ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 403 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-12
บทที่ 403 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-12
……….
ในวันที่ฝนจะตก ปลาจะลอยขึ้นผิวน้ำเนื่องจากหายใจลำบาก
ชายหนุ่มห้อยเหยื่อใส่เบ็ดแล้วเหวี่ยงลงน้ำ
ต่อมาเขาก็ขุดหลุมบนดินโคลนและฝังคันเบ็ดไว้ สองมือเขาจึงว่างสามารถทำอย่างอื่นได้
“ไม่เคยเห็นหรือ”
ชายหนุ่มถาม
เขาเห็นว่าเจ้าหมิงหมิงจ้องการกระทำของเขาไม่ละสายตา
“ไม่เคย”
เจ้าหมิงหมิงส่ายหัวตอบ
“ก็จริง…เกรงว่าพวกเจ้าจะกินปลาทุกวัน แต่คงไม่รู้ว่าการตกปลาเป็นเรื่องที่น่าเบื่อทีเดียว”
ชายหนุ่มกล่าว
“แต่ข้ามองว่าสิ่งที่เจ้าทำอยู่น่าสนใจมาก!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยขึ้น
“เพราะข้าไม่โลภมาก ข้าแค่ต้องการปลาเพียงตัวเดียวเพื่อเป็นมื้อเย็นเท่านั้น แต่พวกชาวประมงที่ต้องพึ่งมันเป็นอาหาร พวกเขาจะสบายอกสบายใจเช่นข้าได้อย่างไร”
ชายหนุ่มตอบ
“นั่นก็จริง…ไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ย
“แม้กระทั่งสิ่งที่น่าสนใจ ถ้าทำซ้ำๆ บ่อยครั้งก็จะกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ ก็เหมือนที่ข้าคิดว่าชีวิตในเมืองของเจ้าต้องสนุกสนานเป็นแน่ แต่เจ้าก็ยังหนีออกมาจากที่นั่นไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มเอ่ย
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเราออกมาเพราะเบื่อ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“แม้ข้าจะไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ข้าก็รู้ว่าสรรพสิ่งท้ายที่สุดแล้วต้องพลิกผัน ก็เหมือนกับหากข้ากินปลาทุกวัน ก็จะอยากกินเต้าหู้หรือตุ๋นซี่โครงเป็นมื้อถัดไป อยู่ในเมืองนานๆ ก็ต้องอยากมาเดินเล่นในป่าเขาที่โล่งกว้างเป็นธรรมดา”
ชายหนุ่มกล่าว
“แม้เจ้าไม่เคยเรียนหนังสือ แต่เจ้าเข้าใจแก่นแท้ของหลักการมากกว่าคนที่เรียนหนังสือเสียอีก!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ชายหนุ่มยิ้มเขิน
เขาไม่เคยได้รับคำชมมาก่อน โดยเฉพาะจากหญิงสาวที่ไม่รู้จักและงดงามเช่นนี้ คำชมนี้จึงดูมีค่ายิ่งนัก
“แล้วเรียนหนังสือเรียนเกี่ยวกับสิ่งใดบ้าง”
ชายหนุ่มพลันถามขึ้น
“เรื่องของศีลธรรมและหลักการแห่งมนุษย์”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
แม้ว่านางจะไม่ใช่มนุษย์ แต่นางก็อ่านหนังสือในโลกมนุษย์มาไม่น้อย
อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะรับมือกับคนตรงหน้านี้ได้
“ศีลธรรมและหลักการแห่งมนุษย์? ต้องอ่านเรื่องพวกนั้นด้วยหรือ”
ชายหนุ่มหันมาถามด้วยความสงสัย
“ทำไมถึงไม่ต้องอ่านล่ะ”
เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้ว
นางไม่เข้าใจความหมายที่ชายหนุ่มพยายามสื่อ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจะหาเรื่องนะ…ข้าแค่คิดว่าการอ่านหนังสือน่าจะเป็นเรื่องลึกซึ้งกว่านี้ ถึงอย่างไรคนที่มีการศึกษามักจะดูหยิ่งยโส อวดดี ทำตัวเหมือนคนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงได้ แต่เจ้าพูดว่าสิ่งที่เจ้าอ่านคือเรื่องของศีลธรรมและหลักการแห่งมนุษย์ ข้าเลยรู้สึกว่ามันแปลกๆ…”
ชายหนุ่มอธิบาย
เขากลัวว่าเจ้าหมิงหมิงจะเข้าใจผิด
เพราะนางคือคนรู้หนังสือ แต่เขาเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา
จนถึงตอนนี้ เขายังเขียนชื่อตัวเองได้ไม่ครบถ้วนด้วยซ้ำ
“เช่นนั้นเจ้าลองว่ามาสิ ศีลธรรมและหลักการแห่งมนุษย์คืออะไร”
เจ้าหมิงหมิงถาม
และนั่งลงข้างๆ เขา
ชายหนุ่มได้กลิ่นหอมจางๆ จากเจ้าหมิงหมิง ทำให้หน้าเขาแดงระเรื่อขึ้นมาทันใด
ท่าทางที่เต็มไปด้วยความมั่นใจของเขาก่อนหน้านี้ ตอนนี้กลับไม่กล้าหันหน้าไปมองนาง
“บิดาข้าแก่แล้ว ข้าต้องดูแลท่าน กตัญญูต่อท่าน ถึงข้าจะไม่มีความสามารถมากมาย และบ้านก็ยากจน แต่อย่างน้อยข้าก็ต้องทำให้บิดาทานอิ่มทุกมื้อ ไม่จับไข้เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ ไม่หนาวสั่นเมื่อถึงฤดูหนาว ส่วนภรรยาข้าถึงจะดูร้ายบ้างบางครั้ง แต่นางก็ไม่เคยดูถูกข้า และใส่ใจข้ามากที่สุดนอกเหนือจากบิดามารดาของข้า หลังแต่งงานกับข้า แม้จะไม่มีชีวิตที่ดีสักเท่าไร ไม่สามารถอยู่ดีมีสุขเยี่ยงสุภาพสตรีในเมืองได้ แต่ถ้ามีอะไรดีๆ ข้าก็จะเก็บไว้ให้นาง ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ข้าจับหมาป่าหิมะได้ ขนสีขาวล้วนไม่มีสีอื่นปน แม้เป่าลมใส่ก็ไม่เห็นเนื้อหนัง ตอนนั้นมีคนจากในเมืองต้องการจะซื้อด้วยราคาห้าตำลึงเงิน แต่ข้าไม่ขาย ข้าเก็บไว้ทำผ้าคลุมไหล่ให้นาง แม้ว่าตอนนั้นนางจะดุด่าข้าหนักแค่ไหน แต่ข้ารู้ว่านางต้องมีความสุขมากแน่ๆ ตอนนี้เรายังไม่มีลูกเพราะข้าไม่มีเงินให้เขาไปเรียนหนังสือ ข้าอยากให้ลูกของข้าได้เรียนหนังสือ เพราะถ้าไม่เรียนหนังสือก็ต้องถูกดูแคลน ผู้เป็นลูกต้องกตัญญูต่อบิดามารดา เป็นสามีต้องรักภรรยา เป็นบิดาต้องดูแลลูก เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ศีลธรรมและหลักการแห่งมนุษย์หรอกหรือ”
ชายหนุ่มพูด
ชั่วขณะหนึ่งเจ้าหมิงหมิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี…
เพราะความรู้สึกที่เขาพูดมา นางไม่เคยได้สัมผัสเลย
เจ้าเจ๋อเป็นเจ้าแห่งเขาเรียงรัน ย่อมไม่จำเป็นต้องให้นางคอยยุ่งเรื่องการบ้านการเรือน
อีกอย่างเจ้าหมิงหมิงเองก็ยังไม่ได้แต่งงาน
ไม่มีสามี ไม่มีลูก
เรื่องราวที่เล่ามานั้น นางรู้มาจากหนังสือเท่านั้น
“ไม่คิดเลยว่าคำพูดในหนังสือ เมื่ออยู่ในชีวิตจริงของมนุษย์จะน่าสนใจเช่นนี้…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“มันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปไม่ใช่หรือ”
ชายหนุ่มเกาหัว
ลมพัดเบาๆ ผ่านพวกเขาอีกครั้ง
เขาสั่นเนื่องจากอากาศเย็น
ลมภูเขานั้นเย็นกว่าที่อื่นๆ
โดยเฉพาะก่อนที่ฝนจะตก
ชายหนุ่มหยิบน้ำเต้าออกมา เปิดฝาออก แล้วดื่มลงไปสองอึก
“อยากดื่มสักหน่อยหรือไม่”
ชายหนุ่มถามเจ้าหมิงหมิง
“นี่คืออะไร”
เจ้าหมิงหมิงไม่เคยเห็นมาก่อนว่าน้ำเต้าสามารถใส่สิ่งใดดื่มได้
“สุรา แต่ไม่ใช่สุราราคาแพงหรอก…เป็นสุราทั่วไปที่ซื้อมาจากตลาด”
ชายหนุ่มกล่าว
“เหตุใดเจ้าถึงดื่มสุรา”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“เพราะ…เพราะข้าหนาว…สุราช่วยไล่ความหนาวได้ เจ้าไม่หนาวหรือ”
ชายหนุ่มถาม
เจ้าหมิงหมิงส่ายหัว
แน่นอนว่าอสูรอย่างนางไม่รู้สึกหนาว
ชายหนุ่มรู้สึกแปลกใจ
แม่นางผู้นี้ดูอ่อนแอบอบบาง อีกอย่างนางก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้าหนาๆ
นางจะไม่รู้สึกหนาวได้อย่างไร
“เจ้าไม่เคยดื่มสุราหรือ”
ชายหนุ่มถาม
เขาเพิ่งนึกได้ว่าคุณหนูจากในเมืองน่าจะไม่เคยดื่มสุรา
แต่ช่วงบ่ายจะออกไปกับสหายสองสามคน แล้วนั่งสนทนากันในโรงน้ำชากว่าครึ่งวัน
“ไม่เคย”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
บนเขาเรียงรันก็มีสุรามากมาย
แต่นางไม่เคยได้ลิ้มลองสักครั้ง
ไม่ใช่ว่านางไม่ชอบ
แต่นางรู้สึกไม่จำเป็น
คนอื่นดื่มสุราเพราะมีความสุข ไม่ก็กำลังโศกเศร้า
แต่ความรู้สึกทั้งสองนั้น นางไม่เคยมี
ในเมื่อไม่มีอารมณ์ความรู้สึกก็ไม่จำเป็นต้องดื่มสุรา
และหากพูดถึงการดื่มเพื่อคลายความหนาว นั่นยิ่งไม่จำเป็นสำหรับนาง
เจ้าหมิงหมิงไม่เคยรู้สึกหนาวเลย
“คนในเมืองอย่างพวกเจ้าเรื่องเยอะจริงๆ!”
ชายหนุ่มหัวเราะขณะยกสุราขึ้นดื่มต่อ
เจ้าหมิงหมิงถาม
“จะใช่ได้อย่างไร แน่นอนว่ามี แต่คนในเมืองต่างต้องการมีชีวิตที่แสนสบาย ส่วนพวกเราคิดเพียงว่าจะมีชีวิตรอดไปได้อย่างไร”
ชายหนุ่มตอบ
เจ้าหมิงหมิงนิ่งเงียบไป…
ใช้ชีวิตที่แสนสบายกับการมีชีวิตรอดนั้นต่างกันลิบลับ
คนที่ต้องการมีชีวิตสะดวกสบายมักมีเงินทุนมากพอที่จะเลือกได้
แต่คนที่แค่ต้องการรอดชีวิตไปวันๆ ก็อาจจะไม่ยึดถือกฎเกณฑ์ใดๆ
“หากเพียงเพื่อมีชีวิตรอดแล้วทำอะไรก็ได้ นั่นก็เท่ากับไม่มีกฎเกณฑ์”
เจ้าหมิงหมิงพูด
“ก็ยังมีอยู่ดี เช่นพวกเราเป็นนายพราน แต่เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ นายพรานจะมีข้อตกลงร่วมกันว่าจะไม่ออกล่าสัตว์ถี่เกินไป”
ชายหนุ่มอธิบาย
“เพราะอะไรหรือ ตอนที่หิมะละลายในต้นฤดูใบไม้ผลิก็น่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการล่าสัตว์นี่”
เจ้าหมิงหมิงพูดขึ้น
“ถูกต้อง หากเพียงเพื่อหาเงิน ต้นฤดูใบไม้ผลิก็เป็นช่วงเวลาที่ดีจริงๆ…แต่ตอนนั้นก็มักจะเป็นช่วงที่สัตว์ป่าออกลูก สัตว์ที่ออกมาหาอาหารล้วนเป็นพ่อแม่ ถ้าเราล่าพวกมันจนหมด ลูกๆ ในรังก็จะตายด้วยความหิวโหย ถ้าเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ มันก็จะสูญพันธุ์ไปเลยไม่ใช่หรือ และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้ต่อไป ภูเขาลูกนี้ก็คงว่างเปล่า”
ชายหนุ่มอธิบาย
“ไม่คิดเลยว่านายพรานจะมีใจเมตตาต่อสัตว์ป่า!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“อืม…มันก็แค่การหาเลี้ยงชีพเท่านั้นแหละ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ
“แต่ถ้าพวกเจ้าไม่ล่าสัตว์ก็จะหิวโหย ฉะนั้นคำพูดเมื่อครู่ของเจ้าก็ขัดแย้งกัน…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“แม้ว่าเราจะพึ่งพาภูเขาเพื่อหากิน แต่เราก็ไม่สามารถใช้ทรัพยากรจนหมดสิ้นได้ นี่เป็นสิ่งที่คนบนภูเขาทุกคนรู้ดี อีกอย่างภูเขานี้ก็เหมือนสมบัติ! นอกจากสัตว์ป่าแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกมากมาย ถ้าไม่ล่าสัตว์เราก็สามารถขุดผักป่า หรือเก็บผลไม้ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็เหมือนตอนนี้ ตกปลาหาอะไรกินก็พอไหว การมีชีวิตอยู่มันสำคัญก็จริง…แต่การมีชีวิตยืนยาวนั้นยิ่งสำคัญกว่า พวกเรานายพรานไม่มีที่ดิน ไม่มีอุปกรณ์เพาะปลูก เราต้องคำนึงอนาคตให้มากหน่อย ถึงอย่างไรสัตว์ป่าก็เป็นสิ่งมีชีวิต และการสืบพันธุ์ของพวกมันก็ช้ากว่าการเติบโตของข้าวมาก”
ชายหนุ่มพูดขึ้น
“ข้าขอดื่มสุราของเจ้าสักอึกได้หรือไม่”
เพิ่งสิ้นเสียงของเขา จู่ๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับเอ่ยขึ้นพร้อมเดินเข้ามาใกล้
ก่อนหน้านี้เจ้าหมิงหมิงพูดคุยกับชายหนุ่มอยู่ตลอดจึงไม่ได้สังเกตเห็นนางเลย
“เจ้าดื่มสุราเป็นหรือ”
ชายหนุ่มถาม
เขายื่นน้ำเต้าสุราให้นาง
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกเหลือเชื่อ
เท่าที่นางจำได้ สิ่งเกาลัดคั่วน้ำตาลชื่นชอบที่สุดก็คือน้ำผึ้ง
ไม่เคยเห็นนางดื่มสุราเลยสักครั้ง
“เจ้าแอบดื่มสุราลับหลังข้าตั้งแต่เมื่อไร”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลแลบลิ้นไม่ตอบ
นางยกน้ำเต้าสุราดื่มไปหลายอึกใหญ่
ทำเอาชายหนุ่มตกตะลึง
เขารู้ดีว่าสุราในน้ำเต้านั้นแรงแค่ไหน
แม้กระทั่งพวกนายพรานก็ยังต้องค่อยๆ ดื่ม
เมื่อครู่ที่เขาดื่มหนักก็เพียงเพื่อคลายความหนาว
แต่สตรีที่ดื่มสุราเช่นเกาลัดคั่วน้ำตาล เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน
“แม่นางดื่มเก่งจริงๆ…”
ชายหนุ่มกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลหัวเราะ แล้วหันไปหาเจ้าหมิงหมิงพร้อมพูดว่า
“ทุกครั้งที่มีงานในเผ่าคุณหนูล้วนอยู่ได้แค่พักหนึ่งก็จากไป…พวกเรายังเที่ยวเล่นไม่จุใจเลยเจ้าค่ะ!”
“ดังนั้นเจ้าจึงใช้โอกาสที่ข้าพักผ่อนกลับไปเที่ยวเล่นใช่หรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถามพลางเลิกคิ้ว
ทันใดนั้น ก็มีเสียงกระเซ็นของน้ำดังขึ้นข้างหู
เจ้าหมิงหมิงรีบหันกลับไปดู และเห็นปลาที่กินเบ็ดกำลังพยายามดิ้นรนในน้ำ
ในขณะเดียวกัน หยดฝนที่กักเก็บมานานก็ตกลงมา
ตกลงไปในบึงน้ำ เกิดเป็นคลื่นน้ำขนาดเล็กมากมาย
…………………………………………
……….