ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 395 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-4
บทที่ 395 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-4
……….
“เร็วกว่านี้อีกได้หรือไม่!”
เจ้าหมิงหมิงตะโกนบอกเกาลัดคั่วน้ำตาล
นางรู้สึกว่ายังไม่เร็วพอ!
“เจ้าค่ะ! คุณหนูท่านนั่งดีๆ นะเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบรับคำหนึ่ง
จากนั้นแส้ก็สะบัดเสียงดังชัดหนหนึ่ง
รถม้าแล่นเร็วขึ้นมากในทันใด
“ฮ่าๆ…”
เสียงหัวเราะของเจ้าหมิงหมิงดังติดต่อกันไปนอกหน้าต่าง
ยามนี้นางเพียงต้องการไปจากเขาเรียงรันให้ยิ่งไกลยิ่งดี
“คุณหนูท่านดูสิเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยพลางชี้ไปข้างหน้า
เจ้าหมิงหมิงมองตามที่เกาลัดคั่วน้ำตาลชี้
ดวงจันทร์สีเหลืองเต็มดวงลอยอยู่ริมขอบฟ้า
คล้อยต่ำลงมา
“งดงามจริงๆ!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยอย่างสุขใจ
ภาพเช่นนี้พวกนางเคยเห็นบนเขาเรียงรันมาไม่รู้กี่หนแล้ว
แต่เมื่อสถานที่ต่างออกไป จิตใจยามชมจันทร์ก็ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ชอบแน่นอนเจ้าค่ะ! พวกเขาไม่เพียงชอบชมจันทร์ ยังเขียนเรื่องราวมากมายและบทกวีอีกหลายบทเกี่ยวกับดวงจันทร์ด้วยเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“จริงหรือ”
ดวงตาของเจ้าหมิงหมิงเป็นประกาย
“แน่นอนเจ้าค่ะ! ก่อนหน้านี้ข้าก็เคยเล่าให้คุณหนูฟัง น่าเสียดายที่คุณหนูลืมเสียแล้ว”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เช่นนั้นเจ้าก็เล่าให้ข้าฝากอีกครั้งไม่ได้หรือไร”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างไม่พอใจยิ่ง
จากนั้นเกาลัดคั่วน้ำตาลก็เล่าเรื่องฉางเอ๋อลอยสู่ดวงจันทร์ที่เล่าขานกันอย่างกว้างขวางในแดนมนุษย์ให้เจ้าหมิงหมิงฟังใหม่อีกรอบหนึ่ง
เจ้าหมิงหมิงฟังอย่างเคลิบเคลิ้ม กระทั่งเกาลัดคั่วน้ำตาลเล่าจบนานแล้วนางก็ยังไม่พูดสิ่งใด
“คุณหนู?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกว่าข้างหลังช่างเงียบงันนัก
จึงลองเอ่ยถามดู
“เรื่องนี้สนุกจริงๆ…เจ้าเชื่อหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ข้าไม่เชื่อ…นี่เป็นเรื่องโกหกทั้งเพ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ข้าเชื่อ! ต่อให้คนผู้นั้นไม่ได้มีนามว่าฉางเอ๋อ ก็จะต้องมีมนุษย์ที่ทำเรื่องดังว่าได้! แม้จินตนาการของมนุษย์จะล้ำเลิศแต่ไม่มีทางแต่งขึ้นโดยไร้สิ่งอ้างอิง ต้องเคยมีเรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นมาก่อนจึงสามารถแต่งเรื่องที่อัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ดวงจันทร์ในแดนมนุษย์งดงามกว่าบนเขาเรียงรัน! ข้ารู้สึกว่ามันกลมกว่ามาก!”
สองมือเจ้าหมิงหมิงเท้าคางพลางเอ่ย
“ดวงจันทร์เป็นเช่นนี้มาแต่โบราณแล้ว ไหนเลยจะเปลี่ยนแปลง…คุณหนูใช้อัตวิสัยเกินไปแล้วเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“อัตวิสัย? เจ้าเรียนรู้คำนี้มาตั้งแต่เมื่อไร”
เจ้าหมิงหมิงถามอย่างประหลาดใจ
เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับไม่ตอบ
แต่นางรู้สึกปลาบปลื้มอยู่ในใจ
สามารถทำให้คุณหนูรู้สึกตกใจเพราะตนได้ก็เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้มไม่ใช่หรือ
“คนที่บอกว่าข้าใช้อัตวิสัยเป็นคนที่ไม่เข้าใจเรื่องอารมณ์สุนทรีย์! แม้ดวงจันทร์จะมีเพียงหนึ่ง แต่เมื่อข้ามองจันทร์ย่อมต่างกับผู้อื่น”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวต่อ
“เจ้าค่ะ…เช่นนั้นข้าก็เป็นคนไม่มีอารมณ์สุนทรีย์”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยพลางยักไหล่
นางไม่รู้ว่าอารมณ์สุนทรีย์มีความหมายว่าอย่างไร
แต่เมื่อคุณหนูว่ามาดังนี้ ตนว่าตามนางก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ
ไม่มีสิ่งใดให้ลำบากใจ
“ทว่าดวงจันทร์นี้นับแต่พรุ่งนี้ไปก็จะเล็กลงเรื่อยๆ…ไม่ว่าจะมีอารมณ์สุนทรีย์หรือไม่ก็ไร้ประโยชน์…”
เจ้าหมิงหมิงพึมพำกับตนเอง
จู่ๆ นางก็รู้สึกเศร้าใจขึ้นมา
จากนั้นก็สัมผัสได้ถึงความปวดร้าวใจ
นางโผล่หัวออกจากหน้าต่างรถเพื่อมองเขาเรียงรันที่อยู่ข้างหลัง
ความรู้สึกปวดใจนี้กลายเป็นความว้าวุ่นใจ…
แม้หน้าต่างรถจะเปิดกว้าง
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับอึดอัดจนหายใจไม่ออก
หากกลับไปยามนี้ ไม่ใช่ว่านางจะถูกหัวเราะเยาะเอาหรอกหรือ
ยากเป็นผู้ผ่านทาง ทั้งไม่เป็นผู้กลับเรือน….
เดิมทีที่เจ้าหมิงหมิงมาแดนมนุษย์เพียงอยากเป็นผู้ผ่านทางที่สง่าผ่าเผยสักหน
เมื่อท่องเที่ยวในแดนมนุษย์จนทั่วแล้วจึงค่อยกลับไปเป็นผู้กลับเรือนก็ยังทัน
ทัศนียภาพงดงามในแต่ละแห่งของแดนมนุษย์
ในเวลาเดียวกันก็จะมีทัศนียภาพอื่นๆ ในที่แห่งอื่นอีก
ก็เหมือนดวงจันทร์ที่สลับกันเต็มดวงและเป็นจันทร์เสี้ยว
ระหว่างทางเกิดความผันผวนหลายครั้งจึงจะสามารถไปถึงปลายทางได้
ยามหันกลับไปมองอีกครา ภาพนั้นยังคงอยู่ที่เดิม?
หาไม่
นึกเอาเองว่าหลอมรวมกับแดนมนุษย์แล้ว จวบจนยามจะจากไปถึงเพิ่งตระหนักว่าเป็นเพียงผู้ผ่านทางเท่านั้น
ท่องให้ทั่วแดนมนุษย์หาใช่เรื่องยากเย็น เรียกได้ว่าง่ายดายนัก
ก็เป็นเช่นที่เจ้าเจ๋อกล่าว มีเงินทองเป็นพอแล้ว
แต่ที่แท้แล้วระหว่างทางจะเป็นเพียงการขี่ม้าชมผกาและจากไปอย่างรวดเร็ว หรือควรชมวิหคร่ำและบุปผาหอมหวนอย่างตั้งใจเล่า
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรืออสูร
นับเป็นเรื่องโชคดีอย่างยิ่งที่ดำรงอยู่ระหว่างฟ้าดินแห่งนี้อย่างมีสติ นี่ย่อมไม่ใช่ความบังเอิญ
เรื่องใดหากไม่ใช่ความบังเอิญ เช่นนั้นก็จะต้องเป็นบุญกุศลหรือผลกรรม
อสูรทุกตนล้วนเข้าใจหลักการนี้อย่างลึกซึ้ง
เจ้าหมิงหมิงเองก็เข้าใจเช่นกัน
แต่จู่ๆ นางก็หิวขึ้นมา
พร้อมกับเสียงไก่ขันดังขึ้น ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว
เดินทางอย่างเร่งรีบมาทั้งคืน ทั้งสองคนไม่เพียงไม่ง่วงเหงาหาวนอนแต่กลับกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง
ความรู้สึกตลอดทางราวกับเป็นคำสาปอย่างหนึ่ง
เมื่อใดที่ต้องคำสาปนี้แล้วก็จะไม่อาจถอนตัวได้อีกต่อไป
เจ้าหมิงหมิงได้ยินเสียงจ๊อกๆ ดังขึ้น
“มีไก่ที่ขันเช่นนี้ด้วย แปลกจริง…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“คุณหนูเจ้าคะ นี่ไม่ใช่เสียงไก่ขันเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยพลางหัวเราะเสียงดัง
“เช่นนั้นมันคือเสียงใด ฟังแล้วคล้ายเสียงนกพิราบ…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ไม่ใช่ไก่และไม่ใช่นกพิราบ แต่เป็นท้องคุณหนูเองเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยขณะตบหนังท้องของตนเอง
“ท้องข้า? เหตุใดท้องข้าจึงร้องได้ด้วย…”
เจ้าหมิงหมิงไม่เชื่อ
นางไม่เคยรู้สึกหิวมาก่อน
คนที่ไม่เคยหิวมาก่อนจะรู้ได้อย่างไรว่าเวลาหิวท้องจะร้องจ๊อกๆ เช่นนี้
ยังไม่ทันสิ้นเสียงของเกาลัดคั่วน้ำตาล ท้องของนางเองก็ร้องขึ้นมาเช่นกัน
“เช่นนั้นก็คงเป็นเพราะหิวจริงๆ…มีสิ่งใดกินบ้าง”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“คุณหนูอยากกินสิ่งใดเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ข้าอยากกินของว่าง ดีที่สุดก็ไข่มุกกรอบห้าหงส์!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
นางเอนตัวไปข้างหลังของตัวรถ
นางหิวจนไม่มีแรงแล้ว…
“ของกินเล่นเช่นนี้ นอกจากกลับไปที่เรือนแล้ว คาดว่ามีเพียงในเมืองต่างๆ ของห้าอ๋องจึงจะหากินได้เจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เมืองอ๋องที่อยู่ใกล้ที่สุดไกลเท่าใด เป็นเมืองใดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
กลับเรือนนั้นไม่มีทางเป็นไปได้
ต่อให้หิวอีกสักเท่าใดก็จะไม่กลับไป
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีตั๋วเงินมากมาย
จึงไม่จำเป็นต้องกลับเรือนแต่อย่างใด
“ที่ที่ใกล้ที่สุดคือเมืองติ้งซีอ๋องในอาณาจักรติ้งซีอ๋อง แต่จากที่ที่พวกเราอยู่เวลานี้เกรงว่าจะต้องเดินทางอีกหลายวันหลายคืนเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เช่นนั้นไปถึงเมืองติ้งซีอ๋อง พวกเราก็ไม่ต้องกินแล้ว”
“เพราะเหตุใดหรือเจ้าคะคุณหนู”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอี้ยวตัวกลับมาถาม
“เพราะพวกเราคงหิวตายไปก่อนแล้ว…จำไว้ว่าก่อนจะหิวตายต้องเขียนใส่กระดาษเล็กๆ เอาไว้ หากพวกมนุษย์พบร่างของพวกเราและเห็นว่าในรถม้ามีตั๋วเงินตั้งมากมายจะได้ช่วยจัดการศพให้พวกเราสองคนด้วย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เหตุใดตอนอยู่บนเขาเรียงรันจึงไม่เห็นว่าคุณหนูมีความสามารถเยี่ยงนี้ด้วย”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ความสามารถใด ความสามารถในการหิวตายหรือ ข้ามีเจ้าก็มีเช่นกัน!
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“พวกเราต้องไม่ให้ตนเองหิวตายเป็นแน่…ความสามารถที่ข้าเอ่ยถึงก็คือคุณหนูมีความสามารถในการแต่งเรื่องและพูดประชดเช่นนี้ต่างหากเจ้าค่ะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
เจ้าหมิงหมิงนิ่งเงียบไปทันใด
ตัวนางเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าตนกลายเป็นคนร่าเริงขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวและยังพูดมากเช่นนี้อีกด้วย
ทว่านางกลับคิดออกในพริบตานั้น
ว่าเป็นเพราะนางเพิ่งออกเดินทาง
ไม่ว่าด้านร่างกาย ความคิดหรือจิตวิญญาณล้วนต้องการกระบวนการปลดปล่อยและปรับตัว
ในระหว่างกระบวนการนี้ไม่ว่าจะเกินจริงเพียงใดก็ไม่เป็นไร
เพราะทุกคนก็ต้องเป็นเช่นนี้ทั้งสิ้น
ไม่ว่าผู้ใดล้วนต้องมีเส้นกั้นเส้นนี้
“แถวนี้มีที่ใดให้กินอาหารบ้างหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
และปรับน้ำเสียงและสภาพจิตใจให้สงบลงเล็กน้อย
“หากเป็นยามนี้ต้องไม่มีเป็นแน่…ต่อให้เป็นมนุษย์ที่ตื่นเช้าอีกสักเท่าใดก็ต้องรอให้ได้ยินเสียงไก่ขันก่อนจึงจะตื่น ยามนี้ไก่เพิ่งจะขัน พวกเขาคงเพิ่งตื่นและแต่งเนื้อแต่งตัวอยู่กระมังเจ้าคะ หลังจากนั้นค่อยไปก่อไฟหุงหาอาหาร กว่าจะรอให้ข้าวสุกอย่างน้อยก็ยังอีกหนึ่งหรือสองชั่วยามเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เจ้าหมายถึงข้าวใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“ข้าหมายถึงข้าวที่คุณหนูกินในยามปกติเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ไม่เอาๆ หาของเล็กน้อยกินเป็นพอ!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวทั้งโบกไม้โบกมือ
แม้ก่อนเดินทางหนึ่งวันนางก็เคยกำชับเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วว่าให้นำของกินติดตัวมาด้วยมากหน่อย
ทว่านับตั้งแต่บิดาของนางซึ่งเจ้าหมิงหมิงเรียกว่าตาเฒ่าให้ตั๋วเงินมามากมาย เจ้าหมิงหมิงกลับคิดว่าอย่าทำการครึ่งๆ กลางๆ จึงไม่นำสิ่งใดมาด้วยเสียเลย
ลงจากเขาเรียงรันด้วยมือเปล่าเช่นนี้
คิดดูยามนี้ ต่อให้เอาเนื้อแห้งมาด้วยหนึ่งชิ้นก็ยังดีกว่าไม่มีเลย!
“คุณหนูเจ้าคะ ข้าเหมือนได้กลิ่นบางอย่างเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลขยับปีกจมูกเต็มแรงพลางเอ่ย
“กลิ่นใดหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถามด้วยความหวังเปี่ยมล้น
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เป็นกลิ่นหอมของเนื้อหรือ”
เจ้าหมิงหมิงจับหัวไหล่เกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วเอ่ยถาม
ตนก็เริ่มได้กลิ่นแล้วเช่นกัน
อสูรแปลงกายแม้จะดูเหมือนมนุษย์ทุกประการ
แต่พรสวรรค์ในสายเลือดยังคงรักษาเอาไว้ได้ทั้งหมด
“ไม่ใช่กลิ่นหอมของเนื้อ…แต่หอมมากจริงๆ!”
เจ้าหมิงหมิงได้กลิ่นหอมนี้เช่นกัน
“ทางทิศนั้น พวกเรารีบไปเถิด!”
นางชูมือขึ้น นิ้วเรียวยาวชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพลางเอ่ย
รถม้ามุ่งหน้าไปสิบกว่าลี้อย่างรวดเร็ว เกาลัดคั่วน้ำตาลจับบังเหียนแน่น
“คุณหนูทางนั้นมีมนุษย์…มนุษย์ตั้งมากมายเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยอย่างตื่นเต้น
“เจ้ากลัวอันใด! พวกเราก็เป็นมนุษย์เช่นกัน! ไม่มีผู้ใดมองออก!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางตบไหล่นาง
“เช่นนั้น…พวกเราไปที่นั่น?”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ก็ต้องไปสิ! ตอนนี้เราสอง ‘คน’ หิวแล้วนี่ ก็เหมือนกับพวกเขาล้วนต้องกินอาหารเช่นกัน!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เพียงแต่ยามกล่าวคำว่า ‘คน’ กลับติดอ่างเล็กน้อย
ขอเพียงเป็นที่ที่มีมนุษย์จะต้องมีของกิน มีเงินก็ซื้อของกินได้ จุดนี้เป็นเรื่องจริงไม่ผิดเพี้ยน
………………………………………
……….