ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 392 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-1
บทที่ 392 กุหลาบพันปีสีเลือดกลางฝนเย็น-1
……….
เจ้าหมิงหมิงออกจากหอทรงปัญญาหลังหลิวรุ่ยอิ่งเกือบสิบวัน
“คุณหนู พวกเราจะไปที่ใดเจ้าคะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลเอ่ยปากถามขณะบังคับรถม้าแล่นอยู่บนแดนสุขสัญจร
“ไม่รู้”
เจ้าหมิงหมิงตอบ
แม้จะเอ่ยอย่างราบเรียบนัก
แต่ตามความเข้าใจที่เกาลัดคั่วน้ำตาลมีต่อนางนั้น เจ้าหมิงหมิงต้องโมโหแล้วเป็นแน่
หรือหากไม่ถึงขั้นนั้นก็ต้องเริ่มขุ่นเคืองขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลจะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่นางไม่เคยประเมินคุณหนูของตนผิดพลาดมาก่อน
“เมื่อพ้นจากแดนสุขสัญจรไปแล้ว ขึ้นเหนือไปก็คืออาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง ลงใต้ก็กลับไปยังอาณาจักรติ้งซีอ๋องเจ้าค่ะ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลกล่าว
นางเองก็ไม่รีบร้อน กระตุกบังเหียนม้าเบาๆ ให้ม้าเดินไปช้าๆ
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้เจ้าหมิงหมิงมีเวลาตรึกตรองมากพอ
ความจริงแล้วเจ้าหมิงหมิงไม่ได้กำลังคิดสิ่งใดอยู่
ในสมองนางมีแต่ความว่างเปล่า
แต่ประหลาดนักที่ในใจกลับอัดแน่นไปด้วยความกลัดกลุ้มชั้นแล้วชั้นเล่า
เกาลัดคั่วน้ำตาลปรายตาไปมองข้างหลัง เห็นว่าเจ้าหมิงหมิงกำลังเล่นผมของตนเองอยู่
ม้วนมันอยู่บนนิ้วมือ จากนั้นก็ค่อยๆ ปล่อยมันลง
เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้ว่าคุณหนูของตนเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับกิริยามารยาทอย่างยิ่ง
ทั้งหมดนี้อาจเป็นเพราะหลิวรุ่ยอิ่ง…
พอคิดถึงตรงนี้เกาลัดคั่วน้ำตาลก็พลันหัวเราะคิกคัก
แต่นางก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นคนที่น่าสนใจอย่างยิ่งจริงๆ
เขาน่าสนใจ ไม่ใช่เพราะมีอารมณ์ขันสร้างความครื้นเครงหรือมีความรู้กว้างขวาง
ทว่าเป็นเพราะเขาไม่เข้าใจสิ่งใดเลย แต่กลับดันทุรังยึดมั่นในหลักการ
คนที่มีความซื่อตรงเช่นนี้อย่าว่าแต่ในแดนมนุษย์เลย แม้แต่เหล่าอสูรในเก้าบรรพตของพวกนางเองก็ยังพบเห็นได้ไม่มากแล้ว…
การที่เจ้าหมิงหมิงสนใจในตัวเขาก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้
เกาลัดคั่วน้ำตาลยิ้มหนหนึ่งแล้วหุบยิ้มลง
ก่อนแอบหันกลับมามองเจ้าหมิงหมิงที่อยู่ในรถม้า
พบว่านางยังคงเล่นผมตนเองอยู่ คล้ายไม่ได้สังเกตเห็นท่าทางแปลกๆ ของนางเมื่อครู่นี้
จู่ๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลก็ถอนหายใจออกมา
เมื่อถอนหายใจเสร็จ นางกลับเอามือปิดปากตนไว้พร้อมกับสีหน้าคาดไม่ถึง!
ต้องรู้ก่อนว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่เคยถอนหายใจมาก่อนเลย…
เมื่อใดที่เห็นนางอ้าปากกว้าง หากไม่ใช่เตรียมจะกินอาหารก็กำลังจะหาวนอน
หากเรียงลำดับสิ่งที่นางต้องทำเมื่ออ้าปากกว้างๆ ต่อกันยาวกว่าแปดร้อยลี้ก็ยังไปไม่ถึงการถอนหายใจเลย
เกาลัดคั่วน้ำตาลคิดว่านี่ไม่ใช่ลางที่ดี
เมื่อใดที่คนผู้หนึ่งเริ่มถอนหายใจก็แสดงว่าคนผู้นี้เริ่มมีความกังวล!
แม้ว่าอายุขัยของอสูรจะยาวนานกว่ามนุษย์มากนัก แต่นางยังคงไม่ยอมเอาเวลาของตนไปกังวลพร่ำเพรื่อกับสิ่งใดก็ไม่รู้
เกาลัดคั่วน้ำตาลรู้สึกว่า เรื่องที่น่าขันที่สุดในชีวิตนี้ก็คือการกันไว้ดีกว่าแก้…
แม้ว่าอสูรจำนวนมากจะไม่รู้จักสำนวนนี้ของแดนมนุษย์ แต่ก็ทำแบบเดียวกัน
นั่นก็คือในช่วงเวลาที่ยังไม่เกิดเรื่องใดขึ้นทั้งสิ้น กลับเริ่มเป็นกังวลไปหมดทุกอย่าง
เกาลัดคั่วน้ำตาลไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้
ไม่ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ข้างหลังของนางล้วนมีคุณหนูใหญ่เจ้าหมิงหมิงที่คอยถือหางให้ตนอยู่เสมอ
หากนางต้องไปลงมือด้วยตัวเองจริงๆ อย่างน้อยก็ต้องมองให้ชัดรู้ให้แน่ว่าเป็นเรื่องใดเสียก่อน
ไม่ต้องไปร้อนใจเพียงนี้
แต่คุณหนูของนางกลับตรงกันข้ามกับเกาลัดคั่วน้ำตาลเป็นคนละขั้ว
แม้ว่าดูๆ ไปแล้วเจ้าหมิงหมิงอ่อนโยนยิ่งนัก แต่ความจริงแล้วนางเป็นคนคิดมากอย่างยิ่ง…
ทุกๆ เรื่องล้วนต้องคิดล่วงหน้าก่อนสามสี่ขั้นหรือถึงกับห้าขั้นจึงจะได้
ทว่าครั้งนี้ แม้แต่คุณหนูเองก็ยังไม่มีแผนการใด เกาลัดคั่วน้ำตาลจึงรู้สึกว่าผิดปกติเป็นที่สุด
เจ้าหมิงหมิงนั่งอยู่ภายในรถม้า เอาแต่เล่นเส้นผมตนเอง
แววตาล่องลอยไร้ทิศทาง
ที่เกาลัดคั่วน้ำตาลคิดนั้นไม่ผิด นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรไปที่ใดต่อ
ความรู้สึกที่ไร้การเตรียมการ ทำให้นางรู้สึกรังเกียจอย่างยิ่ง…
นางเห็นว่าเกาลัดคั่วน้ำตาลไม่ได้บังคับรถให้แล่นไปเร็วๆ หากยังเดินทางด้วยความเร็วเช่นนี้ต่อไป อย่างน้อยต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วยามกว่าจะไปถึงเมืองจิ่งผิงซึ่งอยู่นอกเขตหอทรงปัญญา
เจ้าหมิงหมิงจึงตัดสินใจว่าจะนอนหลับสักงีบ
อสูรต่างกับมนุษย์
แม้จะมีเทวญาณและสามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้
แต่มรดกในสายเลือดกลับไม่เคยขาดสะบั้นลง
ในยามจำเป็นก็สามารถเอาสัญชาตญาณที่เคยมีครั้งอยู่ในป่าเขาออกมาใช้ได้ทุกเมื่อ
เช่นในเวลานี้ที่เจ้าหมิงหมิงอยากนอนหลับสักพัก
บางครั้งนางก็รู้สึกว่าไม่เปิดใช้เทวญาณของตนเสียจะดีกว่า…
หาไม่แล้ว ก็จะไม่มีเรื่องให้รำคาญใจมากมายรบกวนจนนางสงบใจลงไม่ได้
“ข้าจะนอนสักหน่อย”
เจ้าหมิงหมิงบอกกับเกาลัดคั่วน้ำตาล
ยังไม่ทันรอให้เกาลัดคั่วน้ำตาลตอบกลับ
เล่นผมอยู่เมื่อครู่ก็หยุดลงทันใด
ลมหายใจก็ค่อยๆ ผ่อนช้าลง
นางหลับไปอย่างรวดเร็วเช่นนี้…
เจ้าหมิงหมิงนอนหลับฝัน
สิ่งที่นางฝันถึงก็เป็นภาพในวันเก่าก่อนเช่นกัน
วันคืนในอดีตที่เจ้าหมิงหมิงอยู่ในเผ่าแห่งเขาเรียงรัน
เวลานั้นนางเพิ่งจะกลายร่าง
คนรุ่นเดียวกับนางในเผ่า มีเด็กหนุ่มผู้มีพรสวรรค์ผู้หนึ่ง
เป็นเช่นดาราดวงโตส่องแสงอยู่กลางนภายามค่ำคืน
เด็กหนุ่มผู้นี้ผ่านการคัดสรรของเผ่าเพื่อฝึกวรยุทธ์ของมนุษย์
แม้ภายในกายของเหล่าอสูรไม่มีอินหยางสองขั้ว
แต่กระบวนท่าและท่าร่างบางส่วนของมนุษย์กลับใช้อ้างอิงได้ดียิ่ง
เรื่องที่เจ้าหมิงหมิงจำได้เกี่ยวกับเด็กหนุ่มผู้นี้ล้วนเป็นยามที่เขากำลังฝึกดาบ
ในมือของเด็กหนุ่มกุมดาบธรรมดาเล่มหนึ่ง
ตรงด้ามดาบพันแถบผ้าสีเหลืองเส้นหนึ่งเอาไว้
เมื่อตั้งใจมอง นี่ก็คือสีขนบนร่างเดิมของเผ่าเจ้าหมิงหมิง
แต่สีสดกว่าเล็กน้อย
ดั่งแสงอาทิตย์สีแดงที่ใกล้จะถึงเวลาเที่ยงวัน
สีนี้มักทำให้เจ้าหมิงหมิงรู้สึกอบอุ่นอยู่เสมอ
เขามักฝึกดาบในเวลาเที่ยงวัน
และเพราะเป็นช่วงเวลาที่เขากำลังฝึกดาบ เจ้าหมิงหมิงจึงทั้งจงใจและไม่จงใจเดินผ่านไปแถวนั้น
หากเป็นวันที่อากาศสดใส
คมดาบก็จะส่องแสงสีทองหม่นออกมาภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผา
เด็กหนุ่มเผ่าจิ้งจอก แม้ไม่มีเหงื่อไหลโทรมกายราวฝนตกเหมือนพวกมนุษย์ แต่ดวงอาทิตย์ที่แผดเผาเช่นนี้ก็ทำให้เขาไม่สบายตัวอย่างยิ่งเช่นกัน
นานๆ เข้า เหงื่อก็ซึมผ่านเสื้อผ้าของเขา
เรื่องนี้จะไม่เกิดขึ้นยามอยู่ในร่างอสูร…
หากขนบนกายเปียกปอนแล้ว เพียงสะบัดตัวเล็กน้อยก็จะรู้สึกสบายตัว
แต่หากเสื้อผ้าเปียกก็จะแนบติดอยู่กับแผ่นหลัง
นอกจากผลัดเปลี่ยนเสื้อตัวใหม่ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก
เจ้าหมิงหมิงมองออกว่าเขาไม่สบายตัวแล้ว
เพราะไหล่ของเด็กหนุ่มเผ่าจิ้งจอกผู้นี้บิดไปมาไม่หยุด
ดาบในมือจึงสั่นไหวเล็กน้อยเพราะสาเหตุนี้
เด็กหนุ่มคำรามเสียงต่ำออกมาหนหนึ่ง
จากนั้นก็ชกไหล่ที่สั่นไหวของตนเอง
มีหลายครั้งที่เขาอยากวางดาบลงแล้วไปอาบน้ำให้สาแก่ใจ ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แห้งสบายตัว
แต่สุดท้ายเขากลับล้มเลิกความคิดเช่นนั้นไป
เผ่าให้เขาฝึกวรยุทธ์ของมนุษย์เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่และบรรลุแผนการยิ่งใหญ่ในวันข้างหน้า!
หากแม้แต่เสื้อผ้าที่เปียกปอนก็ยังทนไม่ได้ แล้วจะบุกตะลุยเข้าไปในแดนมนุษย์ได้อย่างไร
เด็กหนุ่มมองแถบผ้าสีเหลืองที่ด้ามดาบของตน
นั่นเป็นสีที่สูงส่งที่สุดในเผ่า
เขาห้ามดูหมิ่นความสูงส่งนี้ ทั้งห้ามทิ้งความรับผิดชอบต่อเผาของตน
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงต้องยกดาบให้สูง
กำด้ามดาบให้แน่น ห้ามคลายมือ ห้ามวางลงเด็ดขาด!
แถบผ้าสีเหลืองเป็นสัญลักษณ์ของเจตนารมณ์
สีของมันทำให้ชาวเผ่ากล้าสละชีพปกป้อง
เจ้าหมิงหมิงตกใจกับเสียงคำรามต่ำของเด็กหนุ่มจนยืนเหม่อมองเขาอยู่ข้างๆ
แววตาสั่นไหว ไม่รู้ว่าเพราะซาบซึ้งหรือประหลาดใจ
“คุณหนูใหญ่!”
เด็กหนุ่มผู้นั้นสัมผัสได้ว่าเจ้าหมิงหมิงอยู่ที่นั่นจึงรีบลดดาบลง ก่อนเดินมาทักทายนางด้วยความเคารพ
ถึงกับโค้งตัวลงประสานมือคำนับอย่างที่มนุษย์ทำ
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งกลายร่างได้ไม่นาน จึงไม่เข้าใจเรื่องราวของมนุษย์แม้แต่น้อย…
รู้สึกเพียงว่าทำเช่นนี้ดูน่าสนุกนักจึงทำตามเด็กหนุ่มรอบหนึ่ง
เด็กหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตกใจใหญ่ เข่าอ่อนและทรุดตัวลงคุกเข่า
“นี่เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
เจ้าหมิงหมิงถาม
นางไม่รู้เลยว่าร่างของมนุษย์นี้ยังสามารถทำท่าทางที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้ด้วย
เด็กหนุ่มถูกเจ้าหมิงหมิงถามเช่นนี้ก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
จึงเพิ่งคิดออกว่าเจ้าหมิงหมิงยังไม่เข้าใจเรื่องราวเหล่านี้ และคำอธิบายของการกระทำทั้งมวลก็เหมาะที่จะใช้ในแดนมนุษย์เท่านั้น
เมื่อเขายืนขึ้นก็ยิ้มให้เจ้าหมิงหมิงด้วยท่าทางขัดเขินอย่างยิ่ง แต่กลับไม่พูดอะไรสักคำ
ทว่าเขากลับปลดแถบผ้าสีเหลืองที่พันอยู่รอบดาบของตนมอบให้เจ้าหมิงหมิง
ก่อนจะพยักหน้าและหมุนกายจากไป
วันนั้นเป็นครั้งแรกที่เด็กหนุ่มไม่ได้ฝึกดาบ
………………….
ผ่านมาอีกหลายปี เมื่อเจ้าหมิงหมิงเริ่มเข้าใจในใต้หล้าโดยเฉพาะแดนมนุษย์และจิตใจมนุษย์บ้างแล้ว จึงค่อยๆ เข้าใจว่าเหตุใดวันนั้นเด็กหนุ่มจึงได้มอบแถบผ้าสีเหลืองเส้นนั้นให้ตน
แต่นางยังคงเป็นคุณหนูใหญ่แห่งเผ่าอยู่ดังเดิม
ส่วนเด็กหนุ่มถูกส่งให้ไปอยู่ในแดนมนุษย์นานแล้ว
แม้แต่ข่าวคราวว่าเขาเป็นหรือตายก็ไม่อาจล่วงรู้ได้
เจ้าหมิงหมิงออกจากเขาเรียงรันหนนี้ ที่จริงแล้วเป็นความคิดที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน
แม้จะมีเรื่องราวให้ต้องลำบากอยู่บ้าง แต่เมื่อเทียบกับทุกสิ่งและการดูแลที่นางได้รับแล้ว เรื่องลำบากต่างๆ กลับเล็กน้อยนัก
หากไม่เชื่อก็สามารถไปหาใครสักคนบนถนนมา
หากให้คนผู้นี้ได้รับทุกสิ่งอย่างที่เจ้าหมิงหมิงได้รับ ต่อให้เขาต้องทนรับความลำบากมากกว่านี้อีกสิบเท่า เขาก็จะยังยินยอมพร้อมใจ
เจ้าหมิงหมิงนอนเอียงกายบนเก้าอี้เอนหลังที่ปูด้วยพรมใยทอง
แม้ว่าในอาณาจักรห้าอ๋องจะยังไม่พ้นฤดูหนาว แต่บนเขาเรียงรันกลับเต็มไปด้วยความเขียวชอุ่มแล้ว
หน้าต่างในห้องปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง
หน้าต่างหันหน้าเข้าหาสระเล็กๆ แห่งหนึ่ง
เป็นสวนที่จัดแต่งตามแบบมนุษย์ทางตอนใต้ทั้งหมด
ในมือของเจ้าหมิงหมิงถือถ้วยกระเบื้องกระดูก[1] ในถ้วยใส่น้ำบ๊วยเปรี้ยวเอาไว้
และยังแช่เย็นเป็นพิเศษหลังต้มเสร็จอีกด้วย
ทั่วทั้งเขาเรียงรันไม่มีน้ำแข็งและหิมะแล้ว
น้ำแข็งที่ใช้แช่น้ำบ๊วยเปรี้ยวถ้วยนี้ตัดมาจากแม่น้ำนอกตัวเมืองติ้งซีอ๋องแล้วลำเลียงมา
แม้อสูรจำนวนไม่น้อยในเผ่าสามารถใช้พลังพิเศษของตนทำให้น้ำกลายเป็นน้ำแข็งได้
แต่เจ้าหมิงหมิงมักรู้สึกว่าน้ำแข็งที่ทำออกมาด้วยวิธีเช่นนั้นไม่ธรรมชาติพอและขาดกลิ่นอายของธรรมชาติไป
ด้วยเหตุนี้ นางจึงยอมรอนานกว่าครึ่งชั่วยามเพื่อเอาน้ำแข็งจากในแม่น้ำมาก่อนค่อยว่ากัน
น้ำแข็งวางอยู่ในอ่าง เจ้าหมิงหมิงเอื้อมมือลงไป ใช้ปลายนิ้วแตะเบาๆ ก้อนน้ำแข็งทั้งก้อนก็แตกละเอียดทันใด
เกาลัดคั่วน้ำตาลรับถ้วยกระเบื้องกระดูกมาจากมือของเจ้าหมิงหมิงแล้ววางลงท่ามกลางน้ำแข็งที่แตกละเอียด
………………………………………
[1] ถ้วยกระเบื้องกระดูก คือ เซรามิกโบนไชน่า (Bone China) หรือ นิวโบน (New bone) ได้รับขนานนามว่าเป็นเนื้อเซรามิกที่ดีที่สุด สีขาวนวล มีส่วนผสมของเถ้ากระดูกซึ่งจะทำให้เนื้อผลิตภัณฑ์มีความขาวมากขึ้น และมีความโปร่งใสมากกว่าเซรามิกชนิดอื่น
……….