ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 394 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-3
บทที่ 394 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-3
……….
“เจ้าว่าข้างนอกน่าชมหรือไม่ แดนมนุษย์กว้างใหญ่ไพศาลเช่นเดียวกับที่เขียนไว้ในหนังสือจริงหรือ โดยเฉพาะแดนพายัพต่างกับดินแดนทางใต้มากเพียงนั้นจริงหรือ ว่ากันว่ายามที่แดนพายัพยังมีแต่หิมะปกคลุม ทางใต้กลับเต็มไปด้วยมวลบุปผาสีม่วงนับหมื่นสีชาดนับพัน ผกาลานตาดั่งผ้าปัก พวกเรามีชีวิตอยู่อย่างน่าเบื่อหน่ายเช่นนี้ หากไม่ไปท่องในแดนมนุษย์เปิดหูเปิดตาดูสักคราว ชาตินี้ก็เกิดมาเสียเปล่าโดยแท้แล้ว…”
เจ้าหมิงหมิงถอนหายใจและพึมพำออกมา
เกาลัดคั่วน้ำตาลกำลังใจลอย
ทั้งความคิดและจิตใจของนางราวกับอยู่ในดินแดนเห่งฝันตามคำบอกเล่า
ความจริงแล้วนางอยากออกไปมากกว่าเจ้าหมิงหมิงคุณหนูของตนเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นแดนพายัพที่น้ำแข็งปกคลุมนับพันลี้ หิมะปลิดปลิวหมื่นลี้ หรือแดนใต้ที่มีสะพานน้อยใหญ่ธาราไหลริน ฝนปรอย อ่าวลึก นางล้วนอยากไปดูทั้งสิ้น
คิดๆ ไปก็กลับหัวเราะออกมา
แม้จะไม่มีเสียง แต่ก็ไม่อาจหลบพ้นสายตาของเจ้าหมิงหมิงไปได้
“คิดสิ่งใดอยู่ถึงยิ้มหวานเพียงนี้”
เจ้าหมิงหมิงถาม
“คุณหนูท่านรู้หรือไม่ว่าในแดนมนุษย์มีเรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจที่แปลงกลายเป็นมนุษย์มากมายนัก”
เกาลัดคั่วน้ำตาลพลันเอ่ยขึ้นมา
“ปีศาจ? ปีศาจคือสิ่งใด”
เจ้าหมิงหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวอย่างงุนงง
“ข้าเองก็ไม่รู้ว่าปีศาจคือสิ่งใด…แต่เรื่องเหล่านั้นส่วนใหญ่ล้วนบอกว่าคนที่บำเพ็ญตนจะกลายเป็นเซียน แต่หากสัตว์บำเพ็ญเพียรก็จะเป็นได้แค่ปีศาจ ดังนั้นปีศาจที่ว่านั้นเกรงว่าจะหมายถึงพวกเราเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวยิ้มๆ
“พวกเราเป็นอสูร ไม่ใช่ปีศาจ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างไม่พอใจ
แม้นางจะไม่รู้ว่าในแดนมนุษย์คำว่าปีศาจหมายถึงสิ่งใด แต่เมื่อฟังไปแล้วก็รู้สึกประหลาดและไม่ค่อยสบายใจนัก
“เช่นนั้น…แดนมนุษย์มีเรื่องเล่าเช่นใดเกี่ยวกับปีศาจบ้าง”
เจ้าหมิงหมิงยังคงไม่อาจสะกดความอยากรู้อยากเห็นของตนได้จึงถามต่อ
“คุณหนูอยากฟังจริงๆ หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเลิกคิ้วขยิบตาพลางเอ่ย
“ข้าก็ถามแล้ว ยังจะไม่จริงได้หรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“ฮ่าๆ เรื่องที่เกี่ยวกับปีศาจ นอกจากเรื่องเกี่ยวกับการฉกชิงสิ่งของและกินคนแล้วก็ล้วนเกี่ยวกับ…เกี่ยวกับ…”
จู่ๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลก็หยุดพูดแล้วอึกๆ อักๆ
“เกี่ยวกับสิ่งใด”
เจ้าหมิงหมิงกลับเริ่มร้อนใจขึ้นมา
“เกี่ยวกับเรื่องระหว่างชายหญิง…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ย
แต่กลับหน้าแดงขึ้นมาทันใด
ก่อนวิ่งไปบนเตียงในห้อง เอาหัวมุดใต้หมอน
เจ้าหมิงหมิงวิ่งตามไปดู เห็นว่านางหูแดงไปหมด!
แม่นางในวัยนี้มีผู้ใดบ้างเล่าที่ไม่ชื่นชอบจินตนาการ
เจ้าหมิงหมิงอยากจะพูดกระเซ้าเกาลัดคั่วน้ำตาลสักหน่อย แต่คิดว่าหากตนเองเห็นเรื่องราวเหล่านั้น ไม่แน่ว่าอาจแสดงออกยิ่งกว่านางเสียอีก…
“รีบลุกขึ้นมา! เก็บข้าวของ!”
“เก็บของ? เก็บของใดเจ้าคะ เก็บทำสิ่งใดเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“ให้เจ้าเก็บเจ้าก็เก็บเถิด ข้าจะไปหาท่านพ่อสักหน!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
จากนั้นก็ลอยไปหน้าประตูราวกับสายลม
“ต้องเก็บสิ่งใดบ้างเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามพลางดึงแขนเสื้อเจ้าหมิงหมิงเอาไว้ในอึดใจสุดท้ายก่อนนางจะออกไปจากประตูห้อง
“ของสวมใส่และของใช้ในห้องนี้ล้วนเอาไปด้วยทั้งหมด นอกจากนั้นก็เอาของที่จัดเก็บได้ง่ายไปด้วยอีกสักเล็กน้อย”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“นำไปทั้งหมด? เกรงว่าอาจต้องใส่ไว้ในหีบใหญ่สักสิบกว่าหีบเจ้าค่ะ…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยทั้งเบ้ปาก
“ต่อให้ยี่สิบหีบใหญ่ก็ต้องเก็บไปให้หมด!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลเห็นว่าคุณหนูมีท่าทีแน่วแน่เพียงนี้ จึงทำได้แค่พยักหน้าและเริ่มเก็บของ
นึกไม่ถึงว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลยังไม่เก็บสักหีบ เจ้าหมิงหมิงก็กลับมาแล้ว
“คุณหนู ท่าน…”
เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกว่าวันนี้เจ้าหมิงหมิงค่อนข้างแปลกไปจากปกติ
ไม่รู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่ในใจกันแน่
“ไม่ต้องเก็บแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยอย่างดีใจ
“ไม่เก็บแล้ว?”
“ไม่ต้องเก็บแล้ว! แต่ต้องจดของที่มีในห้องนี้เอาไว้ทั้งหมด เมื่อพวกเราต้องการระหว่างทางก็ไปซื้อเอา!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
ก่อนโยนตั๋วเงินปึกหนาๆ ปึกหนึ่งลงบนโต๊ะ
แม้เกาลัดคั่วน้ำตาลจะเป็นคนลวกๆ แต่ก็ไม่ใช่คนโง่
เห็นได้ชัดว่าคำว่า ‘ระหว่างทาง’ นี้สร้างความสั่นสะเทือนใหญ่หลวงในใจนาง
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเรา…จะออกเดินทาง?!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามทั้งเบิกตาโต
“ใช่แล้ว ออกเดินทาง!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“นายท่านอนุญาตแล้วหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“เขาจะไม่อนุญาตได้หรือ”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางหัวเราะเบาๆ
ตั๋วเงินที่โยนลงบนโต๊ะเมื่อครู่นี้ก็เป็นเจ้าเจ๋อบิดาของนางมอบให้มา
เจ้าเจ๋อรู้ว่าตนไม่มีทางทัดทานบุตรสาวของตนผู้นี้ได้ ไม่ว่านางขอสิ่งใดก็ตอบรับไปก่อนเป็นดี
เรื่องอื่นๆ นอกนั้นตนเองค่อยไปจัดการ
เป็นถึงเจ้าหุบเขาเรียงรัน หาใช่คนที่จะถูกข่มเหงได้
ทว่าเจ้าเจ๋อกลับบอกเรื่องที่เกินความจำเป็นกับเจ้าหมิงหมิงไปประโยคหนึ่ง
นั่นคือไม่ว่าจะไปแห่งใดจะต้องไปพักที่ ‘โรงเตี๊ยมพูนโชค’
หากเกิดอันตรายที่ตัวนางไม่อาจจัดการได้เอง ก็จะต้องพยายามหาหนทางกลับมายัง ‘โรงเตี๊ยมพูนโชค’ ให้จงได้
แม้เจ้าหมิงหมิงจะไม่รู้ว่าโรงเตี๊ยมพูนโชคคือสิ่งใด แต่เมื่อบิดาของตนกำชับหนักแน่นเพียงนี้ นางก็ยังจดจำไว้ในใจ
เจ้าเจ๋อเห็นว่าบุตรสาวของตนพยักหน้ารับก็เบาใจลง
จากนั้นก็ส่งตั๋วเงินให้นางและยังหยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นหนังสือ
หนังสือเล่มนี้ไม่มีชื่อและหน้าปก
ครึ่งเล่มแรกเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมืองและผู้คนในอาณาจักรห้าอ๋องแห่งแดนมนุษย์
ครึ่งเล่มหลังเกี่ยวกับข้อตกลงลับมากมายระหว่างเก้าบรรพตกับอาณาจักรห้าอ๋อง
ด้วยชาติกำเนิดของเจ้าหมิงหมิงย่อมเข้าใจเรื่องทั้งหมดได้
ทว่าตามแผนการแต่เดิมของเจ้าเจ๋อนั้นควรจะช้ากว่านี้อีกหลายปี
ทุกปีเก้าบรรพตจะส่งศิษย์ออกไปท่องแดนมนุษย์
หนึ่งเพื่อทำตามข้อตกลง ในเวลาเดียวกันก็นับได้ว่าเป็นกำลังให้ด้วย
เหล่าอสูรแห่งเก้าบรรพตที่เข้าไปสู่แดนมนุษย์พร้อมกันจะสามารถดูแลซึ่งกันและกันได้
แต่ตอนที่เจ้าหมิงหมิงบอกว่าอยากออกไปท่องแดนมนุษย์นั้นกลับเข้าตาจน…
กลุ่มก่อนหน้านี้เข้าไปในแดนมนุษย์หลายเดือนแล้ว ส่วนกลุ่มถัดไปยังต้องรออีกเกือบครึ่งปี
ด้วยความจนใจ เจ้าเจ๋อจึงได้แต่ให้บุตรสาวของตนใช้อภิสิทธิ์แห่งผู้นำเผ่า
ด้วยการบันทึกชื่อนางลงในบันทึกรายนามศิษย์แห่งเก้าบรรพตที่เข้าสู่แดนมนุษย์ในชุดก่อน
เมื่อเป็นดังนี้ ก็นับว่าได้มอบฐานะที่ถูกต้องในการเข้าไปในแดนมนุษย์แก่นาง
หากเกิดเหตุเกินคาด เพียงนางแสดงฐานะบุตรสาวของเจ้าหุบเขาเรียงรัน ตามข้อตกลงแล้ว ห้าอ๋องจะต้องออกหน้ามาช่วยเหลือและปกป้อง
“แต่ว่าเมื่อต้องออกเดินทาง ก็ต้องเก็บข้าวของไม่ใช่หรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“ท่านพ่อให้พวกเราเดินทางอย่างเรียบง่าย มีพวกเราเพียงสองคนแล้วจะนำสิ่งของไปตั้งมากมายได้อย่างไร ฉะนั้นข้าจึงบอกว่าซื้อเอาก็พอแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางส่ายหน้า
“แต่คุณหนูจะคุ้นชินกับของเหล่านั้นหรือเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลยังกังวลอยู่เล็กน้อย
“คุ้นสิคุ้น…ของเหล่านี้ก็ซื้อมาไม่ใช่หรือ ท่านพ่อบอกว่าสิ่งสำคัญที่สุดในแดนมนุษย์ก็คือเงิน ขอเพียงมีเงินไม่ว่าเรื่องใดก็จัดการได้ทั้งหมด!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“เช่นนั้นพวกเราจะออกเดินทางเมื่อใดเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“เดี๋ยวนี้!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลเพิ่งเคยเห็นคุณหนูทำการรวดเร็วและเด็ดเดี่ยวเช่นนี้เป็นครั้งแรก
แม้ว่าปกติตอนที่อยู่ในเผ่า เจ้าหมิงหมิงจะเรียบร้อยสงบเสงี่ยมตลอดเวลา
แต่มีเพียงเกาลัดคั่วน้ำตาลเท่านั้นที่รู้ว่านิสัยที่แท้จริงของเจ้าหมิงหมิงกลับเกียจคร้านเป็นที่สุด
ปกติแล้วหากไม่มีเรื่องใด นางก็สามารถนั่งอยู่บนเก้าอี้เอนหลังได้ทั้งวัน
ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
นั่งๆ ไปก็จะนอนหลับ
เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วก็เหยียดแขน แต่ยังคงไม่ลุกขึ้นมา
แม้แต่อารมณ์ของเจ้าหมิงหมิงก็ยังตรงข้ามกับนิสัยของนางโดยสิ้นเชิง
เรื่องที่นางต้องการทำจะต้องทำทันที ยิ่งไปกว่านั้นต้องทำให้สำเร็จด้วย
บางครั้งพริบตาก่อนกำลังแง่งอนบางเรื่อง แต่พอพริบตาต่อมาได้ตามใจตนต้องการแล้วก็จะลืมเรื่องที่ไม่พอใจไปจนหมดสิ้น
นี่เป็นการเดินทางไปข้างนอกครั้งแรกของเจ้าหมิงหมิง
เป็นครั้งแรกที่จะออกเดินทางไกลจากเขาเรียงรัน
อีกทั้งไม่มีจุดหมายปลายทาง
เพราะปลายทางของนางก็คือแดนมนุษย์
แดนมนุษย์มีสถานที่มากมาย ทะเลบูรพาและทะเลทรายทางใต้อยู่ห่างจากเขาเรียงรันมากที่สุด ต้องเดินทางหลายเดือนจึงจะไปถึง
แต่แดนมนุษย์ที่อยู่ใกล้ที่สุด เมื่อลงจากเขาเรียงรันก็ถึงแล้ว
แม้จะวางแผนเอาไว้ดิบดี
แต่กว่าพวกนางจะออกเดินทางจริงๆ ก็เป็นเวลาเย็นของวันต่อมา
สำหรับสตรีแล้ว การพิรี้พิไรเหมือนจะเป็นพฤติกรรมจากสัญชาตญาณ…
ครั้งอยู่อย่างสงบบนเขาเรียงรันก็มักรู้สึกว่าน่าเบื่อยิ่งนัก ต้องการค้นหาความแปลกใหม่และความตื่นเต้นสักเล็กน้อย
แต่เมื่อนางต้องไปจากสภาพที่คุ้นเคยจริงๆ แล้ว ก็กลับอาลัยอาวรณ์ขึ้นมา
สาเหตุที่วันก่อนไม่ได้ออกเดินทางก็เป็นเพราะเจ้าหมิงหมิงบอกว่านางอยากนอนบนเตียงของตนเองอีกสักตื่น
เพราะไม่รู้ว่าเตียงในแดนมนุษย์นั้นจะนอนสบายเหมือนเตียงของตนเองหรือไม่
ความจริงแล้วก่อนที่เหล่าอสูรจะกลายร่างเป็นมนุษย์จะเคยนอนบนเตียงได้อย่างไร
เตียงนี่ก็นำมาจากแดนมนุษย์
แต่ว่าของของตนเองย่อมดีที่สุด
ไม่ว่าเรื่องใดๆ ต่อให้ผู้อื่นชื่นชอบยิ่งนัก แต่หากเจ้าหมิงหมิงคิดว่าน่าเบื่อ มันก็ย่อมน่าเบื่อ
แม้ดูไปแล้ว นางจะเป็นคนที่รู้ความและมีเหตุผล แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังเป็นคุณหนูใหญ่อยู่ดี
คุณหนูใหญ่จะไม่มีกิริยาเช่นคุณหนูใหญ่ได้อย่างไร
ย่อมต้องมีเป็นแน่แท้
หาไม่แล้ว…หาไม่แล้ว ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนของปลอม
ในโลกหล้านี้ย่อมไม่มีคนร่ำรวยที่เรียนรู้จากผู้อื่น หรือลูกหลานตระกูลใหญ่ที่ไม่วางท่า
หากคนร่ำรวยมัธยัสถ์ นั่นเป็นเพียงผิวเผินเท่านั้น
พวกเขาไม่ต้องการให้คนยากจนริษยา แต่ก็อยากทำสิ่งแปลกใหม่ท่ามกลางผู้คนที่มั่งคั่ง
ด้วยเหตุนี้ จึงหาแนวทางสร้างความแตกต่างด้วยคำว่า ‘มัธยัสถ์’
ที่ทำไปก็เป็นเพียงผักชีโรยหน้าเท่านั้น
เมื่อปิดประตูลงจะฟุ่มเฟือยเท่าใด ผู้อื่นย่อมมองไม่เห็นและไม่อาจรู้
วันรุ่งขึ้น เมื่อพวกนางทั้งสองคนลงจากเขาเรียงรัน ท้องฟ้าก็มืดเสียแล้ว
ดาราเต็มฟากฟ้า
จันทร์จ้ากลางเวหา
แม้อากาศจะค่อนข้างหนาวและแห้ง แต่สำหรับเจ้าหมิงหมิงแล้วนี่กลับไม่ใช่สิ่งที่นางต้องไปสนใจ
แม้อสูรจะสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้
แต่ร่างที่แท้จริงของพวกนางกลับเกินกว่าที่มนุษย์จะเทียบเทียมได้
เจ้าหมิงหมิงนั่งอยู่ในรถม้า ส่วนเกาลัดคั่วน้ำตาลนั่งอยู่ข้างหน้าคอยบังคับม้า
แม้รถม้านี้จะเรียบง่าย ทว่าสร้างขึ้นด้วยฝีมือที่ประณีตเป็นที่สุด
เมื่อเจ้าเจ๋อรู้ว่าบุตรสาวของตนจะออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นจึงสั่งให้เร่งมือทำทั้งคืน
หน้าต่างรถเปิดอยู่
เกาลัดคั่วน้ำตาลควบม้าห้อตะบึง
ผ่านทิวทัศน์ข้างทางไปอย่างรวดเร็ว
ลมหนาวปะทะใบหน้าของเจ้าหมิงหมิง นางรู้สึกสบายจนต้องหลับตาลง
นางใช้ชีวิตบนเขาเรียงรันราวกับอยู่บนหิ้ง
เวลานี้จึงเหมือนกับนกน้อยที่ออกจากกรง
แม้ไม่เคยพยายามกระพือปีกของตนอย่างเต็มแรงมาก่อน แต่ก็ยังคงใคร่รู้กับทุกสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเต็มเปี่ยม
………………………………………
……….