ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 402 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-11
บทที่ 402 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-11
……….
หลังจากชายหนุ่มและภรรยาของเขาเก็บหนังสัตว์เข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว ฝนกลับยังไม่ตกลงมา
“หนังสัตว์เหล่านี้เอาไว้ขายทั้งหมดเลยหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ใช่แล้ว จะมีคนมารับหนังสัตว์ไปเดือนละครั้ง ถ้าเหลือเยอะก็ต้องแบกลงภูเขาไปขายที่ตลาดเอง”
ชายหนุ่มตอบ
“ก่อนหน้านี้พวกเราก็ผ่านตลาดแห่งหนึ่งมา ไม่ทราบว่าท่านเคยไปที่นั่นหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“หากลงเขาไป ตลาดก็มีมากมายนับไม่ถ้วน แต่หนังสัตว์เหล่านี้ไม่สามารถนำไปขายที่ตลาดทั่วไปได้ ทางการมีสถานที่เฉพาะสำหรับการค้าขายของพวกนายพรานเท่านั้น”
ชายหนุ่มกล่าวอีกครั้ง
“แถวนี้มีที่ไหนน่าสนใจบ้าง”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางเห็นว่าฝนยังไม่ตกจึงอยากออกไปเดินเล่น
เจ้าหมิงหมิงน่าจะคุ้นเคยกับภูเขาเป็นอย่างดี ถึงอย่างไรก็ใช้ชีวิตอยู่ที่เขาเรียงรันมาหลายปี
แต่เขาเรียงรันเป็นหนึ่งในเก้าบรรพต
ภูเขาในใต้หล้ามีมากมาย
แต่เก้าบรรพตมีเพียงเก้าแห่งเท่านั้น
ไม่มีที่ไหนเทียบได้
“บนภูเขาไม่มีที่ไหนน่าสนใจหรอก…แต่ถ้าเดินไปทางทิศตะวันตกจะมีดงต้นอ้อ ข้าว่าจะลองไปเสี่ยงโชคดู หวังว่าจะจับปลาได้สักตัวเพื่อเป็นมื้อค่ำ หากแม่นางสนใจก็ไปด้วยกันได้”
“พวกนางก็แค่มาเพื่อหลบฝน…เหตุใดเจ้าถึงถือโอกาสชวนไปเที่ยวเล่นและเลี้ยงข้าวด้วยเล่า”
ภรรยาของเขาพูดอย่างไม่พอใจ
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบโต้ เพียงเดินเงียบๆ ไปเตรียมอุปกรณ์ตกปลา
วันนี้ไม่ได้หมูป่ากลับมา…
เตาไฟก็เย็น และไม่มีอะไรลงหม้อ
“ได้สิ ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
นางไม่ได้ใส่ใจคำพูดของสตรีผู้นั้น
อันที่จริงนางไม่จำเป็นต้องใส่ใจเลยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มพยักหน้า เมื่อเตรียมอุปกรณ์ตกปลาเรียบร้อยก็ออกจากลานบ้านไป
เจ้าหมิงหมิงรีบตามเขาไปทันที และเกาลัดคั่วน้ำตาลก็ตามมาติดๆ
เมื่อนางเดินผ่านสตรีผู้นั้น ก็ตวัดสายตาพร้อมแค่นเสียงใส่เบาๆ
“ก็แค่ปีศาจจิ้งจอกสองตัว…”
สตรีผู้นั้นพึมพำขณะหันหลังให้ทั้งคู่
เจ้าหมิงหมิงได้ยินชัดเจน นางหยุดฝีเท้ากะทันหัน ความหงุดหงิดแล่นปราดขึ้นมาในใจจนเกือบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
โชคดีที่สุดท้ายเจ้าหมิงหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินหน้าต่อ
“คุณหนู สตรีผู้นั้นไม่ใช่คน!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดอย่างโกรธเคือง
“นี่แหละมนุษย์ ผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ คือเราสองคนต่างหาก”
เกาลัดคั่วน้ำตาลอ้าปาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
นางเพียงรู้สึกว่ามนุษย์ซับซ้อนกว่าที่นางคิดจริงๆ
เหล่าหลี่เจ้าของแผงลอย มองเผินๆ ดูใสซื่อ แต่ความจริงกลับมีความคิดชั่วช้า
ชายชราหลังค่อมของบ้านนี้แม้จะมีจิตใจดี แต่ลูกสะใภ้ของเขากลับปากร้าย…
แต่สิ่งนี้ก็ทำให้ลูกชายของเขาทุกข์ทรมาน
ชายหนุ่มผู้อยู่ตรงกลางคงไม่รู้จะทำอย่างไรดี
………………………..
อสูรให้ความสำคัญกับเผ่าเป็นหลัก
ขณะที่ครอบครัวเป็นสิ่งพื้นฐานที่สุดของสังคมมนุษย์
ในครอบครัวที่มีความสุข ความสุขนั้นมักจะคล้ายกัน
ส่วนครอบครัวที่มีความทุกข์ ทุกข์นั้นก็แตกต่างกันไป
แต่แม้จะมีความทุกข์มากมาย บ้านก็ยังเป็นสถานที่ที่เมื่อนึกถึงก็รู้สึกผ่อนคลายทุกครั้ง
บ้านไม่ใช่ป้อมปราการ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่บ้านหรือคนที่อยู่นอกบ้าน ล้วนแต่มีความปรารถนาและความคาดหวังอันแรงกล้าต่อมัน
เจ้าหมิงหมิงเคยอ่านคำพังเพยของมนุษย์ที่ว่า: ‘ให้เป็นรังเงินรังทองก็ไม่เท่ากับรังหมาของเรา[1]’ คำนี้ฟังดูหยาบคายมากจนนางไม่เข้าใจทันทีที่ได้ยิน
แต่พอนางเข้าใจก็พบว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
อาจจะฟังดูหยาบคาย แต่กลับลึกซึ้งไปถึงหัวใจ นี่คือความรู้สึกในใจที่แท้จริงของคนที่ห่างบ้านเกิด
‘เมื่อไรจะกลับบ้าน’
คนเรามักถามเมื่อส่งจดหมายหากันหรือเมื่อพบปะเพื่อนเก่าในต่างถิ่น
การกลับบ้านเป็นความรู้สึกที่ไม่อาจตัดขาดได้ในจิตใจมนุษย์
ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทางตอนใต้ของขอบฟ้าหรือเหนือสุดของแผ่นดิน
ขอแค่สามารถกลับได้ก็จะกลับไปให้จงได้
เขาเรียงรันอาจเรียกได้ว่าเป็นบ้านของเจ้าหมิงหมิง
แต่เจ้าหมิงหมิงมักรู้สึกว่าบ้านของนางมีบางอย่างที่แตกต่างจากบ้านของมนุษย์
เพราะเมื่อนึกถึงเขาเรียงรัน นางแค่รู้สึกเบื่อหน่ายและจำเจ
ไม่มีความอบอุ่นและเชื่อมั่นเหมือนที่มนุษย์คิดถึงบ้านของตน
หอทรงภูมิหนึ่งในปรมาจารย์ด้านวรรณกรรมในใต้หล้า แบ่งความเป็นมนุษย์ออกเป็นสองส่วน
ส่วนแรกคือการฝึกตน
ส่วนที่สองคือการครองเรือน
เพียงแค่ทำสองสิ่งนี้ได้ก็สามารถยืนหยัดบนโลกนี้ได้อย่างภาคภูมิ
แม้แต่เหล่าผู้ท่องยุทธภพพเนจร หลังจากดื่มไปสามรอบก็จะมีน้ำตาคลอเบ้า พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า ‘บ้านเกิดของข้า…’
ไม่ว่าจะออกเดินทางด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ ไม่ว่าจะเคยได้รับบาดแผลมามากน้อยเพียงใด ไม่ว่าระหว่างทางจะได้รับการปลอบโยนมากเท่าใด
แต่สักวันหนึ่ง เมื่อเจ้าก้มหน้าลงมองรอยรถม้าบนทาง ก็จะมีความรู้สึกรังเกียจพุ่งขึ้นมาในใจ
นั่นคือสัญญาณว่าถึงเวลากลับบ้าน
น้ำที่บ้านเกิดใสสะอาด จันทราก็เจิดจ้า
แม้จะต้องผ่านการสู้รบที่ยืดเยื้อนานถึงสามเดือน สิ่งที่ทำให้คิดถึงมากที่สุดก็คือจดหมายจากทางบ้าน
บ้านเกิดอาจอยู่ห่างไกลหลายพันลี้ แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นมองเห็นดวงจันทร์ดวงเดียวกัน นั่นย่อมเป็นการปลอบประโลมของคนไกลบ้าน
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกว่านางมีเหตุผลที่หนักแน่นพอที่จะออกจากบ้าน
แต่ในเมื่อมนุษย์คิดถึงบ้านขนาดนั้น แล้วเหตุใดจึงต้องวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอกทุกวัน?
หรือพวกเขาไม่ชอบการอยู่รวมกัน?
นั่นจะไม่ขัดแย้งในตัวเองหรอกหรือ
การจากลา ไม่ว่าจะเป็นโลกมนุษย์หรือเก้าบรรพตต่างก็เป็นคำที่ไม่มีใครชื่นชอบ
เพราะการจากลามักหมายถึงคนที่เรารักจะต้องไปคนละทิศทาง
เหตุผลที่เจ้าหมิงหมิงเย็นชาและทำตัวห่างเหินยามอยู่บนเขาเรียงรัน เพราะนางรู้ว่าการพบกันคือจุดเริ่มต้นของการจากลา ตั้งแต่วินาทีที่พบกัน วันที่จะต้องแยกจากกันก็ใกล้แค่เอื้อม
อยู่เพียงลำพัง ใบหญ้าเหี่ยวเฉา อาทิตย์สิ้นแสง หนาวเหน็บทั่วหล้า
หมุนวนเป็นวัฏจักร
ชั่วชีวิตจะต้องผ่านการจากลาเช่นนี้นับไม่ถ้วน
เจ้าหมิงหมิงผ่านการจากลาที่ฝังลึกถึงก้นบึ้งหัวใจมาครั้งหนึ่ง จึงทำให้นางเลือกที่จะปิดกั้นหัวใจตัวเอง
แต่นางไม่ได้อาวรณ์อีกต่อไป
ความทรงจำในอดีตกลายเป็นน้ำตาที่แห้งสนิทและถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
หลังจากมารดาของนางจากไป เจ้าเจ๋อบอกนางว่าการจากลาเป็นเพียงการกลับมาพบกันครั้งใหม่ที่ดีกว่า
หญ้าแตกใบนกขมิ้นโผบิน ผกาแดงสดหลิวเขียวขจี เดิมควรเป็นฤดูกาลที่วิจิตรงดงาม
แต่ทั่วทั้งเขาเรียงรันกลับเต็มไปด้วยความเศร้าสลด
เจ้าหมิงหมิงในวัยเยาว์ได้รับคำแนะนำจากชาวเผ่าและบิดาจึงไม่ได้คิดอะไรมากนัก แต่ก็รู้สึกอึดอัดราวกับกินปลาแล้วก้างติดคอ
ความทรงจำมากมายที่เคยสดใสต่างก็จางหายไปในพริบตา
นางเงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีที่เต็มไปด้วยดวงดาวพลางร้องเพลงที่ไม่รู้ได้ยินมาจากที่ไหน
เสียงเพลงนั้นเปล่งออกมาจากปากของนางและลอยผ่านเข้าไปในหู
ระหว่างที่ร้องและฟังอยู่นั้น ความทรงจำของนางทั้งหมดก็ถูกตัดขาด
สิ่งที่ขวางกั้นเจ้าหมิงหมิงอยู่ตรงหน้าคือสายน้ำที่ไม่สามารถข้ามผ่านไปได้
แม่น้ำสายนี้เชื่อมเกี่ยววัยเยาว์ วัยสาว รวมทั้งการเติบโตและการจากลา
ความเป็นนิรันดร์คือสิ่งที่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ และการพบกันอีกครั้งหลังการจากลาเป็นสิ่งชั่วคราว
สุดท้ายการจากลาก็คือการจากลา
เจ้าหมิงหมิงในตอนนั้นเชื่อคำพูดของผู้เป็นบิดาโดยไม่เคลือบแคลงสงสัย
แต่เมื่อวันเวลาหมุนเวียนผ่านไป นางจึงได้รู้ว่านี่คือคำโกหกและคำหลอกหลวงที่ใหญ่หลวงที่สุด
ทว่าอุบายนี้กลับทำให้นางรู้สึกพึงพอใจไม่น้อย
ในขณะที่รอคอยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลอยู่บ้าง
นี่เป็นทางเลือกที่ถูกกำหนดไว้ด้วยกาลเวลา แต่ก็ไม่ได้มีทางเลือกอื่นให้
แต่ในเมื่อต้องจากลา แล้วเหตุใดโลกนี้จึงลิขิตให้มาพบกันมากมายเช่นนี้เล่า
ท้ายที่สุดแล้ว ในทุกการพบเจอก็จบด้วยการไม่จากเป็นก็จากตาย
จุดนี้เป็นสัจธรรม
……………………
เริ่มเข้าสู่เวลาพลบค่ำ
ฝีเท้าของชายหนุ่มเริ่มช้าลง
เจ้าหมิงหมิงมองไปข้างหน้า และเห็นบึงน้ำกว้างใหญ่
แม้จะยังไม่ออกจากภูเขา แต่นางรู้สึกว่าที่นี่ดูมีชีวิตชีวากว่าที่อื่นๆ
บางทีอาจเป็นเพราะมีน้ำ
เจ้าหมิงหมิงไม่ได้ชอบน้ำเป็นพิเศษ
แต่หากที่ไหนแห้งแล้ง นางก็จะรู้สึกเกลียดทันที
แสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องผ่านเมฆที่ทับซ้อนกันจนเหลือให้เห็นเพียงชั้นบางๆ
ในตอนนี้เองลมเริ่มพัดเบาๆ
ลมพัดผ่านผิวน้ำ ทำให้เกิดคลื่นเล็กๆ
ในบึงน้ำมีต้นอ้อขึ้นสูงตระหง่านจำนวนมาก
มันยังไม่เปลี่ยนเป็นสีเขียวชอุ่มทั้งหมด
เจ้าหมิงหมิงมองทิวทัศน์เบื้องหน้า รู้สึกราวกับฤดูใบไม้ร่วง
ต้นอ้อสีทองโบกสะบัดอ้อยอิ่ง
ท่ามกลางทุ่งกว้างทุกอย่างช่างดูสุดลูกหูลูกตา
ชายหนุ่มหยิบก้อนหินก้อนหนึ่งขึ้นมา จากนั้นก็ปาก้อนหินออกไป
เจ้าหมิงหมิงเห็นหินก้อนนั้นกระดอนอยู่บนผิวน้ำครู่หนึ่ง ก่อนจะจมลง
นางรู้สึกว่าแค่การกระทำนี้ก็น่าสนใจมากแล้ว
ตนไม่ได้มาเสียเที่ยวแล้ว
นางจึงก้มลงหยิบก้อนหินใต้เท้าแล้วปาลงในบึงน้ำ
นางคิดว่าหินก้อนนั้นก็คงจะกระดอนบนผิวน้ำเหมือนกับที่ชายหนุ่มทำ ทว่าพอมันสัมผัสกับผิวน้ำ ก็มีเสียง ‘ต๋อม’ ดังขึ้นและจมลงไป ไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย
“ท่านทำได้อย่างไร”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยถาม
“หินที่เจ้าใช้ใหญ่เกินไป…และก็ไม่เรียบ ถ้าจะปาหินกระดอนบนน้ำ ต้องใช้หินที่แบนและเรียบเช่นนี้”
ชายหนุ่มตอบ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาหาบนพื้นอย่างละเอียด
“คุณหนู หินนี้เหมาะเลย!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดขึ้น
นางมือไวตาไวพบหินแบนที่เหมาะสำหรับกระดอนบนน้ำ และส่งให้เจ้าหมิงหมิง
ชายหนุ่มจึงอธิบายวิธีการปาหินกระดอนให้เจ้าหมิงหมิงฟังอีกครั้ง
สำหรับนางแล้วสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไม่เหนือบ่ากว่าแรง
ในฐานะอสูรที่ได้รับการฝึกฝนวิชายุทธ์
แน่นอนว่าความสามารถในการควบคุมมุมและพลังปราณต้องดีกว่ามนุษย์ธรรมดาหลายเท่า
หินถูกปาออกไป
เจ้าหมิงหมิงนับเงียบๆ ในใจ
หินนั้นกระดอนขึ้นลงบนผิวน้ำถึงสิบแปดครั้ง
จนเกือบจะแยกผืนน้ำกว้างนี้ออกจากกัน!
ก่อนจะหายเข้าไปในพงอ้อ
ทว่าก็ทำให้ฝูงนกกระสาและนกนางนวลตกใจจนพากันบินขึ้น
ชายหนุ่มมองเจ้าหมิงหมิงด้วยความเหลือเชื่อ
เขาคิดว่าสตรีที่มาจากในเมืองนั้นอ่อนแอ ไม่ต้องทำงานหนัก
ไม่คาดคิดว่านางจะสามารถเรียนรู้การปาหินกระดอนได้รวดเร็วเพียงนี้!
เจ้าหมิงหมิงรู้สึกภูมิใจ
แม้จะเป็นเพียงทักษะเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่ควรค่าให้กล่าวถึง แต่นางก็ได้แสดงฝีมือที่โดดเด่นต่อหน้ามนุษย์ครั้งหนึ่ง
ชายหนุ่มนั่งลงเริ่มเตรียมตัวตกปลา
เขาหยิบกล่องเล็กๆ ที่ภายในบรรจุเหยื่อที่ผสมไว้อย่างดี
เอาเหยื่อออกมาเพียงเล็กน้อย และขยำมันอย่างพิถีพิถัน
เจ้าหมิงหมิงสังเกตเห็นว่าแม้สายตาเขาจะดูสงบนิ่ง แต่ก็ไม่สามารถปกปิดประกายความกังวลเล็กๆ ได้
ท่วงท่าของเขาแม้จะเชื่องช้า แต่ก็แน่วแน่และมั่นคง
มันเกี่ยวพันถึงปากท้องของคนในครอบครัวในค่ำคืนนี้
เขาจึงทุ่มเทกายใจให้กับมัน
เมื่อเกี่ยวเหยื่อเข้ากับเบ็ดเรียบร้อยแล้ว เขาจึงเหวี่ยงเบ็ดลงไป
สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ไม่มีใครรู้ได้
แต่สำหรับวันนี้ เขาจะได้รับโอกาสเหมาะ
…………………………………………
[1] ให้เป็นรังเงินรังทองก็ไม่เท่ากับรังหมาของเรา หรือพูดให้สุภาพก็คือ สวรรค์วิมานก็ไม่เหมือนอยู่บ้านตน เปรียบได้กับคนคนหนึ่งที่รักบ้านเกิดของตัวเอง ต่อให้สถานที่ต่างแดนเลิศหรูขนาดไหนก็ไม่อยากไปอยู่
……….