ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 396 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-5
บทที่ 396 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-5
……….
“แต่ว่าคุณหนูเจ้าคะ…หากพวกเรากินข้าวก็ต้องสนทนากับพวกเขา หากบังเอิญว่า…”
อย่ามองแต่ว่าวันๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลเอาแต่สนุกสนาน หากให้นางพุ่งชนขึ้นมาจริงๆ ในใจนางไม่ได้เป็นกังวลกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้น แต่ไม่ยอมให้เกิดขึ้นเลยต่างหาก
ความไม่ยินยอมนี้ หาใช่เพราะนางไม่กล้าพอ เพียงเพราะไม่มั่นใจเท่านั้น
“หากบังเอิญว่าสิ่งใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางย่อมรู้ดีว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลกำลังกังวลเรื่องใด
ที่ถามเช่นนี้ก็เพียงต้องการให้นางกล่าวออกมาอย่างชัดเจนเท่านั้น
พูดความกังวลของตนออกมา ยอมรับความขลาดกลัวของตนเอง แม้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างโหดร้าย
แต่เมื่อคำสุดท้ายกล่าวออกจากปากก็จะรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
“พวกเขาล้วนเป็นมนุษย์…หนำซ้ำล้วนเป็นบุรุษ…หากจับพวกเราไป….”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพูดติดๆ ขัดๆ
“หากจับพวกเรากิน? ข้าเคยเห็นแต่อสูรกินคน เจ้าเคยเห็นคนกินอสูรหรือ”
เจ้าหมิงหมิงย้อนถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลนิ่งเงียบไม่พูดจา ผ่านไปพักใหญ่จึงเอ่ยว่า
“ข้าแค่เคยได้ยินว่าความคิดอ่านของพวกมนุษย์ซับซ้อนเหลือเกิน…พวกเราแยกแยะได้ยากเย็นนัก หากบังเอิญพลาดท่าหลงกลแล้วจะทำเช่นใด…”
ประโยคนี้กลับทำให้เจ้าหมิงหมิงพูดไม่ออก
นางไม่อาจปฏิเสธได้ว่าความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์ซับซ้อนยิ่ง
อย่างน้อยก็ซับซ้อนกว่าระหว่างเหล่าอสูรด้วยกันมากนัก
เด็กทารกมนุษย์ที่เพิ่งถือกำเนิดไม่อาจเทียบเท่าอสูร
แต่ในฐานะสิ่งมีชีวิตที่ถือกำเนิดมา สิ่งใดคือความหมายของการเลือกที่จะเข้าใจโลกหล้านี้
อาจเพียงเพราะไม่อยากตายจึงได้ยึดถือหลักการที่เรียบง่ายเพื่อพยายามมีชีวิตต่อไป
เจ้าหมิงหมิงเคยอ่านเจอในหนังสือว่าสิ่งที่แตกต่างกันที่สุดระหว่างมนุษย์และอสูรนั้น เหมือนว่ามนุษย์ไม่เคยหยุดใคร่ครวญ การใคร่ครวญนี้อาจเป็นการค้นหาคำตอบของหลายๆ สิ่ง วิธีแก้ปัญหาในเรื่องบางเรื่อง หรือไม่ก็เป็นความหลงใหลปักใจคนบางคน
แต่ทุกปัญหาไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการใคร่ครวญเพียงอย่างเดียว หลักการที่มนุษย์เอ่ยถึงมักเป็นการแก้ต่างให้ตนเอง ฟังแล้วคล้ายเป็นคำพูดเหลวไหล เล่นลิ้นส่งเดชแต่อาจแฝงไว้ด้วยปัญญาอันยิ่งใหญ่
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ขึ้นอยู่กับว่ามนุษย์จะยอมรับหรือไม่ก็เท่านั้น
แดนมนุษย์กว้างใหญ่กว่าเก้าบรรพต และยังเจริญรุ่งเรืองกว่าเก้าบรรพตด้วย
ฉะนั้น ตัวเลือกที่มนุษย์เลือกได้ย่อมมีมากกว่าของอสูรมากนัก
มนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ตามจิตสำนึกของตน แต่เหล่าอสูรกลับอาศัยสัญชาตญาณของตนมากกว่า
สัญชาตญาณและจิตสำนึกนั้นยังแบ่งเป็นสูงและต่ำด้วย
สัญชาตญาณมีเพียงเรื่องพื้นๆ เช่น ง่วงจึงไปนอน กินอิ่มแล้วก็ไม่หิวอีก
แต่จิตสำนึกกลับเป็นความปรารถนาที่สูงกว่านั้น
สัญชาตญาณไม่ได้ทำให้เหล่าอสูรต้องตัดสินใจเลือกหรือใคร่ครวญความหมายของชีวิต
แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าหมิงหมิงไม่เข้าใจก็คือเหมือนว่ามนุษย์ชอบค้นหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ถึงรากถึงโคนอย่างยิ่ง
ถึงแม้ทำไม่ได้ก็จะใช้การวิเคราะห์ของตนจำกัดนิยามที่ตนเองคิดว่าถูกต้อง
เช่น ขอทานต้องเป็นพวกเกียจคร้านเอาแต่ขอกิน คนรวยล้วนมานะบากบั่น
คนทั่วไป เรื่องทั่วไป ยังพอฝืนเหมารวมได้
แต่เมื่อพบกับเรื่องที่เกินกำลังของมนุษย์อย่างลมพายุฟ้าผ่า กลับเอาความหวังไปฝากไว้กับรูปปั้นดินเหนียวในศาลเจ้า
นี่ไม่ใช่เรื่องน่าขันยิ่งหรอกหรือ
ทว่าเมื่อจิตสำนึกของนางยิ่งหยั่งรากลึก ความคิดนี้ก็กลับตาลปัตร รู้สึกว่าคนที่น่าขันที่แท้แล้วกลับเป็นตนเอง…
สิ่งที่ดูคล้ายไม่สมเหตุสมผลเหล่านี้ ความจริงแล้วนี่ต่างหากจึงเป็นเรื่องปกติในแดนมนุษย์
และก็เพราะมีความไม่สมเหตุสมผลเช่นนี้อยู่ มนุษย์จึงมีความคิดในแง่ดีเพื่อพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปได้
หากเรื่องไม่เป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่ราบรื่น ฉะนั้นก็จงทำเรื่องอื่นต่อไป
จนกว่าจะเจอเรื่องที่เป็นดังใจ
ในยามที่เกินเยียวยาแล้วจริงๆ ก็ไปสวดภาวนาร้องขอที่ศาลเจ้าเพื่อเป็นกำลังใจและที่พึ่งอย่างหนึ่ง
ในยามที่ไม่สมปรารถนา ความหวังจะบังคับให้ทั้งจิตใจและร่างกายเดินหน้าต่อ
แม้ว่าเมื่อทำเช่นนี้แล้วมักจะเกิดความผิดพลาดอย่างเดียวกัน
แต่ท่ามกลางวัฏจักรอันกว้างใหญ่ ความผิดพลาดเหล่านี้กลับแตกต่างกันอย่างยิ่ง
การทำผิดนับครั้งไม่ถ้วน และปรับปรุงแก้ไขหรือตั้งต้นใหม่นับครั้งไม่ถ้วน
ก็เป็นหนทางที่ต้องเดินผ่านเพื่อเติมเต็มความปรารถนาและภาวนาให้ทุกสิ่งเป็นดั่งใจไม่ใช่หรือ
เมื่อคิดเช่นนี้ เจ้าหมิงหมิงจึงรู้สึกว่าที่แท้แล้วมนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่จะนำมาเปรียบเทียบกับอสูรได้
มนุษย์นั้นหมายถึงสภาวะของการดำรงอยู่หรือรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างหนึ่ง
เมื่อความหวังแตกสลายก็วิงวอนภาวนา ร่ำไห้คร่ำครวญดิ้นรน และพยายามแสวงหาอย่างยากลำบาก
มนุษย์เวียนว่ายอยู่ในสภาวะเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หรือพูดได้ว่ามีเพียงเมื่อมีสภาวะเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์
เกาลัดคั่วน้ำตาลคิดว่ามนุษย์ไม่ดี จิตใจไม่งดงาม
ที่แท้แล้วมนุษย์ก็ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตที่ดำรงอยู่เพื่อมีจิตใจที่งดงามหรือมีความสูงส่งใดๆ
มนุษย์มักยกตนเองให้สูงส่ง
แต่สิ่งที่กระจ่างชัดเจนไม่ได้เป็นเช่นนั้น
และสิ่งที่ขุ่นมัวก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเช่นนั้น
มนุษย์เป็นเพียงวิธีเรียกขานสิ่งมีชีวิตที่มีสภาวะเช่นนี้เท่านั้น
ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตใดๆ เมื่อสามารถไปถึงสภาวะนั้นได้ ล้วนสามารถเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์
เจ้าหมิงหมิงรู้ว่าเวลานี้ตนยังไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์
แต่ท่ามกลางฝูงชนเดินขวักไขว่ตรงหน้าจะมีสักกี่คนที่มีคุณสมบัติเพียงพอ?
ผู้ใดล้วนไม่อาจบอกได้ชัดเจน
ด้วยเหตุนี้เจ้าหมิงหมิงจึงไม่กลัว
ไม่เพียงไม่กลัว แต่ยังทะเยอทะยานมากอีกด้วย
นางต้องการทำให้สภาวะที่เรียกว่ามนุษย์ของตนสมบูรณ์
และเป็น ‘มนุษย์’ ที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อมที่สุดตั้งแต่หัวจรดเท้า
หากเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกไป จะต้องถูกเหล่าอสูรแห่งเก้าบรรพตคัดค้านเป็นแน่
แต่มีเพียงตัวเจ้าหมิงหมิงเองที่เข้าใจแจ่มแจ้ง
ว่าการเป็นมนุษย์ที่นางปรารถนานั้นหาใช่ที่ร่างกายภายนอกหรือวิถีการดำเนินชีวิต
แต่เป็นทัศนคติด้านความรู้สึกที่หลากหลาย มีสิทธิ์ในการเลือก และความสามารถในการรับรู้
สิ่งเหล่านี้ หากอยู่แต่ในเขาเรียงรันชั่วชีวิตก็ไม่อาจเรียนรู้ได้
มีเพียงสั่งสมทีละเล็กทีละน้อยจากประสบการณ์จริง
แม้จะต้องเสียเปรียบบ้างก็ไม่เป็นไร
ส่วนเรื่องที่ว่าจะหลงกลถูกหลอก เจ้าหมิงหมิงกลับไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน…
เพราะนางคิดว่าตนฉลาดพอ
เกาลัดคั่วน้ำตาลมีสีหน้าตึงเครียด สายตาล่องลอย
ใจนางตระหนกลนลานอย่างยิ่ง
เจ้าหมิงหมิงอยู่ข้างกายนางยังสัมผัสได้ถึงไอแห่งความกระวนกระวายใจแสนลึกล้ำ
ยิ่งไปกว่านั้นที่ตรงหน้านี้ดูเหมือนว่าเป็นแค่ตลาดเท่านั้น หาใช่ที่สำหรับกินอาหาร
“ตามข้ามา!”
เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้ว ดึงข้อมือเกาลัดคั่วน้ำตาลเดินไปข้างหน้า
แต่ฝูงชนแออัดในตลาดกลับทำให้พวกนางเดินเชื่องช้ายิ่งนัก…
“คุณหนู ที่นี่คนแออัดนัก อึดอัดจริงๆ เจ้าค่ะ…”
ความจริงแล้วแม้ฝูงชนจะเบียดเสียด แต่ก็ยังห่างไกลจากขั้นที่เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยมากนัก
เจ้าหมิงหมิงรู้ว่านี่เป็นเพียงความตระหนกในใจนางเท่านั้น ซึ่งก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย
“เหมือนจะเป็นทางนั้น!”
เจ้าหมิงหมิงพูดกับตนเอง
ปีกจมูกนางขยับน้อยๆ สองสามหน
คล้ายกำลังหาบางสิ่งก่อนวิ่งปรี่ไปยังทิศทางนั้น
เพียงครู่เดียว
สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าเจ้าหมิงหมิงและเกาลัดคั่วน้ำตาลก็คือแผงบะหมี่แผงหนึ่ง
โต๊ะที่มีแต่คราบน้ำมันสองสามตัวตั้งอยู่ข้างหลังเตาไฟธรรมดาๆ
โต๊ะทุกตัวมีม้านั่งยาวสี่ตัว
บนม้านั่งยาวทุกตัวสามารถนั่งได้สองคน
มีหม้อเหล็กขนาดใหญ่ที่หูหายไปข้างหนึ่งตั้งอยู่บนเตา
น้ำที่อยู่ข้างในกำลังเดือดปุดๆ
เจ้าหมิงหมิงเดินเข้าไปใกล้ๆ หม้อ ใช้มือกวักไอร้อนของน้ำที่กำลังเดือดเบาๆ
“เป็นที่นี่นี่เอง!”
“คุณหนูกล่าวถูกต้องเจ้าค่ะ! กลิ่นเมื่อครู่นี้ก็คือกลิ่นนี้นั่นเอง!”
ครึ่งตัวของเกาลัดคั่วน้ำตาลยืนอยู่ข้างหลังเจ้าหมิงหมิง แต่หัวของนางกลับโผล่ออกมาทางไหล่ขวาของเจ้าหมิงหมิงเพื่อดมกลิ่นแล้วจึงพูด
“นี่คือสิ่งใดกัน”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“บะหมี่เต้าหู้!”
เหล่าหลี่เจ้าของแผงเงยหน้าขึ้นมองคนทั้งสองแล้วเอ่ยตอบ
เพียงแต่สายตาของเขากลับมีแววเจ้าเล่ห์
ไม่รู้ว่าเหตุใดแม่นางสองคนที่แต่งตัวงดงามและสวมเสื้อผ้าราคาแพงจึงได้มาสอบถามที่แผงของตน
“คุณหนู บะหมี่เต้าหู้คือสิ่งใดเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
เจ้าหมิงหมิงกลับส่ายหน้า
นางรู้ว่าสิ่งใดคือเต้าหู้
แต่บะหมี่เต้าหู้นี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆ
ครั้งแรกที่เจ้าหมิงหมิงได้กินเต้าหู้ก็คือตอนที่นางเพิ่งแปลงกายเป็นมนุษย์
นางสงสัยใคร่รู้กับก้อนเต้าหู้ขาวๆ นุ่มๆ นี้อย่างยิ่ง
ยามกินเข้าไปรู้สึกลื่นๆ ในปากและสามารถกลืนลงคอได้โดยไม่ต้องเคี้ยวแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เจ้าหมิงหมิงจึงพยายามทำความเข้าใจเป็นพิเศษว่าเต้าหู้ของแดนมนุษย์นี้เป็นของสิ่งใดกันแน่
ภายหลังจึงเพิ่งรู้ว่าเต้าหู้ก็แบ่งชนิดไปตามท้องถิ่นด้วย
เต้าหู้ที่นางกินนั้นให้รสสัมผัสที่นุ่มลื่นนัก แต่สำหรับทางใต้แล้วกลับค่อนข้างหยาบ
เต้าหู้ที่นุ่มลื่นจริงๆ ละมุนยิ่งกว่าดอกบัว เนียนนุ่มยิ่งกว่าผ้าต่วน
และเต้าหู้ยังมีข้อดีที่อาหารชนิดอื่นไม่มี
นั่นก็คือสามารถกินได้ไม่ว่าสุกหรือดิบ
แม้เหล่าอสูรจะไม่ได้สนใจในข้อนี้
แต่เมื่อกลายร่างนานวันเข้าก็จะเข้าใกล้สภาวะของ ‘มนุษย์’ ทีละก้าว
อาหารทุกมื้อจึงต้องปรุงรส
แต่มีเพียงเต้าหู้ที่แม้ไม่ได้นำไปปรุงอาหาร แค่ตัดเป็นชิ้นก็สามารถกินได้
ส่วนจะกินกับสิ่งใดนั้น ก็แล้วแต่ความชื่นชอบของแต่ละคน
วิธีกินที่เจ้าหมิงหมิงชื่นชอบที่สุดก็คือใส่ต้นหอมซอย เติมซีอิ๊วสารท[1]สองช้อน และน้ำส้มสายชูอีกเล็กน้อย
เทลงบนเต้าหู้ที่หั่นเสร็จแล้วคลุกเคล้าเบาๆ พลิกเอาชิ้นที่ชุ่มน้ำปรุงขึ้นมาข้างบนเพื่อกินก่อน
เมื่อกินข้างบนหมดแล้ว เต้าหู้ข้างล่างก็จะได้รสชาติพอดี
เมื่อเทียบวิธีการกินแสนเรียบง่ายของเจ้าหมิงหมิงแล้ว เจ้าเจ๋อบิดาของนางกลับเป็นผู้เชี่ยวชาญในการกินเต้าหู้
เขาก็ชอบกินเต้าหู้คลุกเช่นเดียวกับเจ้าหมิงหมิงแต่จะใช้ใบกุยช่าย ไม่ใช้ต้นหอม
ก่อนกินทุกครั้งจะกำชับพ่อครัวว่าต้องลวกเต้าหู้ด้วยน้ำเดือดรอบหนึ่ง
เพราะการลำเลียงเต้าหูจากตีนเขาของแดนมนุษย์มาบนเขาเรียงรันนี้ต้องเปรอะเปื้อนกลิ่นดินมาไม่น้อย
การลวกจะสามารถกำจัดกลิ่นดินในเต้าหู้ได้
และยังทำให้ผิวของเต้าหู้แข็งขึ้นเล็กน้อย รสสัมผัสเวลากินจะหยุ่นและหนึบมากขึ้น
แต่ก็ห้ามลวกนานเกินไป
เพราะถ้าลวกจนสุกทั้งหมด ไม่เพียงรสสัมผัสอ่อนนุ่มของเต้าหู้จะหายไป ผิวข้างนอกก็จะยับย่น…
แค่มองก็รู้สึกเศร้าใจแล้ว ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเอามาใส่ปากกินด้วยซ้ำ
ใบกุยช่ายจะมีมากที่สุดในช่วงเปลี่ยนผ่านระหว่างฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน และหลังจากต้นฤดูใบไม้ผลิเพิ่งผ่านไป
ใบกุยช่ายในช่วงนี้จะหอมนุ่มมาก ใบอ่อนที่แตกออกมีสีเขียวสดยิ่งกว่าดอกบัวเล็กๆ ที่เพิ่งโผล่ยอดแหลมๆ เสียอีก
ใบกุยช่ายนี้ก็ต้องจัดการเช่นเดียวกับเต้าหู้ เมื่อลวกในน้ำเดือดแล้วก็ต้องตักออกทันที
พักไว้จนอุ่นๆ จึงค่อยโรยดอกเกลือข้างบนชั้นหนึ่ง หยดสุราที่หมักมานานสักสองสามหยด
รอจนเย็นสนิทก็จะหมักจนเข้าเนื้อ
เพียงแค่ซอยใบกุยช่ายแล้วโรยลงบนเต้าหู้ก็สามารถกินได้แล้ว
กินลงไปคำหนึ่งล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิ
แม้จะเป็นคนที่มีความทุกข์โศกและทอดถอนใจว่าเวลาผ่านไปเร็วนักอยู่ทุกวัน ก็ล้วนปรารถนาอย่างล้นเหลือให้ฤดูใบไม้ผลินี้หยุดอยู่นานสักหน่อย หรือไม่ก็อยากให้ฤดูใบไม้ผลิในปีหน้ามาไวสักหน่อย
………………………………………
[1] ซีอิ๊วสารท คือ ซีอิ๊วที่ทำออกมาครั้งแรกในฤดูใบไม้ผลิ ถือเป็นเครื่องปรุงชั้นดี
……….