ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 390 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-5
บทที่ 390 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-5
……….
ชุ่ยเวยเดินๆ ไป ร่างนางกลับเริ่มวิ่งอย่างควบคุมตัวไม่ได้
นางตกใจนัก
ไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร…
ทำได้เพียงพยายามให้สองเท้าเหยียบพื้นและออกแรงหยุดฝีเท้า
แต่เมื่อนางเพิ่งจะหยุดตัวลงกลับได้ยินเสียงฝีเท้าบนผืนหิมะ
ทันใดนั้นชุ่ยเวยก็เกิดลางไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมา เพราะนางเคยได้ยินเสียงเช่นนี้มาก่อน
ในชีวิตคนมักมีความทรงจำบางอย่างที่เก็บไว้ด้วยการใช้หูและจมูก
บางครั้งได้กลิ่นที่คุ้นเคยหรือได้ยินเสียงที่คุ้นเคยก็จะทำให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตบางช่วงขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจควบคุมและไม่อาจคาดการณ์ได้
ชุ่ยเวยยืนนิ่งเงียบๆ อยู่กับที่ฟังเสียงฝีเท้า แต่กลับจำไม่ได้ว่าเคยได้ยินที่ใดและเวลาใด
แต่เสียงนั้นกลับทำให้นางนึกถึงเรื่องอื่นขึ้นมา
……………………
ตอนอายุสิบกว่าขวบ ชุ่ยเวยเพิ่งเคยออกจากจวนเสนาบดีเป็นครั้งแรก
ความจริงแล้วนางไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ แต่นางแอบหนีออกไปเอง
เหมือนกับชิงเสวี่ยชิงแห่งจวนชิงรัฐหงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง และเหวินฉีเหวินแห่งจวนผู้ควบคุมรัฐ
ก็เหมือนกับผู้ที่มีชื่อเสียงตั้งแต่เยาว์วัยได้ประสบความสำเร็จในวันหน้า ตอนยังเด็กล้วนมีนิสัยขบถอยู่เล็กน้อย
อย่างน้อยก็ไม่ใส่ใจความคิดเห็นของผู้อื่นและคำพูดของเหล่าผู้ใหญ่
หากเอาแต่ยืนกรานทำตามความคิดตัวเองเกินไปก็อาจกลายเป็นคนที่ย่ำอยู่กับที่ วันหน้ายากจะเจริญก้าวหน้า
แต่หากเชื่อฟังจนเกินไป เมื่อพบเจอปัญหาย่อมไม่อาจตัดสินใจเองได้ เป็นได้แค่หุ่นกระบอกที่ถูกคนควบคุมไปชั่วชีวิต
เพราะคนที่แอบออกจากจวนย่อมไม่ต้องการแพร่งพรายร่องรอยของตน
หากต้องแพร่งพรายก็ไปวิงวอนขอบิดามารดาสักหน แล้วเดินออกมาอย่างเปิดเผยเสียดีกว่า
หลังจากชุ่ยเวยถือรองเท้าออกจากจวนอย่างเบามือ คิดว่าหมดเรื่องแล้วจึงสวมรองเท้า แต่กลับได้ยินเสียง ‘ตึกตึก’
เป็นโจรก็อดรู้สึกผิดไม่ได้
ประสาอะไรกับชุ่ยเวยที่ยังเป็นเพียงเด็กผู้หนึ่ง
แต่ก็เพราะนางยังเป็นเด็กจึงหลงลืมความว้าวุ่นใจก่อนหน้านี้ได้อย่างรวดเร็ว แล้วไปกระโดดโลดเต้นอยู่บนถนนดูความครึกครื้นอย่างอารมณ์ดียิ่ง
เมื่อเดินมาถึงหัวถนน ชุ่ยเวยเห็นคนแก่ผู้หนึ่งและเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกับนาง สูงพอๆ กับนาง รูปร่างคล้ายกับนาง กำลังทำการแสดงอยู่ที่ร้านค้าร้านหนึ่ง
แต่สิ่งที่ต่างกันอย่างยิ่งก็คือเสื้อผ้าขาดวิ่นและสีหน้าเศร้าหมองของเด็กสาวผู้นั้น
เด็กหนุ่มไม่รู้รสความกลัดกลุ้ม
เด็กสาวก็ไม่รู้เช่นกัน
เด็กหนุ่มรู้เพียงมากรัก เด็กสาวคะนึงรักเรื่อยมา
แล้วจะมีเวลาว่างใดไปกลัดกลุ้ม
คุณหนูที่อยู่แต่ในจวนเสนาบดีเช่นชุ่ยเวยย่อมไม่รู้…
ฉะนั้น นางจึงสงสัยใคร่รู้ในตัวเด็กสาวผู้นี้ยิ่งนัก
คนชราข้างกายเด็กสาวกำลังดีดฉินสามสาย
ตัวฉินย่ำแย่นัก สายก็ค่อนข้างหย่อน จึงทำให้เสียงเพี้ยนอย่างยิ่ง
ทว่าคนชราผู้นั้นกลับหรี่ตา ส่ายศีรษะไปมาเคลิบเคลิ้มอยู่ผู้เดียว
ราวกับหลุดออกไปจากโลก ไม่รู้วันรู้คืน ปล่อยวางด้วยชีวิตนี้สั้นนัก
เมื่อเทียบกับเด็กสาวข้างกายเขาที่เขียนความจริงในชีวิตไว้เต็มใบหน้า ช่างตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง
ชุ่ยเวยเป็นเด็กสาวผู้หนึ่ง จึงเบียดฝ่าฝูงชนจนมาถึงข้างหน้าสุด
ทว่าเวลานี้ คนชราผู้นั้นกลับเล่นจบเพลงแล้ว
เขาไม่ได้ลุกขึ้นยืนขอเงินรางวัลจากผู้ชมทันที แต่วางฉินสามสายแสนผุพังไว้ข้างๆ จากนั้นก็หันหน้าไปมองเด็กสาวที่อยู่ข้างกาย ก่อนตบหัวเด็กสาวเบาๆ ด้วยมือใหญ่ที่ทั้งหยาบทั้งคล้ำ
เด็กสาวลุกขึ้นยืนถือตะกร้าไม้ไผ่สานเล็กๆ ใบหนึ่งเดินไปหาผู้ชมที่ล้อมวงดูอยู่
ที่แท้คนชราผู้นี้จะดีดฉินเท่านั้น ผู้รับหน้าที่ขอเงินรางวัลกลับเป็นเด็กสาวผู้นี้
จะว่าไปคนชราผู้นี้ก็มีหัวคิดไม่เบา…
หากเขาไปขอรางวัลเอง บางทีผู้อื่นก็จะเอาแต่ถอนใจและพูดคำโบราณว่าลูกหลานไม่กตัญญู
วาจาเสนาะหูกินแทนข้าวไม่ได้ เพราะมันซื้อหมั่นโถว แป้งขาวและข้าวสารไม่ได้
ฉะนั้น ต่อให้ได้ยินคำทอดถอนใจเช่นนี้อีกมากมายเท่าใดก็ไร้ประโยชน์
รังแต่จะทำให้อึดอัดใจเท่านั้น
แต่เด็กสาวที่ยากจนผู้หนึ่งกลับสามารถเรียกความเวทนาจากผู้คนได้ถึงแปดเก้าส่วน
นี่จึงเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุด
ดูจากอายุแล้ว ตาเฒ่าไม่น่าจะเป็นบิดาของนาง
อาจเป็นปู่ หรือทั้งสองอาจเพียงแค่ร่วมกันทำการแสดงท่องยุทธภพก็เท่านั้น
ชุ่ยเวยกลับไม่เข้าใจอย่างยิ่ง
เพราะมือของคนชราไม่เหมือนกับมือของคนดีดฉินแต่อย่างใด…
ผิวที่คล้ำดำยังพออธิบายได้ว่าต้องแสดงอยู่กลางแดดทุกวัน
แต่มือของคนดีดฉินต้องไม่หยาบเกินไป
มือหยาบจะทำให้ความรู้สึกยามกดสายฉินเปลี่ยนไป
เมื่อเป็นดังนี้เพลงที่บรรเลงออกมาย่อมเพี้ยนอย่างเลี่ยงไม่ได้
ตอนที่เด็กสาวถือตะกร้าเดินผ่านชุ่ยเวยก็ถลึงตามองนางหนหนึ่ง
แม้ชุ่ยเวยจะยังอายุน้อย แต่ก็อ่านความริษยาแสนเข้มข้นในดวงตาของนางออก
นี่อาจเป็นครั้งแรกที่นางได้พบกับคนในวัยเดียวกันที่มีชีวิตต่างกันราวฟ้ากับเหว
การเปรียบเทียบระหว่างผู้คนมักเกี่ยวกับความใกล้ชิดและระยะห่างเสมอ
แม้เด็กสาวผู้นี้กับชุ่ยเวยจะไม่ได้รู้จักคุ้นเคยกัน
ทว่าวัยที่ไล่เลี่ยกัน กลับเป็นแรงดึงดูดที่มองไม่เห็นให้พวกนางเข้ามาใกล้กัน
ชุ่ยเวยสวมเสื้อสีขาวนวลปักลายดอกไม้ล้อมเส้นไข่มุก ท่อนล่างสวมกระโปรงแพรสีครามปักนูนลายดอกเหมย ต้นไผ่และดอกเบญจมาศ เดิมทีเสื้อผ้าชุดนี้ยังต้องคลุมไหล่ด้วยผ้าแพรเนื้อละเอียดสีเขียวไข่กาปักลายกิ่งก้านดอกไม้ผืนหนึ่งด้วยจึงจะงดงามสมบูรณ์แบบ แต่เพราะชุ่ยเวยรีบออกมาจึงหยิบไม่ทัน…ไม่เพียงเท่านี้ แม้แต่เครื่องประดับศีรษะก็ยังไม่ได้ใส่มา ใส่เแค่กำไลลงยาสีน้ำเงินขอบทองธรรมดาๆ ที่ข้อมือขวาเท่านั้น
แต่สีทองบนกำไลกลับส่องแสงวิบวับยามอยู่ใต้แสงแดด ช่างเย้ายวนใจคนนัก
เด็กเล็กๆ ล้วนสนใจของที่เป็นประกายอย่างยิ่ง
เด็กสาวผู้นี้ก็เช่นกัน
นางจับจ้องใบหน้าของชุ่ยเวยอยู่นาน แล้วเบนสายตาไปยังข้อมือของนางและจับจ้องอยู่เช่นนั้น
ตาเฒ่าสังเกตเห็นแต่ไม่รู้ว่าเด็กสาวกำลังทำสิ่งใดอยู่ เห็นเพียงนางเดินช้าลง ไม่ได้ไปขอเงินต่อ
และเห็นว่าผู้คนที่ห้อมล้อมดูอยู่กำลังจะเดินไปจนหมดแล้ว
ตาเฒ่าจึงกระแอมไอด้วยความร้อนใจเพื่อเตือนเด็กสาวผู้นั้น
เมื่อเด็กสาวได้ยินเสียง ตัวก็สั่นในทันใด รีบเก็บสายตาแห่งความริษยากลับไป ทำหน้าตาอมทุกข์ เพื่อขอเงินรางวัลจากคนที่อยู่ข้างๆ
แต่เพราะเมื่อครู่นางชักช้าไปพักหนึ่ง จึงทำให้เงินที่ได้น้อยลงกว่าเดิมมาก…
เด็กสาวถือตะกร้ากลับมาข้างกายของตาเฒ่า แล้วส่งตะกร้าให้เขาดูด้วยท่าทีขลาดกลัว ก่อนนั่งย่อตัวลงแล้วเอาสองมือกุมหัวไว้
ตาเฒ่าผู้นั้นปรายตามองตะกร้าคราวหนึ่งด้วยสายตาเย็นเฉียบ
จากนั้นก็คว้าเอาฉินสามสายทุบตีเด็กสาว
เด็กสาวเอาแต่กุมหัวไว้…แผ่นหลังกลับถูกตีเข้าอย่างจังทีหนึ่ง
สายฉินกระทบกับตัวของนางจนส่งเสียงทุ้มๆ ออกมา…
ที่แท้แล้วสายฉินหย่อนถึงเพียงนี้
ชุ่ยเวยเห็นภาพนี้ก็โมโหเดือดดาลนัก
ก่อนตาเฒ่าจะตีลงไปครั้งที่สอง นางกลับขยับตัวเข้ามากางสองแขนออกยืนกันเด็กสาวเอาไว้ข้างหน้า
เดิมทีตาเฒ่าคิดอยากเอื้อมมือผลักชุ่ยเวยออกไปข้างๆ แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าหรูหราที่นางสวมใส่อยู่บนตัวก็ลังเลขึ้นมา
ในเมืองหลวงและชานเมืองมีผู้สูงศักดิ์อยู่มากมาย
หากไปล่วงเกินผู้ใดสักคนย่อมสามารถทำให้ตาเฒ่าตายโดยไร้ที่ฝังได้ทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่รู้ว่าชุ่ยเวยเป็นคุณหนูของจวนใด ยิ่งทำให้กังวลหนักกว่าเดิม…หลังใคร่ครวญพักใหญ่ จึงทำได้เพียงเปลี่ยนสีหน้าหันมายิ้มให้ชุ่ยเวย ท่าทีอ่อนโยนเป็นมิตรเสียเหลือเกิน!
แต่ชุ่ยเวยยังคงจำท่าทีดุร้ายเมื่อครู่นี้ของเขาได้ นึกไม่ถึงว่าคนเราสามารถเปลี่ยนสีหน้าไวยิ่งกว่าพลิกหน้าหนังสือ
ทว่าสิ่งที่นางคิดไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือความเป็นเด็กและร่างกายของเด็กสาวผู้หนึ่งกลับไม่อาจเทียบเท่าเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงที่สวมใส่อยู่ทั้งตัว…
เมื่อเด็กสาวผู้นั้นเห็นว่าข้างหน้าตนมีคนมาปกป้องก็ร้องไห้ขึ้นมาดังลั่น
ชุ่ยเวยเองก็เป็นเด็กสาว เด็กสาวล้วนชอบร้องไห้กันทั้งสิ้น
แต่ที่นางร้องไห้ โดยมากแล้วก็เป็นการออดอ้อนเพื่อให้ได้ดั่งใจเท่านั้น
นางกลับไม่เคยได้ยินเสียงร้องไห้คร่ำครวญปานใจจะขาดเช่นนี้….
เสียงร้องไห้เช่นนี้ เหตุใดจึงออกมาจากเด็กสาวผู้หนึ่ง
นี่เป็นความน้อยเนื้อต่ำใจและคับแค้นใจที่สั่งสมมานานกี่ปีกัน
ชุ่ยเวยเติบโตมาในจวนเสนาบดี แม้อายุยังน้อยแต่ก็นับว่าเฉลียวฉลาดและพบเห็นสิ่งต่างๆ มามาก
ต้องเป็นเพราะคิดว่าเด็กสาวผู้นี้ทำตัวไม่น่าสงสารพอ จึงได้เงินรางวัลมาน้อยเกินไป…
ทันใดนั้นชุ่ยเวยจึงถอดกำไลของตนเองออกแล้วโยนลงไปในตะกร้า ก่อนประคองเด็กสาวที่อยู่ข้างหลังตนขึ้นมาและจูงมือนางเดินออกไป
ตาเฒ่ากำลังคิดจะขวางไว้ แต่เมื่อเห็นกำไลลงยาสีน้ำเงินขอบทองที่อยู่ในตะกร้ากลับดีใจยกใหญ่ และคิดว่าแล้วแต่นางเถิด!
กำไลวงนี้อย่างน้อยๆ ต้องได้ราคาหลายสิบตำลึง
แต่เด็กสาวเช่นนั้น แค่ไปยังหมู่บ้านที่ห่างไกลแร้นแค้นสักหน ให้อาหารที่กินอิ่มมื้อหนึ่งก็สามารถพาตัวออกมาได้สามสี่คนแล้ว
ชุ่ยเวยเอาแต่ดึงเด็กสาวให้เดินไปข้างหน้า ในใจเต็มไปด้วยความเดือดดาลและรู้สึกไม่เป็นธรรม
เดินออกมาพักใหญ่ จึงค่อยๆ เดินช้าลงและเริ่มสนทนากับนาง
แต่ไม่ว่าชุ่ยเวยจะถามสิ่งใด เด็กสาวกลับเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา
จนเมื่อนางถามเด็กสาวว่าชอบช่วงเวลาใด เด็กสาวจึงตอบมาสองคำอย่างอ่อนโยนว่า ‘ยามเย็น’
ชุ่ยเวยดีใจอย่างยิ่ง
หนึ่งคือเพราะในที่สุดเด็กสาวผู้นี้ก็พูดกับตนแล้ว สองก็เพราะตัวนางเองก็ชอบยามเย็นมากเช่นกัน
ชุ่ยเวยรู้สึกมาตลอดว่าทุกสิ่งในยามเย็นนั้นงดงามที่สุด
ไม่ว่าจะเป็นของที่พิเศษอัศจรรย์เพียงใด จนถึงยามเย็นตะวันตกดินก็ล้วนอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยท่วงทำนอง
ยามเช้าภายในเมืองหลวงมักเร่งรีบและหม่นหมองกินไป
แม้จะเป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยโอกาสแห่งการทำมาหากิน แต่ก็ทำให้คนต้องเร่งรีบจนต้องหอบแทบขาดใจ
ส่วนยามเที่ยงวันก็สว่างชัดเจนเกินไปอีก
ภายใต้ตะวันจ้าตา ฝุ่นควันจากล้อรถและเกือกม้าวิ่งนั้นตลบอวบอวลจนสะดุดตา ชุ่ยเวยรู้สึกว่ามองปราดเดียวก็รู้เห็นทุกสิ่งแล้ว น่าเบื่อนัก…
และเด็กเล็กหลังทานอาหารเที่ยงแล้วก็มักต้องไปนอนสักงีบ
ฉะนั้น เวลาในช่วงบ่ายก็มักเป็นช่วงเวลาที่เกียจคร้านและนอนหลับฝัน
ส่วนเมื่อตื่นขึ้นมา เรี่ยวแรงกลับคืนมาก็เป็นเวลาจวนยามเย็นแล้ว
ความดำมืดในเวลาค่ำคืนกลืนกินสีสันทั้งมวลในแดนมนุษย์ เหลือไว้เพียงแสงดาราเป็นหย่อมๆ กับแสงจันทร์ก่อนที่มันจะเว้าแหว่ง แม้ยามค่ำคืนจะเงียบสงบลึกล้ำ แต่กลับทำให้คนหลงใหลจนยากจะถอนตัวได้
ท่ามกลางความขมุกขมัวแฝงไว้ด้วยความกระจ่างชัด ภายใต้ความเกียจคร้านกลับซุกซ่อนไว้ด้วยชีวิตชีวา
อาทิตย์อัสดงแสนงดงามกับความเรียบง่ายในชีวิตคนประสานเข้าด้วยกัน ทุกสิ่งล้วนพอดิบพอดีด้วยธรรมชาติสรรสร้าง
ผู้คนที่เหน็ดเหนื่อยมาทั้งวันกลับมาบ้านในยามเย็น ความขัดแย้งและความยากลำบากทั้งมวลล้วนบรรเทาลงพร้อมกับท้องฟ้าสีชาด
………………………………………
……….