ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 389 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-4
บทที่ 389 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-4
……….
พร้อมกันนั้นก็ชักกระบี่ยาวสีเงินออกมาเล่มหนึ่ง
คนชุดขาวได้แต่ยิ้มไม่ตอบ
แต่ในมือเขากลับถือดาบสีนิลเล่มหนึ่ง
ดาบสีนิลในมือของคนชุดขาว และกระบี่เงินในมือของชายชุดดำ
ภาพแห่งความขัดแย้งแสนงดงามภาพนี้กลับทำให้ชุ่ยเวยรู้สึกกลัวขึ้นมา…
นางเข้าไปหลบหลังต้นสน อยากจะกลับบ้าน
แต่กลับรู้สึกสนใจภาพประหลาดตรงหน้าจนถอนตัวไม่ขึ้น
คนชุดเขาหวดดาบเบาๆ
ไม่ช้าไม่เร็ว
เหมือนเหล่าสาวใช้ของสตรีสูงศักดิ์ที่กำลังพัดเช่นนั้น
แต่ในความอ่อนโยนนี้ ชุ่ยเวยกลับมองเห็นว่าทุกครั้งที่คนชุดขาวหวดดาบล้วนมีเกล็ดหิมะสิบเกล็ดถูกตัดขาดในแนวเฉียง
จากขวาบนลงซ้ายล่าง ไม่เว้นสักเกล็ด
เกล็ดหิมะโปรยลงมาโดยไม่มีระเบียบใดๆ
แต่ทุกดาบของคนชุดขาวล้วนสามารถตัดเกล็ดหิมะตั้งมากมายในมุมนี้ได้ทั้งสิ้น
เรื่องนี้ย่อมทำให้คนรู้สึกประหลาดใจ!
ชายชุดดำหอบหายใจหนัก
ไอสีขาวสองสายพุ่งออกมาจากรูจมูกของเขา และหายไปท่ามกลางพายุหิมะ
“ดาบนิลตัดหิมะ กระบี่เงินจะตัดสิ่งใด”
ชายชุดดำถาม
ชุ่ยเวยเอ่ยออกมาประโยคหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
แต่กลับดึงดูดให้คนชุดขาวเบนสายตามายังหลังต้นสน และจับจ้องชุ่ยเวย…
ฝันถึงตรงนี้ ชุ่ยเวยกลับถูกสายตาของคนชุดขาวทำให้ตกใจตื่น
นางไม่รู้ว่าความฝันนี้บอกเหตุถึงสิ่งใด…แม้ในใจจะตื่นตระหนก แต่ก็ยังรู้สึกว่าเหมือนมีบางสิ่งยังไม่จบสิ้น
ก่อนชุ่ยเวยจะไปจากร้านบะหมี่หยางชุนร้านนี้ นางก็เข้าไปค้นดูข้างในรอบหนึ่ง
เดิมทีนางไม่ได้คาดหวังสิ่งใด แต่กลับค้นเจอเงินหลายสิบตำลึง กุญแจเลี่ยมทองหนึ่งดอก และดาบสั้นสีฟ้าหนึ่งเล่ม
ชุ่ยเวยเหน็บดาบสั้นไว้ที่เอว เอากุญแจใส่ไว้ในช่องแขนเสื้อ
ใส่ก้อนเงินหลายสิบตำลึงไว้ในอกเสื้อ และกอดเอาไว้แน่นๆ…
หลังจากนางเดินออกมาสิบกว่าก้าว จู่ๆ กลับนึกขึ้นได้ว่าตำราเล่มนั้นตกอยู่ในร้าน
เมื่อคิดถึงเรื่องแปลกประหลาดก่อนอ่านตำราเมื่อวานนี้ ชุ่ยเวยจึงตัดสินใจจะกลับไปเอามันมาด้วย
ไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ อย่างน้อยก็เก็บไว้เป็นของเล่น
หรือต่อให้ไร้ประโยชน์จริงๆ ก็ยังสามารถฉีกออกทีละหน้านำไปเป็นเชื้อก่อไฟได้
ทั้งที่ชุ่ยเวยจำได้ว่าเมื่อวานนี้ไม่ว่าจะเปิดหนังสือไปหน้าใด ล้วนเป็นตัวอักษรท่อนยาวๆ ที่ยากจะเข้าใจท่อนนั้น
แต่เมื่อพลิกเปิดยามนี้กลับกลายเป็นภาพภาพหนึ่ง
หรือพูดได้ว่าเป็นภาพแผนที่ภาพหนึ่ง
ในภาพมีเรือนหลังหนึ่ง
มุมบนซ้ายมีสัญลักษณ์บอกทิศทาง มุมล่างขวาวาดกุญแจไว้ดอกหนึ่ง
ชุ่ยเวยรีบล้วงเอาลูกกุญแจจากช่องในแขนเสื้อมาวางเทียบดู และพบว่าลวดลายบนนั้นเหมือนกันไม่มีผิด
นางรีบวิ่งไปซื้อม้าตัวหนึ่งในตัวเมือง
ขี่ม้าเสาะหายอดอาชาตามเบาะแส[1] เร่งมุ่งหน้าไปยังเรือนหลังนั้น
นางมีความเปรมปรีดิ์อยู่เต็มหัวใจ อยากดูว่าเมื่อใช้ลูกกุญแจดอกนี้ไขประตูเรือนออกแล้ว ภายในจะมีสิ่งใดอยู่กันแน่
ไม่ใช่แค่นาง แม้แต่ม้าที่นางขี่อยู่ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
ตำแหน่งของเรือนหลังนี้ไม่นับว่าอยู่ไกลจากร้านบะหมี่หยางชุนร้านนั้นมากนัก
เรือนหลังนี้ก่อจากก้อนหินทั้งหมด
เป็นเอกลักษณ์ของแดนพายัพ ซึ่งยากพบเห็นในเมืองหลวง
ในแดนพายัพมีหินมาก มีไม้น้อย
กอปรกับเพราะมีพายุทรายรุนแรง บ้านเรือนของคนมั่งมีจึงมักเลือกใช้ก้อนหินสร้างเรือน
ระหว่างหินทุกก้อนล้วนใช้ข้าวเหนียวเคี่ยวเป็นแป้งเปียกทาเชื่อมกันเอาไว้
แม้แต่แผ่นดินไหวหนักๆ ก็ยังทานรับไหว
เพียงแต่เรือนที่สร้างจากก้อนหินนี้เป็นสีฟ้า
เหมือนกับสีของดาบสั้นที่ชุ่ยเวยเหน็บไว้ตรงเอวไม่มีผิด
นางหยิบลูกกุญแจออกมาแล้วเปิดประตูเดินเข้าไป เห็นว่าประตูนี้เชื่อมอยู่กับระเบียงทางเดินยาวสายหนึ่ง
ในใต้หล้านี้มีเรือนใดที่พอเปิดประตูก็จะมองเห็นทางเดินยาวๆ สายหนึ่งเช่นนี้กัน
ที่แท้แล้วเรือนแห่งนี้เป็นเพียงสิ่งหลอกตา เพื่อปกปิดระเบียงทางเดินยาวภายในก็เท่านั้น
เมื่อชุ่ยเวยเดินเข้าไปในระเบียงทางเดินนั้น หนังสือประหลาดเล่มนั้นก็ลอยขึ้น และลอยอยู่ข้างหน้านางเป็นระยะหนึ่งจั้งไปมาไม่หยุด
คล้ายกำลังนำทาง
ลำแสงหลากสีฉายออกมาพร้อมกับหน้าหนังสือที่พลิกเปิด
ทันใดนั้นตัวอักษรจำนวนนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าไปในหัวใจของชุ่ยเวย
ทำให้นางต้องยืนอยู่กับที่สามวันสามคืนเต็มๆ จึงสามารถเข้าใจภาพตรงหน้าได้
เมื่อชุ่ยเวยดึงสติกลับมาได้ กลับเห็นว่าเมื่อขยับมือเท้าล้วนมีปราณเซียนเป็นเส้นๆ เปล่งออกมา
ทว่าเมื่อนางเบิกตากว้างมองท้องฟ้าและผืนดินกลับรู้สึกต่างออกไปอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ชุ่ยเวยคิดว่า ‘ฟ้า’ นี้หมายถึงแดนมนุษย์ และท้องฟ้ากว้างนี้คือความจริงที่ดำรงอยู่โดยที่กำลังของมนุษย์ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้
แต่ในหนังสือกลับบอกให้นาง ‘คว้าฟ้ามาดูแคลน’
เดิมทีฟ้าก็เป็นนามธรรม แล้วจะกุมไว้ในมือได้อย่างไร
เช่นนั้นจะต้องใช้ ‘วิชา’
วิชานี้คือหนทางที่เที่ยงแท้ เป็นเครื่องมือและสื่อกลางให้ ‘คว้าฟ้ามาดูแคลน’ ได้ ซึ่งสื่อกลางนี้มีอยู่ห้าอย่าง
สื่อกลางที่ต่างกันทั้งห้าอย่างนี้ควบคุมและปรับสมดุลกัน ทั้งยังสามารถกระตุ้นกันให้เจริญงอกงาม หากมองให้ทะลุปรุโปร่งและกระจ่างแจ้งในสื่อกลางทั้งห้านี้จึงจะนับว่าสามารถเข้าใจ ‘วิชา’ ได้อย่างสมบูรณ์
แต่เมื่อมนุษย์คิดจะใช้ ‘วิชา’ นี้ไปควบคุมสรรพสิ่งแล้ว ก็จะทำให้เกิดความปรารถนาในการสังหารไม่สิ้นสุด
ความปรารถนาในการสังหารนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของความโกลาหลทั้งมวล
นับแต่โบราณมา หลังความโกลาหลครั้งใหญ่ย่อมได้รับการปกครองที่ยิ่งใหญ่
เมื่อใต้หล้าเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ ทุกทิศทางไม่อาจคงไว้ได้ จำต้องมีการสลับกันปกครองระหว่างสมัยแห่งจักรพรรดิและผู้บำเพ็ญจิต ส่วน ‘วิชา’ นี้กลับทำให้ผู้บำเพ็ญตนมีพื้นฐานในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสารพัด ก็เหมือนกับธรรมชาติของมนุษย์ที่มีทั้งส่วนของความปราดเปรื่องและโง่เขลา ทว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนมีความถนัดของตนทั้งสิ้น ใช้ความถนัดของตนเป็นโล่ เน้นจุดเด่นเลี่ยงจุดด้อย ผู้ที่ถนัด ‘วิชา’ นี้จะสามารถยืนหยัดและปกป้องตนได้
ทว่าหากพบกับเจตนาสังหารของฟ้าเล่าจะทำเช่นไรได้
สิ่งที่ชุ่ยเวยเคยตระหนักมาก่อนนี้ล้วนคือภัยจากมนุษย์ เมื่อฟ้าหมายสังหารก็คือภัยจากธรรมชาติ
เขาถล่มดินทลาย น้ำท่วมทะลัก ดินแล้งแมลงระบาด พายุซัดแผ่นดินไหวจะรับมือเช่นใด
ชุ่ยเวยคิดไปคิดมาก็อ่อนล้าเต็มทน เริ่มง่วงนอน…
หากเป็นปกติ ในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรชุ่ยเวยก็จะไม่ยอมให้ตนหลับไปเด็ดขาด…
ทว่ายามนี้นางกลับอยากนอนขึ้นมา
และอยากจะฝันต่อจากเมื่อคืน
เป็นดังคาด ยามนี้ฟ้าเป็นใจ ทำให้นางได้ฝันต่อจากนั้นจริงๆ
………………………
ทว่าสายตาของคนชุดขาวหันกลับไปแล้ว
เขาพลิกมือแล้วหวดดาบออกไป
ครั้งนี้ไม่ได้เนิบนาบเหมือนครั้งก่อน
ชายชุดดำย่อตัวลง รังสีดาบแนบหนังหัวเขาและสาดผ่านไปข้างหลัง
ทำให้ต้นไม้และหิมะที่อยู่ห่างไปนับสิบจั้งสั่นไหวจนปลิดปลิวไปหมด
ทว่าชุ่ยเวยกลับได้ยินเสียงกิ่งไม้หักอย่างชัดเจนยิ่ง
ดาบนี้น่าเกรงขามถึงเพียงนั้น!
มิน่าเล่าชายชุดดำจึงไม่กล้าหยุดวิ่ง…ไม่กล้าให้คนชุดขาวออกมา
ชายชุดดำลุกขึ้นยืนตัวตรงอีกครั้ง
ในมือเขายังคงกุมกระบี่อยู่
ทว่าดาบนิลในมือของคนชุดขาวกลับหายวับไปแล้ว
“ดาบเขาหายไปไหนแล้ว”
ชุ่ยเวยถาม
ชายชุดดำไม่ตอบ
“หรือว่าดาบที่ฟันมาเมื่อครู่ ก็เหวี่ยงดาบในมือของตนเองออกไปด้วย?”
ชุ่ยเวยยังไม่ยอมแพ้ ยังคงถามต่อ
“เขาฟันได้เพียงดาบเดียว”
ชายชุดดำเอ่ยอย่างเนิบนาบ
“ดาบเดียว? นี่มันหลักการใดกัน แล้วเป็นดาบอะไร”
ชุ่ยเวยถามอย่างไม่เข้าใจยิ่ง…
“เขาฟันได้เพียงดาบเดียว ส่วนข้าก็ออกกระบี่ได้ครั้งเดียวเช่นกัน”
ชายชุดดำกลับไม่ได้ให้คำอธิบายใดกับชุ่ยเวย ยังคงก้มหน้าก้มตาเอ่ยต่อไป
ที่แท้แล้วหมายความว่าอย่างไร มีเพียงตัวชายชุดดำเองที่รู้
“เช่นนั้นกระบี่นี้ของท่านก็ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด”
ชุ่ยเวยกล่าว
เพิ่งสิ้นเสียงนาง ชายชุดดำก็พุ่งกระบี่ออกไป
ในชั่วพริบตา มุ่งสังหารตรงเข้าใส่ลำคอของคนชุดขาว
ด้วยความเร็วที่กระบี่แทงทะลุผ่านอากาศนั้น แม้แต่เกล็ดหิมะรอบกระบี่ในระยะสามชุ่นก็ละลายกลายเป็นน้ำ หยดลงพื้นทีละหยดเช่นไข่มุกทะเลใต้และหยาดน้ำตาของหญิงงาม
ทำให้พื้นดินที่มีหิมะสะสมอยู่หนากลายเป็นรูเล็กหลายรู
ยามเห็นว่าปลายกระบี่กำลังจะแทงเข้าไปในลำคอของคนชุดขาวแล้ว คนชุดขาวกลับเอี้ยวตัว
ใช้ลูกกระเดือกของตนทานรับกระบี่จากด้านข้าง เคลื่อนเท้าขยับไปทางชายชุดดำ
ชายชุดดำเห็นดังนั้นก็ตื่นตระหนกจนหน้าถอดสี!
พยายามกดด้ามกระบี่อย่างสุดกำลัง กระทั่งใช้ทั้งสองมือด้วยซ้ำ
แต่ลูกกระเดือกของคนชุดขาวราวกับหลอมมาจากเหล็ก…มันไม่ขยับเขยื้อนแต่อย่างใด!
ชุ่ยเวยเห็นอย่างชัดเจนว่าชายชุดดำเคลื่อนพลังปราณจำนวนมากมาไว้ที่กระบี่เงินในมือ และกดลงจนดาบโค้งงอ!
ทว่ายังคงไม่สามารถทานกำลังของคนชุดขาวได้แม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าไม่เป็นไปดังคาด!
ชายชุดดำจึงกดเท้าข้างหนึ่งลง ร่างจึงหยัดอยู่ได้อย่างมั่นคง
จากนั้นหันหน้าไปทางคนชุดขาวก่อนถอยหลังไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งคู่ห่างกันเพียงครึ่งกระบี่เท่านั้น
ชายชุดดำมองใบหน้าด้านข้างของคนชุดขาว
ทว่าคนชุดขาวกลับหันหน้าไปทางชุ่ยเวย
ชุ่ยเวยไม่เคยพบเห็นวิชาที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน และไม่รู้ว่าที่แท้แล้วทั้งสองมีความแค้นเคืองใดต่อกัน
กระทั่งไม่รู้ว่าควรเรียกพวกเขาว่า ‘คน’ หรือไม่….
ในขณะที่ชุ่ยเวยกำลังเบิกตาโตอยู่ ทันใดนั้นคนชุดขาวกลับยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม
เดิมทีแล้วรอยยิ้มสามารถนำพาความอบอุ่นและความสบายใจมาสู่คน…
แต่รอยยิ้มนี้ของคนชุดขาวกลับทำให้อากาศเย็นยะเยือกขึ้นมาฉับพลัน
กระทั่งมีเกล็ดหิมะสีขาวเกาะอยู่บนขนตายาวงอนของชุ่ยเวยชั้นหนึ่ง
ทำให้นางกะพริบตาอย่างยากเย็น
นางอยากเอามือปัดหิมะขาวบนขนตาออกให้หมด แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถยกแขนขึ้นมาได้
ทั่วทั้งร่างของนางนอกจากลูกตาที่ยังสามารถเคลื่อนไหวได้ สมองยังสามารถคิดใคร่ครวญได้แล้ว ส่วนอื่นๆ นอกนั้นล้วนนิ่งอยู่กับที่ราวกับมีตะกั่วถ่วงไว้
“นี่ข้าเป็นอันใดไป”
ชุ่ยเวยถามอย่างร้อนรนอยู่ในใจ
นางค้นพบว่ามีเพียงเมื่ออยู่ในมิติแห่งนี้
ไม่ว่าจะเอ่ยออกจากปากหรือเพียงคิดอยู่ในใจ ชายชุดดำก็สามารถได้ยินทั้งสิ้น
แต่ครั้งนี้ชายชุดดำกลับไม่มีท่าทีตอบสนองแต่อย่างใด
เขากำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้แล้วจะมีเวลามาตอบคำถามของชุ่ยเวยได้อย่างไร
จวบจนชายชุดดำถอยห่างไปไกลเรื่อยๆ สายตาของคนชุดขาวจึงเคลื่อนไปอีกที่หนึ่ง เมื่อถูกต้นสนบดบังไว้ ร่างกายที่แข็งทื่อของชุ่ยเวยจึงค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ
ชุ่ยเวยพิงกับต้นไม้ หอบหายใจกระชั้น
แม้ในใจจะตื่นตระหนกอย่างยิ่ง แต่นางก็ยังไม่ยอมจากไป
พิงต้นไม้เพื่อพักหายใจครู่หนึ่ง ก่อนจะพยายามเดินไปข้างหน้า
เพราะนางอยากเห็นผลการต่อสู้ของคนชุดดำและขาว
และอยากรู้ให้แน่ชัดว่าที่แท้แล้วคนทั้งสองนี้ก่อเกิดขึ้นมาได้อย่างไรถึงแตกต่างจากคนทั่วไปเช่นนี้!
………………………………………
[1] เสาะหายอดอาชาตามเบาะแส หมายถึง เสาะหาของที่ต้องการตามเบาะแสที่มี
……….