ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 411 รอคอยชื่นชมเพียงลำพัง-2
บทที่ 411 รอคอยชื่นชมเพียงลำพัง-2
……….
ช่วงเวลาของชีวิตหนึ่ง ไม่สามารถบอกได้ว่ายาวหรือสั้น
คนทั่วไปอาจไม่เคยก้าวออกจากหมู่บ้านที่ตัวเองเกิดทั้งชีวิต
เจ้าหมิงหมิงกลายร่างมาหลายปีแล้ว เพิ่งจะมองทิวทัศน์ตรงไหล่เขาเขาเรียงรันจนพอใจ
รอจนกระทั่งกระบี่เข้ามาใกล้แล้ว
จิ้งเหยาจึงรู้สึกได้ว่าภายใต้ความเรียบง่ายของกระบี่นั้น แท้จริงแล้วตื้นเขินเล็กน้อย
ความเรียบง่ายกับความตื้นเขิน ดูเหมือนจะขัดแย้งกัน
ผู้รอบรู้จะมีความเรียบง่าย และผู้ที่รอบรู้จะรัดกุม สุขุม และไม่มีทางตื้นเขิน
แล้วเหตุใดกระบี่ของเจ้าหมิงหมิงถึงมีทั้งความเรียบง่ายและความตื้นเขินร่วมกัน?
ครั้งที่แล้วเสียเปรียบ
ตอนนี้จิ้งเหยาไม่มีเวลาให้คิดลึกซึ้ง
ยกดาบขึ้นป้องกัน ก็สามารถเอาชนะกระบี่ของเจ้าหมิงหมิงได้อย่างง่ายดาย
“ไม่ควรใช้บทกวีใหม่พร่ำว่าทุกข์โศก[1]อย่างยิ่ง”
จิ้งเหยากล่าว
เจ้าหมิงหมิงเบิกตากว้าง
นางไม่เคยได้ยินคำพูดนี้มาก่อน
ดูเหมือนจะเป็นกลอนในอาณาจักรห้าอ๋อง แต่นางไม่เคยอ่านมาก่อน
นางย่อมไม่รู้ความหมาย
“เจ้าเคยได้ลิ้มรสความทุกข์หรือการหลั่งเลือดบ้างหรือไม่”
จิ้งเหยาถาม
ดังนั้นนางจึงส่ายหัว
แน่นอนว่าเจ้าหมิงหมิงไม่เคยลิ้มรสความทุกข์
และไม่เคยหลั่งเลือดเช่นกัน
หลังลงจากเขาเรียงรันแล้ว แม้จะมีเรื่องราวเล็กน้อยมากมายระหว่างเดินทางท่องโลกมนุษย์
แต่นางก็รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นยังไม่ถึงขั้นเรียกว่าทุกข์
แม้กระทั่งเหล่าหลี่เจ้าของแผงที่ร่วมมือกันโกงตั๋วเงินของนางมากมายก็ยังต้องทนทุกข์กว่านางมาก
เมื่อเห็นเจ้าหมิงหมิงส่ายหัว ในที่สุดจิ้งเหยาก็โล่งอก
นางไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตัวเอง
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งจะฟันกระบี่ไปสองครั้ง
จิ้งเหยาก็สังเกตเห็นร่องรอยในวิชากระบี่ของนาง
สถานการณ์กลับตาลปัตรในชั่วพริบตา ทำให้คนไม่ทันตั้งตัว
“เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะฆ่านาง”
เสียงของเกาเหรินก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“เหตุใดต้องฆ่านางล่ะ นั่นไม่ใช่เป้าหมายของพวกเรา”
จิ้งเหยาตอบ
“ก่อนหน้านี้เจ้าพยายามอย่างยิ่งก็ยังไม่สามารถโน้มน้าวนางได้สำเร็จ ตอนนี้ถึงแม้เจ้าจะสกัดกระบี่ของนางได้สองครั้ง คิดว่านางจะยอมแพ้หรือ”
เกาเหรินตอบกลับ
เขาเริ่มหมดความอดทนแล้ว
แต่การหมดความอดทนของเขา ไม่ได้มาจากการอยากได้ตัวแม่นางน้อยเพื่อไปแลกตัวประกันกับคนของสำนักปากสอบ
เขามีแผนการของตัวเอง
สำหรับเกาเหริน ความลับของสำนักปากสอบเป็นเรื่องยินดีที่ไม่คาดคิด และไม่สามารถปล่อยมันไปง่ายๆ
จากท่าทีของสำนักปากสอบที่มีต่อแม่นางน้อยลึกลับผู้นี้ หากสามารถควบคุมตัวนางไว้ในมือได้ จะต้องกลายเป็นไพ่ไม้ตายในการต่อสู้กับสำนักปากสอบอย่างแน่นอน
นับตั้งแต่ที่เขาพ่ายแพ้ให้เซียวจิ่นข่าน ในสายตาของเกาเหรินก็มีแต่ชื่อเสียงและผลประโยชน์
มันกลายเป็นภาพลวงตาและป้อมปราการในใจของเขา
หากอยากหลุดพ้น ก็ต้องทำลายผืนน้ำที่ดูสงบนิ่งนั้น
เพียงแตะปลายเท้าบนระลอกน้ำที่กระเพื่อมแล้วปลีกตัวออกมา
อาจจะทิ้งร่องรอยแสงจันทร์ที่กระจัดกระจาย แต่ก็เพราะมีร่องรอยเหล่านี้ จึงทำให้คนยังคงมุ่งหน้าเข้าสู่ป้อมปราการและภาพลวงตานี้
หลายปีมานี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในความคิดของตัวเอง
เพราะชีวิตในความเป็นจริงไม่สามารถให้สิ่งที่เขาต้องการได้ จึงต้องสร้างสรรค์ทุกอย่างในโลกแห่งภาพลวงตา
ต้องกล่าวว่านี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อย
“ข้าลืมทางที่เดินมานานแล้ว วันเวลาก็ไม่อาจหวนกลับ แต่ในฝันที่ดูเหมือนจะเลื่อนลอยของข้า ยังเห็นความงดงามของดอกไม้ที่เคยบานสะพรั่ง และเสียงวุ่นวายของนกนานาชนิด เจ้าอาจมองว่าเป็นเพียงเมฆหมอกที่ผ่านตา แต่นั่นคือสิ่งที่ข้าไล่ตามมาตลอดชีวิต!”
นี่คือคำพูดสุดท้ายที่เกาเหรินพูดกับเซียวจิ่นข่านก่อนที่เขาจะจากไป
เซียวจิ่นข่านมองชีวิตเป็นการเติบโตที่เลื่อนลอย
แต่เกาเหรินกลับรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเนรเทศ
แสงอาทิตย์ไม่อาจคงอยู่ตลอดกาล แต่ความมืดของค่ำคืนย่อมมาเยือนเร็วเสมอ
หากอยากอยู่ท่ามกลางแสงสว่างอันเป็นนิรันดร์ จิตใจจะไม่บิดเบือนได้อย่างไร
“หากเจ้ารีบ เจ้าก็มาเองสิ!”
จิ้งเหยาหันหลังแล้วพูด
คำพูดนี้ไม่ใช่การส่งกระแสเสียง แต่พูดออกมาเต็มปากเต็มคำ
เกาเหรินหน้าบึ้งตึงเมื่อได้ยิน
เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธจนกัดฟันกรอด
แต่เขาไม่พูดสงใดอีก
เขารู้จักนิสัยของจิ้งเหยา
จิ้งเหยาชอบคนที่กล้าแกร่ง เพราะเขาเองก็เป็นคนกล้าแกร่ง
คนที่กล้าแกร่งไม่สามารถบีบบังคับด้วยเหตุผลทั่วไปได้
ไม่เช่นนั้นจะทำให้เกิดผลตรงข้าม
“เป็นเจ้าที่ตัดสินใจ! พวกเราตกลงกันแล้ว”
เกาเหรินเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน และพูดอย่างผ่อนคลาย
และบนใบหน้ายังมีรอยยิ้มเล็กๆ อยู่
สำหรับพฤติกรรมเช่นนี้ของเกาเหริน จิ้งเหยาเห็นจนชินแล้ว
อารมณ์แปรปรวนถึงจะเป็นเกาเหริน
“ยังจะฟันกระบี่อีกหรือไม่”
จิ้งเหยาหันไปถามเจ้าหมิงหมิง
“เจ้าจะยอมหลีกทางหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถามกลับ
ทั้งสองคนวนเวียนไปมา สุดท้ายก็กลับมาที่จุดเริ่มต้น
ไม่ยอมมอบคนและไม่ยอมหลีกทาง
“หากเจ้าไม่คิดจะยอมหลีกทาง ข้าก็ไม่มีเหตุผลที่จะหยุดฟันกระบี่”
เจ้าหมิงหมิงมองไปที่จิ้งเหยาพลางพูด
“กระบวนกระบี่ของเจ้านี้…ข้ายอมรับว่าไม่เคยเห็นมาก่อน มีชื่อหรือไม่”
จิ้งเหยาถาม
“ไร้ชื่อไร้แซ่ ก็แค่ตระหนักรู้เองเท่านั้น อีกอย่างกระบี่ก็ธรรมดาเพียงนี้ เจ้าจะสนใจได้อย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“แม่นางเป็นคนฉลาด!”
จิ้งเหยากล่าว
“แน่นอนว่าข้าไม่โง่!”
เจ้าหมิงหมิงตอบอย่างทะนงตนเล็กน้อย
“แต่เหตุใดเจ้าถึงยึดมั่นในเรื่องนี้นักเล่า คนฉลาดมักจะมีความยืดหยุ่น”
จิ้งเหยากล่าว
“ความยืดหยุ่น? การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ว่ายอมแพ้หรอกหรือ สิ่งที่ข้าต้องการทำไม่มีความยืดหยุ่น”
เจ้าหมิงหมิงตอบกลับ
จิ้งเหยานิ่งไปชั่วขณะ
แต่ก่อนเขามักจะอิจฉาคนที่ฉลาด
รู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้ชักช้าเหมือนตน ยิ่งไม่ได้ก้มหน้าก้มตาทำและไม่ประมาทเลินเล่อ
ขณะที่ตัวเขามักจะเป็นเป้าหมายถูกคนเยาะเย้ย
แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เป็นผู้นำหน่วยแล้วก็ตาม
ดูเหมือนคนฉลาดจะหาทางลัดได้เสมอ
แต่เขาไม่สามารถ
“เจ้าฟันกระบี่เถอะ”
จิ้งเหยากล่าว
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับส่ายหัว
ท่ากระบี่ที่นางเก่งที่สุดก็คือสองท่านั้น
ในเมื่อกระบวนท่าเหล่านี้ไม่สามารถเอาชนะจิ้งเหยาได้ นอกจากการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของนางว่าเป็นอสูร ก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว
ตอนนี้จนมุมแล้ว
วิธีเดียวที่จะพลิกสถานการณ์ได้คือ รอให้จิ้งเหยาเป็นคนลงมือก่อน
“เจ้าไม่ชักกระบี่?”
จิ้งเหยาถามด้วยความประหลาดใจ
“กระบี่ของข้าใช้ไปหมดแล้ว”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
“เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าจะไม่หยุดฟันกระบี่”
จิ้งเหยาพูด
“ที่ข้าจะไม่หยุดคือความตั้งใจที่จะฟันกระบี่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะมีกระบี่ให้ฟัน”
เจ้าหมิงหมิงอธิบาย
“เจ้ามีกระบี่แค่สองท่านั้นหรือ”
จิ้งเหยาถาม
“ข้ามีแค่สองท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
จิ้งเหยาพยักหน้า แต่ก็ยกดาบขึ้นอีกครั้ง
แสงดาบเรืองออกมาอีกครั้ง
ครั้งนี้มันไกลกว่าห้าก้าว
เกรงว่ารถม้าที่เกาลัดคั่วน้ำตาลอาจจะห่างจากจิ้งเหยาเกินกว่าห้าสิบก้าวแล้ว แต่แสงดาบของเขาก็ยังส่องผ่านมันไปได้
“คุณหนู! ระวัง!”
เสียงของเกาลัดคั่วน้ำตาลดังมาจากข้างหลัง
เจ้าหมิงหมิงโบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าไม่เป็นไร
ในรถม้า
จริงๆ แล้วแม่นางน้อยลึกลับคนนั้นตื่นนานแล้ว
แต่นางยังคงนอนนิ่งอยู่
ดวงตาของนางเบิกกว้างขึ้น
เกาลัดคั่วน้ำตาลเพ่งความสนใจทั้งหมดไปที่เจ้าหมิงหมิง ไม่รู้เลยว่าแม่นางน้อยในรถม้าตื่นแล้ว
สายตาของนางยังคงพร่ามัว
ความทรงจำของนางดูเหมือนจะขาดหายไป
นางคลับคล้ายคลับคลาว่าตัวเองเพิ่งจะหนีออกมาจากสำนักปากสอบได้ไม่นาน
……………………
ในวันนั้น ยามพระอาทิตย์ตกหลงเหลือแสงเพียงเล็กน้อย
นางเดินทางมาถึงเมืองหนึ่ง
เมืองนี้ดูเก่าแก่มาก
ถึงจะเก่าแก่แต่ก็ยังคึกคัก
ตอนนี้ เมืองที่คึกคักตลอดทั้งวันก็เริ่มสงบลงตามการพระอาทิตย์ที่ตกดิน
มองไปทุกทิศ เห็นเพียงควันคลุ้งจากครัวของแต่ละบ้าน
ลอยฟุ้งอยู่บนท้องฟ้าเหนือเมือง
แต่แม่นางน้อยก็ไม่มีที่ไป
ไม่ว่าจะคึกคักหรือสงบก็ล้วนไม่เกี่ยวกับนาง
นางเพียงแค่หิ้วตะกร้าของนางไว้
นั่งเงียบๆ ตรงหัวมุมถนนที่ไม่ค่อยมีคนผ่าน
หยิบหมั่วโถวครึ่งลูกที่เย็นเฉียบและเต็มไปด้วยฝุ่นละอองขึ้นมา
แม่นางน้อยไม่ได้สนใจ นำมันเข้าใกล้ปากและกัดลงไป
หากนางไม่ได้เปิดปาก ก็คงไม่มีใครคาดคิดได้ว่าแม่นางน้อยที่ผอมบางและดูเรียบร้อยนี้จะสามารถกินหมั่วโถวครึ่งลูกได้ในคำเดียว
แต่นางก็กินหมดในคำเดียวจริงๆ
อันที่จริงนางนั่งอยู่ในเมืองนี้ตลอดทั้งวัน
แต่นางก็จำไม่ได้ว่านางมาที่นี่ได้อย่างไร และไม่รู้ว่าต้องไปที่ใดต่อ
สิ่งเดียวที่นางสนใจคือตะกร้าไม้ไผ่ที่นางหิ้วอยู่ และความหิวในท้องของนาง
แม่นางน้อยมองไปยังถนนที่พลุกพล่านอยู่เงียบๆ จากที่มีคนเดินไปมาไม่ขาดสายจนกระทั่งเงียบเหงาไร้ผู้คน
แต่การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
ถึงอย่างไรนางก็ไม่ได้ใส่ใจ
หลังจากที่นางกินหมั่วโถวครึ่งลูกแล้ว นางก็ยังรู้สึกหิว…
แต่นางไม่มีเงินติดตัวแม้แต่ตำลึงเดียว
กลิ่นปรุงอาหารตามบ้านทุกหลังที่โชยมา นางสามารถบอกได้ว่าบ้านไหนทำอาหารอะไร
เสียงจากร้านอาหารไม่ไกลคือที่เดียวที่ยังคงมีความคึกคัก
แต่การเข้าไปกินในร้านอาหารต้องใช้เงิน
นางไม่เพียงแค่ไม่มีเงินเท่านั้น แต่ยังไม่มีสิ่งของมีค่าใดๆ ที่สามารถขายได้
สำหรับนางในตอนนี้ สิ่งที่มีค่าที่สุดคือหมั่วโถวครึ่งลูกที่นางเพิ่งกินเข้าไป
สิ่งของในตะกร้าไม้ไผ่นั้นไม่สามารถวัดค่าด้วยเงินได้ แม่นางน้อยไม่สามารถส่งมอบมันได้ง่ายๆ และยิ่งไม่สามารถนำมันไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินได้เช่นกัน
………………………………………………