทธ์ หากละทิ้งการแสวงหาสิ่งที่เป็นแก่นแท้ แล้วกลับไปหลงใหลในสิ่งที่ไร้แก่นสาร จะไม่เป็นการสูญเสียจิตวิญญาณแห่งวิถียุทธ์หรอกหรือ?
อย่างน้อยในความคิดของเจ้าหมิงหมิง แม้วิถียุทธ์ไม่อาจแยกจากการต่อสู้และการเข่นฆ่าได้ แต่วิถียุทธ์ยังคงเต็มไปด้วยความเพ้อฝันและความสุดโต่ง
ชีวิตกับวิถียุทธ์ไม่อาจแยกจากกันได้ ชีวิตต้องหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์และฟ้าดิน แต่ความห่างไกลระหว่างสองสิ่งนี้กลับไม่อาจลบล้างไปได้
วิถียุทธ์หยั่งรากลึกในชีวิต ทำให้ทุกกระบวนท่าและเคล็ดวิชาไม่เหือดหายไปกับความธรรมดาของชีวิต
วิถียุทธ์นั้นมีหลายมิติ ไม่อาจใช้ตรรกะเดียวมาตัดสินทุกสิ่งได้
“เช่นนั้นเรื่องเล่าเกี่ยวกับเจ้าจริงหรือเท็จ”
จิ้งเหยาเอ่ยถาม
แม่นางน้อยยิ้มเล็กน้อย
พร้อมยกกระบี่ขึ้นอย่างแผ่วเบา
นางไม่จำเป็นต้องอธิบาย
เพราะวิธีที่ดีที่สุดในการพิสูจน์เรื่องเล่าเหล่านั้นก็คือกระบี่ที่อยู่ในมือนาง
ตอนที่อยู่ในสำนักปากสอบ สิ่งแรกที่นางเรียนไม่ใช่กระบี่ แต่เป็นฉิน
กระบี่มีสองคม
ส่วนฉินมีเจ็ดสาย
กระบี่และฉินไม่มีความเกี่ยวข้องกันแม้แต่น้อย
ทว่ากระบี่บั่นคอศัตรู
ในขณะที่เสียงของฉินสามารถแทรกซึมเข้าไปในจิตใจของผู้คน
ใช้หัวใจแห่งการดีดฉินควบคุมกระบี่ ความลึกล้ำเช่นนี้คนทั่วไปยากจะเข้าถึงได้
แม่นางน้อยยกมือขึ้น
กลับถือกระบี่ในทิศทางตรงกันข้าม ปลายกระบี่หันเข้าหาตำแหน่งหัวใจของนางเอง
นี่เป็นกระบวนท่ากระบี่ใดกัน?
หรือนางคิดจะปลิดชีพตนเอง?
แต่จากสีหน้าของนาง กลับไม่ปรากฏเงื่อนงำใดที่บ่งบอกถึงความตั้งใจเช่นนั้น
บุคคลที่เยือกเย็นเฉยชาเช่นนี้ ปกติแล้วจะไม่คิดปลิดชีพตนเอง
ทว่าคนที่ตัดสินใจจะปลิดชีพตนเองจริงๆ ก่อนจะลงมือมักจะเย็นชาเช่นกัน
คนที่ร่ำไห้คร่ำครวญในที่ลับล้วนเป็นผู้ที่ยังไม่อยากตาย…
หากใครตัดสินใจแน่วแน่แล้ว แสดงว่าไม่ยึดติดโลกนี้อีกต่อไป จึงพร้อมจะจากไปอย่างปล่อยวาง
นี่ก็เป็นความสุขใจอย่างหนึ่ง
แขนของแม่นางน้อยยังคงดึงเข้าหาลำตัว
เมื่อปลายกระบี่ใกล้จะถึงตำแหน่งหัวใจของนางก็พลันหยุดลง
จากนั้น นางก็โก่งตัวเล็กน้อย ราวกับแมวน้อยที่สะดุ้งตกใจ
จิ้งเหยารู้ทันทีว่านางกำลังรวบรวมพลัง
เพราะยิ่งเป็นกระบวนท่าที่ร้ายแรง ยิ่งต้องใช้เวลาสะสมพลังนานยิ่งขึ้น
แต่จิตใจของจิ้งเหยากลับตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากใจ…
เขาสามารถชักดาบออกมาขัดขวางแม่นางน้อยได้ในตอนนี้
หรือจะแสดงความใจกว้าง รอให้นางรวบรวมพลังเสร็จเสียก่อน
สองทางเลือกนี้ สุดท้ายแล้วควรเลือกทางใด จิ้งเหยากลับลังเลไม่อาจตัดสินใจได้
ในช่วงที่เขากำลังลังเลใจอยู่นั้นเอง แขนขวาของแม่นางน้อยพลันพุ่งออกไปอย่างรวดเร็วดุจธนู
เงากระบี่ส่องประกายดั่งแสงจันทร์เสี้ยว พุ่งโจมตีใส่จิ้งเหยา
จิ้งเหยาตกใจกับกระบวนท่ากระบี่ที่กะทันหันนี้
รีบถอยหลบอย่างรวดเร็ว
แต่เงากระบี่ของแม่นางน้อยกลับคอยตามติดไม่ต่างจากหนอนที่เกาะติดกระดูก
จิ้งเหยาจนใจ จำต้องใช้ดาบในมือปัดป้องกระบี่ที่พุ่งตรงเข้ามา
แต่ในชั่วขณะที่คมดาบของเขาสัมผัสกับเงากระบี่ที่มีรูปร่างเหมือนพระจันทร์เสี้ยว เขากลับพบว่ามันเป็นเพียงเงาว่างเปล่า
ปราศจากสสารใดๆ ราวกับกลุ่มเมฆเคลื่อนผ่าน
จิ้งเหยาฝ่าเงากระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวนั้นไป
ไม่อาจทำให้มันหยุดชะงักได้แม้แต่น้อย
เวลานี้ นอกจากต้องถอยหลบแล้ว ถ้าจะเปลี่ยนกระบวนท่ายิ่งเป็นไปไม่ได้…
จิ้งเหยาใช้แรงขายันพื้น ร่างพลันถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว
ทว่าเงากระบี่รูปพระจันทร์เสี้ยวกลับพุ่งเร็วขึ้น
ในชั่วพริบตา เงากระบี่นั้นแทงทะลุเข้าร่างของจิ้งเหยา
จิ้งเหยารู้สึกไม่ดี…
แต่ทันทีที่กระบี่เงานั้นทะลุเข้าร่าง เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด
เขาแหงนหน้าขึ้นมอง ใบหน้าของแม่นางน้อยยังคงสงบเยือกเย็น กระบี่ในมือนางก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
กระบี่เมื่อครู่นั้น ไม่ได้ผิดพลาด
และไม่ใช่ภาพลวง
แต่แทงทะลุเข้าไปในร่างของจิ้งเหยาจริงๆ
เป็นวิชากระบี่ที่ลึกลับอะไรขนาดนี้?
จิ้งเหยาเฝ้าตรวจสอบความเปลี่ยนแปลงในกายด้วยความวิตกกังวล ไม่ว่าเขาจะพยายามหาเพียงใด ก็ไม่สามารถหาร่องรอยที่กระบี่นั้นแทงเข้ามาได้
ในขณะที่เต็มไปด้วยความสงสัย หัวใจของเขาก็หดเกร็งขึ้นอย่างฉับพลัน…
เสียงฉินพลันดังขึ้นข้างหูของจิ้งเหยา
แม้เขาจะไม่เข้าใจเรื่องดนตรี แต่ก็เคยได้ยินเสียงฉินมาก่อน
ทว่าเหตุใดที่นี่จึงมีเสียงฉินได้?
จิ้งเหยาขบคิด ทันใดนั้นเสียงฉินก็พลันดังขึ้นอีกครั้ง
ทุกครั้งที่เสียงฉินดังขึ้น กลับทำให้หัวใจและรูม่านตาของเขาหดเกร็งตามไปด้วย
ความรู้สึกนี้ทรมานยิ่งนัก…
คล้ายมีมือใหญ่ที่มองไม่เห็นกำลังบีบอวัยวะภายในของจิ้งเหยาไว้ในมือ ราวกับเป็นของเล่น
ตามจังหวะของเสียงฉินที่ดังขึ้น เดี๋ยวแรงเดี๋ยวเบา
ต้นกำเนิดของเสียงดนตรีทั้งหมด ล้วนมีที่มาจากความรู้สึกในใจของมนุษย์
การเคลื่อนไหวของจิตใจมนุษย์นั้น ล้วนเป็นผลที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมภายนอก
เหมือนกับจิ้งเหยาที่เริ่มสับสนและไม่สงบเพราะกระบี่เงาที่แทรกเข้าร่าง ก็เป็นการบิดเบือนเพราะผลกระทบจากภายนอก
การเปลี่ยนแปลงนี้จึงสะท้อนออกมาในรูปของเสียง
แม้ว่าจังหวะและทำนองของแต่ละเสียงจะต่างกัน แต่ที่จริงกลับประสานกันอย่างลงตัว
เมื่อใดที่จิ้งเหยารู้สึกเศร้าสลด เสียงฉินที่ดังก้องข้างหูก็จะหนักแน่นและเร่งเร้า
แต่หากเขาหวนระลึกถึงความทรงจำที่สุขสบาย เสียงฉินจะค่อยๆ เริ่มอ่อนโยนและผ่อนคลาย
การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ ล้วนมาจากความรู้สึกในใจของเขาเอง
ทว่าความรู้สึกกลับยากที่จะควบคุมได้
เมื่อนักดนตรีแต่งเพลง ย่อมไม่ได้เกิดจากพรสวรรค์เพียงอย่างเดียว แต่ยังได้รับอิทธิพลจากความรู้สึกและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
กระบี่นี้ของแม่นางน้อย ไม่ใช่การใช้กระบี่จริงๆ
แต่เป็นการใช้เสียงฉินด้วยนามของกระบี่
ภูผาสูง ธาราไหล บทเพลงล้ำลึกยากจะหาผู้ร่วมบรรเลง
หากจิ้งเหยาต้องการทำลายกระบวนท่ากระบี่ของแม่นางน้อย เขาจำต้องเข้าใจสภาพแวดล้อมรอบตัว รวมถึงเข้าใจจิตใจของแม่นางน้อยก่อน
แต่ปัญหาคือ เขาไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับแม่นางน้อยผู้นี้เลย
แล้วจะทำลายเสียงฉินนี้ได้อย่างไร?
เวลานี้แม่นางน้อยหลับตาลงอีกครั้ง
แสงจันทร์เหนือศีรษะ การต่อสู้เบื้องหน้า
และภาระหน้าที่ที่นางต้องแบกรับ ล้วนเป็นเหตุให้นางชักกระบี่
ในความเลือนลาง จิ้งเหยาเห็นแม่นางน้อยชักกระบี่อีกครั้งอย่างไม่รีบร้อน
เมื่อแสงกระบี่เข้าสู่ร่างกาย คราวนี้เสียงที่จิ้งเหยาได้ยินไม่ใช่แค่เสียงฉิน
แต่เป็นเสียงดนตรี
อารมณ์ความรู้สึกที่พลุ่งพล่านอยู่ในใจจึงถูกขับขานออกมาผ่านทางเสียง
เสียงเชื่อมโยงกันอย่างลงตัวจึงกลายเป็นเสียงดนตรี
เสียง กำเนิดมาจากหัวใจของมนุษย์
แต่ดนตรีกลับสะท้อนความเข้าใจหลักธรรมชาติของสรรพสิ่ง
ทุกคนอาจจะฟัง ‘เสียง’ เข้าใจได้
เพราะแต่ละคนต่างมีอารมณ์ความรู้สึกของตน
เมื่อมีอารมณ์ความรู้สึก ก็สามารถขับขานเสียงที่สะท้อนความเป็นตัวเองได้
แต่ดนตรีทดสอบความเข้าใจของคนคนหนึ่งที่มีต่อโลกนี้ว่าลึกซึ้งเพียงใด
ทว่าจิ้งเหยาไม่เข้าใจเลยว่าดนตรีคือสิ่งใด…
………………………………………………
……….