ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 408 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-17
บทที่ 408 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-17
……….
เจ้าหมิงหมิงเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบงัน
แสงดาบของคู่ต่อสู้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
ทุกก้าวที่เจ้าหมิงหมิงก้าวไปข้างหน้า ความเด็ดขาดในใจของนางก็ยิ่งเพิ่มขึ้น
กระทั่งเข้าใกล้แสงดาบจนสามารถส่องแสงบนใบหน้าของนางได้ถึงค่อยหยุดฝีเท้าลง
ผู้ถือดาบที่ดั่งจันทร์เจิดจ้านั้นคือจิ้งเหยา
ดาวดวงเล็กๆ ที่อยู่ข้างหลังคือผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
เกาเหรินยืนอยู่ด้านหลังสุด มือสองข้างไพล่ไว้ด้านหลัง
เพียงแต่แสงดาบผู้ใต้บังคับบัญชาของจิ้งเหยาไม่มากพอที่จะส่องสว่างใบหน้าของเกาเหริน จึงไม่สามารถเห็นสีหน้าของเขาได้
เมื่อจิ้งเหยาเห็นเจ้าหมิงหมิงเดินมาอย่างเปิดเผย ในใจของเขาก็เกิดความสงสัยขึ้น
เขาหันกลับไปมองเกาเหริน
เกาเหรินที่ยืนอยู่ในความมืดพยักหน้าให้เขา
“แม่นาง เกรงใจแล้ว!”
จิ้งเหยาถอนหายใจ ประสานมือกล่าวทักทาย
“ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตอง”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แม่นางได้โปรดอำนวยความสะดวกด้วย”
จิ้งเหยากล่าว
“อย่างไรจึงจะเรียกว่าว่าอำนวยความสะดวกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถามพลางเลิกคิ้ว
จิ้งเหยาตอบ
“พวกท่านขวางทางรถม้าของข้าไว้ ไม่ได้ให้ความสะดวกแก่ข้าเลยสักนิด”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
ไม่ถ่อมตนแต่ก็ไม่หยิ่งยโส
“การกระทำของพวกเราอาจดูหุนหันพลันแล่น แต่เรื่องราวที่อยู่เบื้องหลัง ข้าคิดว่าแม่นางคงเข้าใจดีอยู่แล้ว”
จิ้งเหยากล่าว
“ข้าไม่รู้อะไรเลย”
เจ้าหมิงหมิงส่ายหัวพูด
จิ้งเหยาถอนหายใจ
จากท่าทางของเจ้าหมิงหมิง เขารู้ดีว่าหญิงสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่จะยอมก้มหัวง่ายๆ
ทว่าจิ้งเหยาก็ไม่ยอมเปิดทางให้เช่นกัน
คนหนึ่งไม่ยอม
คนหนึ่งไม่ยอมหลีกทาง
แล้วยังมีอะไรที่ต้องพูดอีก
คนหนึ่งถือดาบ
คนหนึ่งถือกระบี่
ด้วยท่าทีเช่นนี้ จริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดให้มากความ
แต่จิ้งเหยาก็ยังอยากจะพูดอีกสองสามคำ
เพราะการพูดนั้นง่ายกว่าการใช้ดาบและหอกเสมอ
การพูดอาจทำให้คอแห้ง
แต่เมื่อใช้ดาบและหอกตัดสิน นั่นหมายถึงการหลั่งเลือด
ความกระหายน้ำอาจแก้ได้ง่าย แต่เลือดที่ไหลนั้นยากแก้ไข
ตามหลักทางการแพทย์ของอาณาจักรห้าอ๋องนี้ ขาดเลือดหนึ่งตำลึงยังต้องใช้ไก่ถึงสามตัว พุทราย่างสองจิน น้ำตาลแดงหนึ่งจินครึ่ง เพื่อเสริมเลือดที่ขาดหายไป
แม้จะยุ่งยาก แต่ก็ยังมีทางออก
กลัวก็แต่ดาบและกระบี่ไร้ดวงตา ที่ไหลออกมาไม่ใช่เลือด แต่เป็นชีวิต…
แม้แต่หมอเทวดาที่มีชื่อเสียงทั่วหล้าอย่างตาเฒ่าเยี่ยก็ไม่สามารถรักษาได้
“แม่นางก็เป็นคนเข้าใจเรื่องราว เราทุกคนต่างก็มีความยากลำบากของตัวเอง ถอยหนึ่งก้าวไม่ดีกว่าหรือ”
จิ้งเหยากล่าว
“ถอยหนึ่งก้าว? จะถอยอย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เจ้ามอบคนให้ข้า และข้าจะเปิดทางให้”
จิ้งเหยาตอบ
“ฟังดูไม่ค่อยยุติธรรมนัก…เพราะว่าข้าถอยมากกว่าหนึ่งก้าว”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“คนเราเป็นอิสระ ข้าไม่มีสิทธิ์จะส่งมอบหรือไม่ส่งมอบ ข้าแค่ช่วยเหลือเท่านั้น ทางก็เปิดอยู่ เจ้าไม่มีสิทธิ์จะหลีกหรือไม่หลีกเช่นกัน แค่จะผ่านไปได้หรือไม่เท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงหยุดชั่วคราวแล้วพูดต่อ
จิ้งเหยาหัวเราะออกมาทันที
นับตั้งแต่เขาออกจากทุ่งหญ้า ได้พบสตรีเพียงสองคนที่กล้าแกร่ง
คนแรกคือสตรีที่ถูกคนในสำนักปากสอบจับเป็นตัวประกัน และเจ้าหมิงหมิงตรงหน้านี้เป็นคนที่สอง
การต่อกรกับผู้ที่กล้าแกร่งจำเป็นต้องใช้ไม้แข็ง
การโน้มน้าวใจปกตินั้นไม่มีประโยชน์
จิ้งเหยาเข้าใจหลักการนี้ดี
แต่เขาไม่รู้ว่าเหตุใดตนถึงกลายเป็นคนที่พูดมากขึ้นมา
เกาเหรินเองก็ขมวดคิ้ว…
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจิ้งเหยาถึงลังเลขนาดนี้
ดูเหมือนยังไม่มีท่าทีว่าจะใช้ดาบ
“คำพูดของแม่นางมีเหตุผล ทว่าบนเส้นทางนี้ หากไม่ยอมมอบคนผู้นั้นให้ เกรงว่าจะไม่สามารถผ่านไปได้จริงๆ “
จิ้งเหยากล่าว
“ดาบของเจ้าสว่างเจิดจ้า เดิมก็ไม่ได้เตรียมจะให้ข้าผ่าน และบนเอวข้าก็มีกระบี่ หากข้าผ่านไปอย่างง่ายดาย เจ้าจะไม่เสียหน้ายิ่งหรอกหรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
คำพูดเช่นนี้ นางไม่เคยกล้าพูดมาก่อน
หลังจากใช้ชีวิตในโลกมนุษย์มานาน นางจึงเรียนรู้ที่จะพูดยั่วเย้าเช่นกัน
การยั่วเย้าเป็นสิ่งที่ดี
ไม่ว่าจะยั่วเย้าคนอื่นหรือตัวเอง
อย่างน้อยก็ทำให้สถานการณ์ตรงหน้าตึงเครียดน้อยลง
“เกียรติของข้าไม่สำคัญ ข้าไม่ใช่คนที่ให้ความสำคัญกับหน้าตา”
จิ้งเหยากล่าว
“ข้าก็เช่นกัน แค่ต้องการผ่านทางไปเท่านั้น”
เจ้าหมิงหมิงพยักหน้าพูด
แต่ตอนนี้ เจ้าหมิงหมิงก็มีแนวทางการใช้ชีวิตและความคิดที่เป็นเอกลักษณ์ของตัวเองแล้ว
โลกมนุษย์นี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
ไม่ใช่แค่รสชาติเปรี้ยวหวานขมเผ็ดในการปรุงอาหารเท่านั้น แต่ยังมีกลิ่นหอมละมุนที่แผ่ซ่านอย่างบางเบาอีกด้วย
หลังจากที่ออกจากหอทรงปัญญา ถึงแม้เจ้าหมิงหมิงจะหลับใหล
แต่ในความฝันกลับเป็นช่วงเวลาแห่งการอยู่เพียงลำพังที่หาได้ยาก
หลักการและข้อสงสัยมากมายมักจะคิดตกและกระจ่างแจ้งขณะที่นั่งเงียบคนเดียว
กลิ่นหอมละมุนและกลิ่นเลือดก็เช่นกัน มีเพียงยามใจสงบจึงจะมองเห็น ได้กลิ่น และรู้สึกได้
ตอนที่เพิ่งลงจากเขาเรียงรัน สำหรับเจ้าหมิงหมิงโลกมนุษย์นั้นอ่อนโยน
แม้จะยังคงเป็นช่วงที่อากาศหนาวเย็น แต่ก็เหมือนกับต้นหลิวช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่เพิ่งผลิใบอ่อนสีเหลืองเขียว
เมื่อลมพัดผ่านก็โยกไหวไปมา
เขียวชอุ่มทั้งผืน เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา
แม้ว่าในหอทรงปัญญาจะมีการต่อสู้และความขัดแย้งตลอดเวลา
แต่โดยรวมแล้วยังคงเป็นสถานที่ที่อบอวลไปด้วยบรรยากาศของม้วนตำรา
แม้สังคมจะมีความเสื่อมโทรมมากมาย แต่ก็ยังมีความสงบจากอารามโบราณในภูเขาลึก ความอิสระของลำธารในภูเขา และความไร้กังวลของนกกระสาที่โบยบิน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเหลือพื้นที่ว่างขนาดใหญ่ในใจของเจ้าหมิงหมิง
แต่เงาร่างของคนผู้หนึ่งก็ได้สลักลึกลงในพื้นที่ว่างนั้น
แม้จะดูเหมือนห่างไกล แต่ก็ยืดยาวและต่อเนื่อง
เจ้าหมิงหมิงเองก็แตกต่างจากผู้อื่น
ความรักของนาง
ความชื่นชอบของนาง
คนอื่นอาจมองว่าเป็นความโดดเดี่ยว แต่นางไม่รู้สึกโดดเดี่ยว
ไม่ว่าความรักจะลึกซึ้งแค่ไหน ความชอบจะผิวเผินเพียงใด
มันคือความสุขของนางเอง
จิ้งเหยารู้สึกว่าเจ้าหมิงหมิงคือสตรีกล้าแกร่งคนที่สองที่เขาพบในอาณาจักรห้าอ๋อง
เช่นเดียวกัน เขาเองก็เป็นคนที่สองที่นางต้องใช้กระบี่หลังจากมาถึงโลกมนุษย์
เลขสองเป็นตัวเลขที่มหัศจรรย์
แม้จะไม่สูงพอหรือต่ำเกินไป แต่ก็ดีกว่าหนึ่งและสามมาก
ถึงแม้ว่าหนึ่งจะเป็นการเริ่มต้นที่เป็นเอกลักษณ์
แต่เรื่องราวเกี่ยวกับ ‘ครั้งแรก’ มักจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
ทำให้คนไม่มีเวลาเตรียมตัว
ไม่มีการเตรียมตัวก็ไม่สามารถสัมผัสและเพลิดเพลินได้อย่างเต็มที่
หลังจากที่มันจบลง บางทีจิตใจอาจยังติดอยู่ในช่วงเวลาก่อนที่เหตุการณ์จะเกิด
สาม กลับออกจะหย่อนยาน…
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสองครั้งจะรู้สึกสดใหม่ได้อย่างไร
ไม่ว่าผู้ใดก็ยากที่จะรู้สึกตื่นเต้น…
แต่ ‘ครั้งที่สอง’ ดีที่สุด
ไม่เพียงแต่เตรียมตัวมาดี แต่ความรู้สึกสดใหม่ก็ยังไม่จางหายไป
เจ้าหมิงหมิงและจิ้งเหยา ล้วนแต่เป็น ‘ครั้งที่สอง’ ของกันและกัน
นี่ถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
“คนผู้นั้น ใช่ว่าแม่นางหวังดีแล้วจะช่วยได้”
จิ้งเหยากล่าว
เขายังไม่ล้มเลิกที่จะโน้มน้าว
คำพูดนี้ทำให้เจ้าหมิงหมิงเริ่มรู้สึกหมดความอดทน…
บุรุษร่างกำยำ แต่การกระทำกลับย่ำแย่กว่าสตรีที่ยังไม่ออกเรือนด้วยซ้ำ…
การกระทำเช่นนี้ เหตุใดเจ้าหมิงหมิงจะไม่ดูถูกเขาล่ะ
“แม้ว่าความหวังดีของข้าอาจช่วยนางไม่ได้ แต่เหตุใดท่านถึงโหดเหี้ยมถึงขั้นจะฆ่าคนเล่า”
เจ้าหมิงหมิงถามกลับ
“ข้าไม่ได้อยากฆ่านาง กลับกัน ความปรารถนาที่จะให้นางมีชีวิตอยู่อาจแข็งแกร่งไม่แพ้แม่นางด้วยซ้ำ”
จิ้งเหยากล่าว
เขาตั้งใจจะไม่ให้เด็กสาวนั้นตาย
คนสำนักปากสอบกำลังรอให้เขาพาตัวเด็กสาวกลับไป
นี่ก็เป็นสิ่งที่เกาเหรินต้องการให้จิ้งเหยาทำ
จุดประสงค์ของเขาคือไม่ต้องการทำให้คนของสำนักปากสอบไม่พอใจ
แต่จิ้งเหยาเป็นชาวราชสำนักทุ่งหญ้า ที่จริงแล้วเขาไม่สนใจเรื่องราวใดๆ ของสำนักปากสอบโง่ๆ นั่น…
เขาสนใจเพียงสตรีจากหอนางโลมที่ถูกจับเป็นตัวประกันเท่านั้น
หากสตรีที่กล้าแกร่งเพียงนี้ต้องตายด้วยน้ำมือของคนสำนักปากสอบที่จิ้งเหยาไม่ถูกตา คงเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง
เกาเหรินและเจ้าหมิงหมิงต่างไม่รู้
สาเหตุที่จิ้งเหยาไม่ยอมเข้าสู้กับเจ้าหมิงหมิงก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน
ชาวทุ่งหญ้านั้นชื่นชมผู้กล้า และล้วนแต่เป็นคนที่แข็งแกร่งและไม่ยอมแพ้
ไม่ว่าจะเป็นบุรุษหรือสตรี ขอแค่มีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งพอก็สามารถชนะใจชาวทุ่งหญ้าได้
สตรีจากหอนางโลมผู้นั้นถูกจิ้งเหยายกดาบจ่อที่คอ แต่กลับไม่เปลี่ยนสีหน้าด้วยซ้ำ
และตอนนี้เจ้าหมิงหมิงก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวดาบของเขาแม้แต่น้อย
เขาจะไม่ชื่นชมนางได้อย่างไร
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับตรงกันข้าม
สีหน้านางอาจดูสงบนิ่ง แต่ในใจนางกลับหวาดหวั่น
จิตวิญญาณของเจ้าหมิงหมิงกำลังเคลื่อนไหวไปตามสิ่งภายนอก
ดวงตานางจับจ้องไปยังดาบของจิ้งเหยา แต่ก็ยังมองเห็นนกกระจอกในป่าไม้ข้างนอกชูหัวตื่นขึ้นและกระพือปีกขึ้น
จิตวิญญาณมีอำนาจเหนือจิตใจ
สิ่งภายนอกที่ดูเหมือนต้องใช้หู ตา และมือสัมผัส แต่จริงๆ แล้วรับรู้ด้วยจิตวิญญาณ
เจ้าหมิงหมิงจ้องมองดาบของจิ้งเหยา ความคิดมากมายในหัวของนางก็พลุ่งพล่านไม่หยุด
ก็เหมือนกับมองเห็นภูเขาแล้วนึกถึงภูเขาและยอดเขาที่เปลี่ยนไปตามระยะการมองเห็น มองเห็นทะเลแล้วนึกถึงคลื่นซัดสาดเข้าฝั่งเหมือนม้านับพันกำลังวิ่งควบ
“คนที่ตามล่ากลับพูดเช่นนี้ไม่ตลกไปหน่อยหรือ”
เจ้าหมิงหมิงแค่นเสียงพูด
“ที่แท้เหตุที่แม่นางเข้าใจผิดอยู่ตรงนี้นี่เอง…แต่บาดแผลบนตัวนาง ข้าไม่ได้ทำ”
จิ้งเหยากล่าว
จากนั้นวางดาบที่ถืออยู่ลงบนฝ่ามือ เพื่อให้เจ้าหมิงหมิงสามารถมองดาบของเขาได้อย่างละเอียด
เจ้าหมิงหมิงพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและขมวดคิ้ว
ดาบในมือของจิ้งเหยาไม่ตรงกับบาดแผลบนตัวของเด็กสาว…
บาดแผลร้ายแรงทั้งสองแห่งที่อกหน้าและหลังของเด็กสาวนั้นชัดเจนว่าเกิดจากกระบี่ยาว
ไม่น่าจะเป็นดาบโค้งในมือของจิ้งเหยา
และบาดแผลอื่นๆ ที่กระจัดกระจายก็ยิ่งแปลกประหลาด…
แต่ผู้ที่ใช้ดาบโค้งอย่างจิ้งเหยา โดยปกติมักไม่มีอาวุธประหลาดพิเศษติดตัวอยู่
ถ้าเขายืนที่นี่มือเปล่า ต่อให้อธิบายอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“ดังนั้นนี่ก็คือความจำเป็นที่เจ้าพูดถึงหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางคิดในใจว่าเนื่องจากคนเหล่านี้ไม่ได้มาเพื่อล่าชีวิตของเด็กสาว
ดังนั้นความลำบากที่จิ้งเหยาพูดถึงก่อนหน้านี้ คงจะหมายถึงความจำเป็นที่ต้องได้ตัวเด็กสาวมา
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกปวดหัว…
นางแค่ช่วยคนที่เจอบนถนนเท่านั้นเอง
แต่ตอนนี้กลับเกี่ยวพันกับเรื่องราวมากมายที่อยู่เบื้องหลัง
แต่เมื่อเรื่องราวมาถึงจุดนี้
แม้เจ้าหมิงหมิงจะยังมีทางเลือกให้ถอยกลับ แต่นางก็ไม่อยากทำเช่นนั้น
นางหันไปมองกระบี่ยาวที่ข้างเอว
มือจับด้ามกระบี่ คลายออก จับแน่น จับแน่นแล้วคลายออก
หลังจากทำซ้ำไปมาหลายครั้ง สุดท้ายนางก็จับมันแน่น
เมื่อจิ้งเหยาเห็นดังนั้น เขารู้ทันทีว่าหลีกเลี่ยงการต่อสู้ด้วยดาบกระบี่ไม่ได้
จึงได้แต่ถอนหายใจเบาๆ…
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือ เจ้าหมิงหมิงไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเด็กสาวผู้นั้นอย่างแน่นอน แล้วเพราะเหตุใดนางถึงต้องเสี่ยงเช่นนี้ด้วยเล่า
ก่อนหน้านี้มีหลิวรุ่ยอิ่งที่สามารถทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้แล้วเดินหนีไปได้
ตอนนี้ก็เป็นเจ้าหมิงหมิงอีกคนหนึ่ง
หรือว่าผู้คนในอาาจักรห้าอ๋องนั้นล้วนมีนิสัยแปลกๆ เช่นนี้กันทั้งนั้น
จิ้งเหยาคิดอย่างไรก็คงคิดไม่ถึง
เจ้าหมิงหมิงไม่ใช่มนุษย์
และเขาเองก็ไม่ใช่คนของอาณาจักรอ๋อง
จิ้งเหยาจึงได้แต่ยกมือจับดาบให้มั่น
เชิดคางขึ้นเล็กล้อย
สายตากลับมาเย่อหยิ่งอีกครั้ง
เจรจาด้วยเหตุผลก่อน เมื่อล้มเหลวจึงใช้กำลัง เขาก็ทำแล้ว
นี่ไม่ใช่การค้าขาย หากตกลงไม่ได้ ก็ไม่มีความเมตตา
ที่เหลือก็แค่แสงดาบและเงากระบี่ และโคลนที่เต็มไปด้วยเลือด
……………………………………………………………
……….