ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 393 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-2
บทที่ 393 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-2
……….
เพียงไม่นานน้ำบ๊วยเปรี้ยวที่เพิ่งต้มเสร็จไม่นานถ้วยนี้ก็เย็นลงแล้ว
บนผิวของน้ำบ๊วยยังจับตัวเป็นชั้นย่นๆ บางๆ ชั้นหนึ่งด้วย
ในเวลานั้นเอง เจ้าหมิงหมิงจึงย่อตัวลงข้างถ้วยและสูดหายใจแรงๆ ครั้งหนึ่ง!
น้ำบ๊วยเปรี้ยวถ้วยนี้ก็ลงท้องนางทั้งหมด!
หากมีมนุษย์ยืนมองวิธีดื่มน้ำที่แสนประหลาดนี้อยู่ข้างๆ คงต้องประหลาดใจเป็นแน่
แต่เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับมีสีหน้านิ่งเฉย
เพราะนางเห็นจนชินแล้ว
คุณหนูเป็นคนที่พิถีพิถันยิ่งนัก
ไม่ใช่แค่เรื่องการแต่งกายหรือที่พักอาศัยเท่านั้น แต่ยังพิถีพิถันเรื่องการกินด้วย
วิธีดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวนี้ใช้พลังพิเศษเหนือธรรมชาติของเผ่าจิ้งจอก
แต่ช่วงเวลาในการดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยว เจ้าหมิงลองผิดลองถูกเองหลายต่อหลายครั้ง
มีเพียงยามผิวของน้ำบ๊วยเปรี้ยวเกิดรอยย่นเล็กน้อยเท่านั้น จึงจะเป็นช่วงที่มีรสสัมผัสดีที่สุด!
ในเวลานั้น เจ้าหมิงหมิงค่อนข้างทะนงตน
เพราะอย่างน้อยภายในเผ่าก็ไม่มีใครกล้าปฏิเสธนาง
ขอเพียงคุณหนูใหญ่ผู้นี้ชื่นชอบ ไม่ว่าสิ่งใดก็ดีทั้งสิ้น!
หลังจากเจ้าหมิงหมิงคุ้นเคยกับร่างของมนุษย์แล้ว เวลาที่นางเดินอยู่ภายในเผ่าก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
มีเพียงในงานพิธีใหญ่โตและสำคัญ นางจึงจะไปโผล่หน้าโผล่ตาให้เห็นบ้างพอเป็นพิธี
แต่ก็ดีที่บิดาของเจ้าหมิงหมิงผู้เป็นหัวเหน้าเผ่าตามใจคุณหนูผู้สูงศักดิ์เช่นนางอย่างยิ่ง
ต่อให้นางต้องการผลของต้นเอ้าเสวี่ยโหวที่อยู่ในสวนของฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่าในเมืองหลวง เขาก็จะไม่ลำบากใจแต่อย่างใด
แต่เผ่าของนางก็เป็นผู้นำเผ่าจิ้งจอกหนึ่งในเก้าบรรพตแห่งใต้หล้า!
แม้ไม่เคยมีใครนับออกมาจริงๆ ว่ามนุษย์มีจำนวนมากกว่าจิ้งจอกหรือไม่
แต่มนุษย์ย่อมมีไม่มากเท่าอสูรแห่งเก้าบรรพตรวมกันเป็นแน่
ฉะนั้น แต่ไรมาบิดาของเจ้าหมิงหมิงจึงไม่เคยมีความกังวลใดๆ
แม้แต่นามของเขาก็ยังให้เจ้าหมิงหมิงเป็นคนตั้งให้
นามว่าเจ้าเจ๋อ
ตามหลักแล้ว ล้วนเป็นบิดาที่ตั้งชื่อให้บุตร
แต่เจ้าหมิงหมิงกลับเป็นคนตั้งชื่อให้บิดาตน…
หากทำเรื่องเช่นนี้ในแดนมนุษย์ ย่อมเป็นการกระทำที่ไร้ความเคารพอย่างยิ่ง…
เพียงแต่เจ้าเจ๋อเห็นบุตรีของตนผู้นี้สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดก็เท่านั้น
เมื่อดื่มน้ำบ๊วยเปรี้ยวหมดแล้ว เจ้าหมิงหมิงก็กลับไปนั่งบนเก้าอี้เอนหลังอีกครั้ง
เกาลัดคั่วน้ำตาลถือถ้วยเปล่าและอ่างน้ำแข็งออกไป
“ให้พวกเขาทำก็พอแล้ว!”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยขณะมองแผ่นหลังของเกาลัดคั่วน้ำตาล
ตอนนั้นเกาลัดคั่วน้ำตาลก็ยังไม่ได้ชื่อว่าเกาลัดคั่วน้ำตาล
แต่เจ้าหมิงหมิงก็ไม่เคยเรียกชื่อของนางมาก่อน
เพราะเกาลัดคั่วน้ำตาลเป็นสาวใช้ข้างกายนาง ตามติดนางเป็นเงา
หากเป็นเช่นนี้แล้วยังต้องเรียกชื่ออีกก็ดูห่างเหินเกินไป…
ทว่าแม้สองคนนี้จะดูเป็นนายกับบ่าว แต่ความจริงกลับเป็นสหายที่ดีที่สุด
อย่างน้อยในเผ่าของเจ้าหมิงหมิง นอกจากเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่นางสามารถแลกเปลี่ยนความในใจได้
บิดาของตนแม้จะตามใจนางทุกอย่าง ทว่าเมื่อบิดาและบุตรสาวอยู่ด้วยกันกลับพูดจากันน้อยนัก
ทั้งกิริยาและวาจาล้วนต้องภูมิฐาน อยู่ในระเบียบหลักเกณฑ์…
ทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกเบื่อหน่ายนัก
แต่เมื่อย้อนกลับมามอง เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น
นางเบิกบานร่าเริงเป็นที่สุด
ไม่ว่ากับเรื่องใดนางล้วนมีความคิดและคำอธิบายที่เฉพาะของตนเอง
ทั้งยังจริงใจปากไว ไม่เคยปิดบังใดๆ
นี่เป็นจุดที่เจ้าหมิงหมิงชื่นชอบที่สุด
นางไม่กล้าจินตนาการเลยว่าหากเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่อยู่ข้างกาย ชีวิตในเขาเรียงรันของตนจะทรมานเพียงใด
เกาลัดคั่วน้ำตาลมีสายเลือดเผ่าจิ้งจอกเพียงหนึ่งในสี่เท่านั้น
มนุษย์ดูชาติกำเนิด
อสูรว่ากันเรื่องสายโลหติ
แต่โดยรวมแล้วล้วนไม่ต่างกันเท่าไร
ทว่าตามกฎเกณฑ์แล้ว เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่มีคุณสมบัติมาเป็นสาวใช้ข้างกายเจ้าหมิงหมิงแต่อย่างใด
ไม่รู้ว่าภายหลังจับพลัดจับผลูเช่นใด นายบ่าวคู่นี้ถึงผูกพันและมีมิตรภาพต่อกัน
เมื่อถูกเจ้าหมิงหมิงเรียกตัวไว้ เกาลัดคั่วน้ำตาลจึงยืนกวักมืออยู่ที่หน้าประตู
นำอ่างน้ำแข็งที่ถืออยู่ในมือมอบให้บ่าวผู้หนึ่ง
สั่งความเล็กน้อย
จึงกลับเข้ามาภายในห้องและหย่อนบั้นท้ายลงข้างกายเจ้าหมิงหมิง
ก้มหน้าลง เริ่มจับจ้องพื้น
“เจ้าทำอะไรน่ะ”
“คุณหนู ท่านรู้สึกหรือไม่ว่าพื้นนี้ประหลาดนัก”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
พื้นของห้องนี้ปูด้วยแผ่นไม้ต้นสน
ยามเหยียบลงไปให้ความรู้สึกผ่อนคลายยิ่ง
ไม่เพียงสบายกว่าพื้นดินที่มีต้นหญ้าอย่างเมื่อก่อน แต่ยังสบายกว่าพื้นที่ปูด้วยอิฐสีดำด้วยซ้ำ
“ประหลาดที่ใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
เกาลัดคั่วน้ำตาลเองก็อธิบายไม่ถูก ได้แต่จับจ้องมองพื้นห้องพลางเกาศีรษะ
ลมวูบหนึ่งพัดเข้ามา ทำให้หน้าต่างที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งเปิดออก
เกาลัดคั่วน้ำตาลรีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่าง แต่กลับถูกเจ้าหมิงหมิงดึงข้อมือไว้
“พัดเปิดแล้วก็ให้เปิดไปเถิด ลมในเวลานี้สบายที่สุด แต่เจ้าไม่ต้องลงไปนั่งกับพื้นแล้ว เมื่อกลายร่างแล้วก็ต้องเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนธรรมเนียมด้วย!”
เจ้าหมิงหมิงพูดกับเกาลัดคั่วน้ำตาล
เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบรับคำหนึ่ง เตรียมจะไปยกตั่งตัวหนึ่งมานั่งข้างกายคุณหนู
แต่เมื่อหันกลับมา นางกลับแลบลิ้นเล็กอ่อนนุ่มของนางออกมา พร้อมทำหน้าทะเล้น…จากนั้นก็เลียง่ามนิ้วโป้งที่มือขวาของตนหนหนึ่ง
“เจ้านั่งอยู่ที่นี่ก็ยังเหม่ออีก! เหตุใดพอไม่นั่งพื้นเจ้าก็จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้”
เจ้าหมิงหมิงเอ่ยพลางมองเกาลัดคั่วน้ำตาล
เกาลัดคั่วน้ำตาลกำลังเหม่ออยู่จริงดังว่า…
เพราะนางไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องใดที่ต้องทำอีก
“เช่นนั้นพวกเราทำอะไรดีเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถาม
“พวกเราแค่สนทนากันไม่ได้หรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลกลับยิ้มขึ้นมา
ยิ่งไปกว่านั้นรอยยิ้มนี้ยังทำให้เจ้าหมิงหมิงไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
“เจ้ายิ้มอะไร”
เจ้าหมิงหมิงอดถามไม่ได้จริงๆ
“คุณหนูเจ้าคะ พวกเราอยู่ด้วยกันทั้งวัน ไม่เคยอยู่ห่างกันเลยสักชั่วยาม ท่านกินสิ่งใดข้าก็กินสิ่งนั้น ท่านดื่มสิ่งใดข้าก็ดื่มสิ่งนั้น แม้แต่ที่ได้เห็นและได้ฟังก็ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น…ท่านมาบอกให้สนทนากัน ข้าไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด จึงได้แต่ยิ้มเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
เจ้าหมิงหมิงคิดสักพักก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้จริง
จึงยิ้มแย้มไปกับนางเสียเลย
ยิ้มๆ ไป เจ้าหมิงหมิงก็ส่งสายตาให้เกาลัดคั่วน้ำตาล
เกาลัดคั่วน้ำตาลเข้าใจแล้วจึงเดินไปที่ประตูแล้วลงกลอนเสีย
เจ้าหมิงหมิงจึงขยับศีรษะเข้ามาใกล้แล้วถามว่า
“ระยะนี้บนเขามีเรื่องแปลกๆ ใดหรือไม่”
ความจริงแล้วเจ้าหมิงหมิงปรารถนาที่จะทำความเข้าใจกับโลกภายนอกอย่างยิ่ง
เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูถึงขัดแย้งในตนเองเช่นนี้…
ทั้งที่อยากรู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง แต่กลับยังคงวางท่าราวกับต้องการออกห่างจากผู้คนนับพันลี้เช่นนั้น
แม้เจ้าหมิงหมิงจะอ่อนโยนนัก
แต่ภายใต้ความอ่อนโยนนั้น กลับเป็นความเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง
“หลายวันมานี้มีแต่พวกสมองใช้การไม่ได้…โดยเฉพาะพวกจากเขาสรรพางค์ ไม่รู้ว่าพวกมันเข้ามาได้อย่างไร ด้วยสมองเช่นนั้นแค่ขาซ้ายขัดขาขวาระหว่างทางก็ทำให้ล้มจนพิการได้แล้ว….”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“พวกมันทำสิ่งใดหรือ”
สีหน้าของเจ้าหมิงหมิงผ่อนคลายลงทันใดพลางถามเร่งเร้า
“ไม่ได้ทำสิ่งใดทั้งนั้นเจ้าค่ะ…ข้าเเค่มองอยู่ไกลๆ นอกจากพวกมันจะเอาแต่กรอกสุราใส่ปากอย่างเอาเป็นเอาตายแล้ว แม้แต่ตะเกียบก็ยังใช้ไม่เป็นเลย”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
“เป็นเช่นนี้ก็ยังวางใจให้พวกมันออกมาไกลเพียงนี้ เจ้าหุบเขาสรรพางค์ช่างใจกว้างนัก…”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“นั่นน่ะสิเจ้าคะ!”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวสำทับ
“แต่ข้าเคยบอกเจ้าแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อใดที่มีคนเข้ามาเจ้าต้องเข้าไปคลุกคลี สนทนาด้วยสักสองสามคำให้รู้ที่มาที่ไป”
เจ้าหมิงหมิงถามต่อ
“คุณหนูเจ้าคะ แม้แต่ตะเกียบพวกมันก็ยังใช้ไม่เป็นด้วยซ้ำ…แล้วจะพูดจาเป็นได้อย่างไร ไม่เข้าหัวสักคำหรอกเจ้าค่ะ..”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ
เจ้าหมิงหมิงกลับเอื้อมมือไปจิ้มหน้าผากกล่าวว่า
“เจ้าว่าผู้อื่นสมองไม่ดี ข้าว่าสมองเจ้าก็ไม่ได้ดีไปสักเท่าใด! พวกเขาพูดภาษามนุษย์ไม่คล่อง แต่ข้าไม่เชื่อว่าพวกเขาจะพูดภาษากลางของเหล่าอสูรแห่งเก้าบรรพตไม่คล่อง!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เกาลัดคั่วน้ำตาลตบหน้าผากตนเอง กระจ่างขึ้นมาทันใด
นางนึกออกแล้วว่าเวลานั้นตนเอาแต่ใช้ภาษามนุษย์สนทนากับพวกจากเขาสรรพางค์ อีกฝ่ายจึงเข้าใจยากยิ่ง…
อีกฝ่ายก็ล้วนเป็นอสูรที่แปลงกายมา แต่กลับไม่ใช้ภาษาของตนสนทนากัน
คนไม่รู้คงคิดว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลจงใจแกล้งพวกเขา
“นอกจากนี้แล้ว ยังมีเรื่องน่าสนใจอื่นอีกหรือไม่”
เจ้าหมิงหมิงถาม
เจ้าหมิงหมิงชื่นชอบการฟังเรื่องราวที่นานๆ ครั้งจะเกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง
แต่พอนางฟังจบแล้วก็ลืมสิ้น
เรื่องที่เกาลัดคั่วน้ำตาลเพิ่งเล่าให้นางฟังเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นนานมากแล้ว…และเคยเล่าให้เจ้าหมิงหมิงฟังครั้งหนึ่งแล้วด้วย
แต่เมื่อเอามาเล่าอีกครั้งหลังผ่านไประยะหนึ่ง เจ้าหมิงหมิงก็จะรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้น่าสนใจมีสีสันเช่นเดิมราวกับว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน
หลายๆ ครั้งก็เพราะเรื่องที่บังเอิญได้พบกับผู้คนหรือเรื่องราวต่างๆ นี้เอง จึงทำให้ชีวิตที่เหี่ยวเฉากระปี้กระเปร่าขึ้นมา
เหล่าอสูรดำรงอยู่อย่างพิเศษและเฉพาะตัวอย่างยิ่ง
พวกมันทำให้ไอวิญญาณในใต้หล้าเกาะตัวแข็ง ในเวลาเดียวกันก็ซึมซับแก่นแท้ของธรรมชาติ ทุกๆ เผ่าจึงมีลักษณะและสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง
ของเหล่านี้ ยามก้าวย่างอยู่ในฝูงชนล้นหลามในอาณาจักรห้าอ๋องแห่งใต้หล้ากลับหาได้ยากยิ่ง
อสูรดุร้าย มนุษย์รำพึงอดีต
ในแดนมนุษย์มักเปรียบคนชั่วที่มีจิตใจอำมหิตว่าเป็นพวกเสือโคร่ง
เรียกคนที่นอกในไม่ตรงกันว่าหน้าเนื้อใจเสือ
ที่แท้แล้ว นี่ก็คือด้านที่เป็นเอกลักษณ์ของอสรู
เรื่องใดที่พวกมันต้องการหลงลืมก็จะลืมได้ทันที
ลืมโดยสิ้นเชิง นี่เป็นความสามารถที่เหล่ามนุษย์หลายคนอิจฉา
ก็เหมือนกับนักปราชญ์ด้านบุ๋นผู้หนึ่งเคยว่าไว้ ‘พายัพมีหอสูง ใช่โศกาด้วยผู้ขับร้อง หากเพราะความอาดูรในทรวงไร้คนเข้าใจ’
สิ่งที่เดิมทีไม่คิดจะลืม แต่เมื่อมีสิ่งใหม่ๆ เข้ามาแทนที่ก็มักต้องการจะหลงลืมไปเสีย
ต่อให้เป็นเรื่องราว สิ่งของหรือผู้คนที่งดงามอีกเพียงใด หรือเจ็บปวดอีกเพียงใดก็ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น
ปีที่ผันผ่าน เมื่อหวนนึกถึงเรื่องเก่าทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปสิ้นแล้ว
เรื่องเก่าในวันวานเป็นเพียงฝันตื่นหนึ่ง ไม่เอ่ยถึงก็ไม่เป็นไร
บุปผาร่วงโรย หิมะหนาวฝนเย็น เพียงหันหลังกลับล้วนว่างแปล่า
เจ้าหมิงหมิงไม่ถึงกับเป็นคนอ่อนไหว
แต่ก็เป็นคนที่เปลี่ยนแปลงได้หลายแง่มุม…เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เกาลัดคั่วน้ำตาลอาจดูเป็นคนไม่ยี่หระต่อสิ่งใด แต่ที่จริงกลับอ่อนไหวและละเอียดอ่อนมาก
ไม่เช่นนั้นนางจะสังเกตและเก็บเรื่องที่น่าสนใจเล็กๆ น้อยๆ มาได้ในเวลาอันรวดเร็วได้อย่างไร
นิสัยตรงไปตรงมาก็เป็นเพียงวิธีที่แสดงออกมาอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ส่วนลึกในใจของเกาลัดคั่วน้ำตาลก็เป็นคนเลือกมากและมีเงื่อนไขมากมายเช่นเดียวกับเจ้าหมิงหมิงคุณหนูของนาง…
พวกนางล้วนเกลียดชังความน่าเบื่อ
พวกนางล้วนอยากหลงลืม
พวกนางล้วนชื่นชอบการเสี่ยงอันตราย
พวกนางล้วนปรารถนาท่องแดนมนุษย์
………………………………………
……….