ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 388 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-3
บทที่ 388 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-3
ผู้วิเศษพูดมาถึงตรงนี้ก็พลันหยุดลง
ฮ่องเต้ฟังแล้วรู้สึกว่าไร้เหตุผลยิ่งนัก
เพราะตัวเขาเองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน
แต่ว่าเสนาบดีผู้หนึ่งรวมทั้งชีวิตของคนทั้งตระกูล เมื่อรวมกันแล้วก็ยังไม่มีค่าเท่าผมเส้นหนึ่งของโอรสตนเลย
ฮ่องเต้ไม่รู้ว่าชุ่ยเวยผู้นี้เกี่ยวข้องอะไรกับการที่ตนไร้บุตรธิดา
ผู้วิเศษยิ้มเล็กน้อย หยิบสุราสองขวดวางไว้ตรงหน้า
ฮ่องเต้เห็นขวดสุราทั้งสองพลันนึกถึงเรื่องเล่าเมื่อครู่นี้จึงตื่นเต้นยินดียิ่งนัก!
เถ้าแก่ร้านบะหมี่หยางชุนที่ผู้วิเศษเอ่ยถึง ผู้ที่ให้ชุ่ยเวยดื่มน้ำในขวดสุราและจากนั้นก็มอบหนังสือให้นางต้องเป็นเซียนที่แท้จริงเป็นแน่!
และผู้วิเศษผู้นี้ก็นำขวดสุราสองขวดมาจัดวางตรงหน้าด้วยเช่นกัน
ฮ่องเต้คิดในใจว่าหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นต้นกำเนิดของสุรา และอีกขวดหนึ่งจะต้องเป็นปลายทางของน้ำเป็นแน่
อดใจไม่ไหวรีบยกทั้งสองขวดขึ้นมาดื่มจนหมด
ยามเข้าปากเผ็ดร้อนเกินเปรียบ
สิ่งที่อยู่ในขวดทั้งสองล้วนเป็นสุรา
ฮ่องเต้กำลังจะอ้าปากถามแต่กลับรู้สึกว่าในลำคอเหมือนถูกก้อนดินเหนียวอุดตันอยู่ ทำให้หายใจและพูดไม่ออก
ไม่นานจากนั้นก็สิ้นใจตายตรงหน้าผู้วิเศษ
ตำหนักอาวรณ์ที่เพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่นานก็พังทลายลงทันทีหลังจากฮ่องเต้สิ้นชีพ…
วันนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่ในเมืองหลวงต่างมองเห็นสายรุ้งสาดแสงขึ้นมาอย่างรวดเร็วในตอนกลางวัน ก่อนลากผ่านเมืองหลวงในแนวราบแล้วหายวับไปทันใด
วันต่อมาฮ่องเต้สวรรคต ทั่วเมืองไว้อาลัย
ผ่านไปสามวัน ราชสำนักและใต้หล้าเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
หลังจากโอรสทั้งสี่สิบสามพระองค์ร่วมมือกันปลดพระอนุชาของฮ่องเต้แล้ว พวกเขาต่างทะเลาะเบาะแว้งกัน และเกิดการต่อสู้ภายในไม่หยุดหย่อน
ยุคสมัยแห่งจักรพรรดิจึงล่มสลายไปภายในเวลาสี่เดือนกับอีกเจ็ดวัน…
…………………………..
ในคืนที่ชุ่ยเวยได้รับหนังสือแห่งเซียนที่สวรรค์ประทานให้ นางก็นอนหลับอยู่ร้านบะหมี่หยางชุนแห่งนั้น
นางไม่ได้นอนในที่ที่อบอุ่นและรู้สึกอุ่นใจเช่นนี้มานานมากแล้ว
นางปิดประตูร้านเข้ามากว่าครึ่ง
เหลือไว้เพียงช่องเล็กๆ เพื่อให้เป็นปล่องระบายควันของเตาไฟ
จากนั้นนางก็หาสุราในร้านจนพบ!
สุรานับเป็นของดี
เป็นของที่นางอยากดื่มในคืนนี้แต่กลับไม่ได้ดื่มมาทั้งคืน
การได้จิบสุราสองสามจิบในร้านที่อบอุ่น ทำให้นางรู้สึกสบายทั่วทั้งตัว
ความสามารถในการดื่มสุราของชุ่ยเวยอยู่ในระดับปานกลาง แต่อาจเพราะความตึงเครียดก่อนนี้ยังไม่หายไปทั้งหมด นางดื่มสุราฤทธิ์แรงทั้งขวดแต่กลับยังไม่มีอาการตอบสนองใด
ยามเป็นล่องลอยไร้ที่พึ่ง ชุ่ยเวยมักรู้สึกว่าตนเองเหมือนดักแด้ที่อยู่ในรังไหม
นั่นเพราะชีวิตในเวลานี้ ทำให้นางหนีไม่พ้นความหวังที่จะเอาชนะอุปสรรคหรือมีทางออกสักทาง
แต่การเอาชนะอุปสรรคและหาทางออกได้นั้น ต้องผ่านความทรมานและประสบการณ์ ทุ่มเทกายใจและหลั่งเลือดจึงจะสำเร็จได้
บางครั้งแม้จะผ่านกระบวนการที่ยาวนาน ดอกจอกก็ยังไม่แตกราก หนอนก็ยังคงไม่กลายเป็นผีเสื้อที่สวยงาม
แต่เมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ อาจทำได้เพียงเผชิญหน้ากับทุกสิ่งเท่านั้น
ไม่เช่นนั้นก็จะไม่ต่างกับครั้งยังเป็นเด็กเล็ก
หากจะให้หายไปอย่างไร้สุ้มเสียง ถูกทำลายลงกะทันหันยังดีกว่า
ชุ่ยเวยจำไม่ได้ว่าสุดท้ายแล้วตนหลับไปได้อย่างไร
นี่ต้องไม่ได้เกิดจากการเมาสุราเป็นแน่
อาการปวดหัวในวันต่อมาหลังดื่มสุราเป็นเหมือนกับงูตัวน้อยเลื้อยไปมาอยู่ในหัว
เมื่อเจ้าจับทางด้านซ้าย มันก็จะวิ่งไปทางขวา
ยามทุบทางขวาด้วยความโมโห มันอาจมุดไปข้างหน้าหรือหลัง
ไม่มีทางเอาแต่หยุดนิ่งอยู่ตรงท้ายทอยอย่างว่าง่าย ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อยเหมือนกับที่ชุ่ยเวยเป็นยามนี้
ทว่าชุ่ยเวยก็ดื่มจนเมาจริงๆ
เมื่อคนเราวิตกกังวล นั่นเพราะในหัวใจเริ่มรัดตึง บางครั้งสามารถรักษาสติไว้ได้ด้วยฤทธิ์ของสุรา
แต่เมื่อเวลาผ่านไป นางก็จะค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ความมึนเมาที่สั่งสมมาก่อนหน้านี้ถาโถมขึ้นมาในพริบตา ความรู้สึกขาดอากาศเหมือนตอนจมน้ำทำให้ชุ่ยเวยหมดสติและล้มลงไปทางด้านหลัง
พอล้มลงไปเช่นนี้ ท้ายทอยย่อมลงถึงพื้นก่อน
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ็บที่หัวในวันต่อมาก็เป็นเรื่องธรรมดา
เพียงแต่นางจำได้ว่าฝันลึกนัก…
นางฝันเห็นช่วงเวลาที่ตนยังคงอาศัยอยู่ในจวนเสนาบดี
วันนี้เป็นวันที่หนึ่งเดือนสอง
วันรุ่งขึ้นก็จะเป็นวันมังกรเงยหัว[1]
ซึ่งก็คือเวลาสิ้นสุดฤดูหนาว เริ่มฤดูใบไม้ผลิ แม้จะเห็นใบไม้สีเขียวอ่อนได้แล้วแต่ก็ยังไม่อบอุ่นเท่าใด
อย่างน้อยในความทรงจำของชุ่ยเวยก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อมีความทรงจำเช่นใดก็จะมีฝันเช่นนั้น
ซึ่งในวันนี้ ในความฝันของชุ่ยเวยยังคงมีหิมะพัดปลิวอยู่
ยิ่งไปกว่านั้น ยังตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
คนที่งมงายว่ากันว่าเมื่อมีหิมะตกก่อนวันมังกรเงยหัวนับเป็นเรื่องที่ไม่ดีอย่างยิ่ง…
พวกเขาบอกว่าเกล็ดหิมะที่ตกลงมาทุกเกล็ดล้วนเป็นเกล็ดของมังกร
ดังนั้นเมื่อมีหิมะตกก่อนวันมังกรเงยหัว ก็แสดงว่าในปีนั้นมังกรไม่สามารถเงยหัวขึ้นมาได้
ด้วยไม่รู้สาเหตุ จึงคิดว่าเรื่องนี้ทำให้ตำหนักสวรรค์กริ้วโกรธ
จนเป็นเหตุให้ ‘โรมรันมังกรหยกขาวสามล้านตัว แพ้พ่ายเกล็ดหลุดปลิวทั่วฟ้า[2]’
แม้ว่าชุ่ยเวยจะไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้
แต่นางก็ได้ยินความกังวลเรื่องสภาพการณ์ในปีนี้จากปากของบิดานาง
ที่แห่งนี้ไม่ใช่แดนพายัพ
หิมะตกในช่วงที่กำลังจะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิยามเดือนสอง นับเป็นลางบอกเหตุแห่งปีภัยพิบัติทีเดียว
ชุ่ยเวยฟังคำพูดเหล่านี้ไม่เข้าใจจึงวิ่งออกไปนอกเมืองอย่างรวดเร็ว
แต่หิมะก็ยังคงปลิวว่อน ผืนแผ่นดินขาวโพลนไปหมด
ต้นสนอายุมากหลายต้นนอกเมืองมีเกล็ดหิมะเกาะอยู่เต็มไปหมด ยามสะท้อนอยู่ใต้แสงอาทิตย์อัสดง มันเปล่งแสงสีชมพูอ่อน ชุ่ยเวยชื่นชอบอย่างยิ่ง
ยามมีลมพัดมา หิมะที่เพิ่งตกลงบนกิ่งก้านยังเกาะไม่ทันแน่นก็ถูกพัดขึ้นไปอีกครั้ง พัดปลิวเข้าไปท่ามกลางความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตนั้น
ทันใดนั้นเอง ชุ่ยเวยก็มองเห็นคนผู้หนึ่ง
บุรุษชุดดำกำลังวิ่งอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยหิมะ
เขาวิ่งรวดเร็วนัก
แม้แต่หิมะก็ยังไม่สามารถร่วงลงบนกายเขาได้ ถูกกระแสลมรอบกายเขาพัดออกไปจนหมด
แม้จะอยู่ห่างออกไปไกลนัก
แต่ชุ่ยเวยก็ยังสามารถมองเห็นได้ว่าทั้งใบหน้า สองมือและจมูกปากของชายผู้นี้ล้วนเป็นสีม่วง…
เป็นสีของการถูกหิมะกัด
ทว่าอากาศในเวลานี้ก็ไม่ได้เหน็บหนาวเกินไป เหตุใดคนผู้นี้จึงถูกหิมะกัดจนเป็นเช่นนี้ได้
ขอเพียงเป็นที่ที่มีหิมะตก ผู้คนล้วนรู้ว่าในยามที่มีหิมะตกในฤดูหนาว อากาศจะอบอุ่นขึ้น
ทว่าหลังจากหิมะหยุดตกแล้วจะเหน็บหนาวทรมานยิ่งขึ้น
นอกจากผิวพรรณที่เผยออกมากลายเป็นสีม่วงคล้ำแล้ว ชุ่ยเวยก็ยังมองเห็นด้วยว่าดวงตาทั้งคู่ของเขาเป็นสีแดงสด
นี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นกับคนที่เหน็ดเหนื่อยยิ่ง
‘เขาวิ่งอยู่เช่นนี้มานานเท่าใดแล้ว’
ชุ่ยเวยคิดอยู่ในใจ
สิ่งที่แปลกก็คือคำถามที่นางคิดอยู่ในใจในความฝันนั้นกลับได้รับคำตอบ
“สามวันสามคืน!”
เสียงหนึ่งดังขึ้นมาทันใด
และเพราะเสียงนี้ทำให้ชุ่ยเวยประหลาดใจอย่างยิ่ง
นางเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้ตัวและมองไปยังชายชุดดำผู้นั้น
สัญชาตญาณบอกกับนางว่าคำพูดนี้ดังมาจากเขา
“เหตุใดเจ้าจึงไม่หยุดเสีย”
ชุ่ยเวยถาม
“ข้าหยุดไม่ได้”
ด้วยเหตุนี้ชุ่ยเวยจึงมั่นใจได้ว่าต้นกำเนิดของเสียงนี้ก็คือชายชุดดำผู้นั้น
แม้เวลานี้เขายังคงวิ่งไปอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่กลับเอาแต่วิ่งวนอยู่กับที่
“เอาแต่วิ่งวนอยู่เช่นนี้จะมีความหมายใด”
ชุ่ยเวยถาม
ชายชุดดำกล่าว
ชุ่ยเวยทอดสายตาไปทั่วทิศ แต่กลับไม่เห็นสิ่งใดเลย
ทว่าชุ่ยเวยกลับไม่รู้ว่าในใจของชายชุดดำนั้นมีผืนดินซึ่งปกคลุมด้วยหิมะอยู่ผืนหนึ่ง
ผืนดินที่ปกคลุมด้วยหิมะนั้น ก็มีคนผู้หนึ่งที่กำลังวิ่งเช่นเดียวกับเขา
หากตั้งใจดู สิ่งที่ต่างกันเพียงสิ่งเดียวก็คือคนผู้นั้นสวมเสื้อผ้าสีขาว
สีขาวนั้นเป็นสีที่โรงย้อมผ้าในแดนมนุษย์ไม่สามารถผสมออกมาได้
ซึ่งก็คือสีขาวบริสุทธิ์ที่สุดเหมือนกับหิมะที่ตกลงมาในโลก
หากมองให้ละเอียดยิ่งกว่านั้นอีกหน่อย
ก็จะพบว่าใบหน้า สองมือ และจมูกปากของคนชุดขาวผู้นี้ล้วนเป็นสีแดงระเรื่อ
นั่นคือความรู้สึกของความอบอุ่น
มีเพียงยามที่อยู่ภายในห้องที่อบอุ่นที่สุด อยู่ข้างเตาไฟจึงจะมีสีเช่นนี้ปรากฏขึ้นมาบนร่างกายคน
คนชุดขาวก็กำลังวิ่งวนอยู่เช่นกัน
ทว่าจุดศูนย์กลางที่เขาวิ่งวนอยู่นั้นกลับเป็นกองไฟกองหนึ่งลุกโชนอยู่
เหนือกองไฟมีราวเหล็กราวหนึ่ง
มีโซ่เหล็กเส้นหนึ่งห้อยลงมา ส่วนปลายเป็นตะขอ
ตรงตะขอมีภาชนะเหล็กที่เหมือนหม้อคล้ายถังห้อยอยู่ใบหนึ่ง
หิมะร่วงลงในภาชนะเหล็กนี้ ก็ถูกไฟลุกโชนด้านล่างเปลี่ยนให้กลายเป็นน้ำในทันใด
จนเมื่อมีน้ำมากขึ้นแล้ว ก็ค่อยๆ มีควันขาวพวยพุ่งออกมา
เมื่อมีควันขาวเหล่านี้มากขึ้นเรื่อยๆ ก้นของภาชนะเหล็กก็มีฟองเล็กๆ จำนวนมากครอบอยู่หนึ่งชั้น
ฟองเหล่านี้ลอยขึ้นข้างบน มีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายแตกออกที่ผิวน้ำ
น้ำเดือดแล้ว!
คนชุดขาวเห็นว่าน้ำเดือดแล้ว แม้สีหน้าจะไม่ได้เปลี่ยนไปนัก แต่เขาวิ่งพลางเอาห่อกระดาษเล็กๆ ห่อหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
เมื่อเปิดห่อออกก็เททั้งหมดใส่ปาก
ของที่อยู่ในห่อกระดาษเล็กๆ นั่นก็คือใบชา
น้ำเดือดแล้ว ใช้สำหรับชงชา
แต่ว่าการชงชาอย่างน้อยก็ต้องมีถ้วยหนึ่งใบ
หรือไม่ก็โยนใบชาที่อยู่ในห่อกระดาษเล็กๆ นั้นลงไปต้มในภาชนะเหล็กก็ได้
แต่คนชุดขาวผู้นี้กลับเทใบชาลงปาก
หรือเขาคิดจะใช้ปากของตนเองเป็นถ้วยชา
เป็นจริงดังนั้น…
เมื่อใบชาเข้าปาก
คนชุดขาวก็รีบวิ่งเข้าไปข้างๆ ภาชนะเหล็ก สูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง
น้ำเดือดพล่านคำหนึ่งก็ถูกดูดเข้าไป
เขาทำสองแก้มให้พองโตพลางเขย่าหัว
คล้ายจะให้ชาเข้ากันเร็วขึ้นหน่อย
และในขณะที่คนชุดขาวหยุดวิ่งเพื่อดูดน้ำ
ชายชุดดำก็หยุดวิ่งด้วยเช่นกัน
“เหตุใดยามนี้เจ้าจึงหยุดวิ่งแล้ว”
ชุ่ยเวยถาม
“เขากำลังดื่มน้ำ”
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงไม่ดื่มน้ำเล่า”
ชุ่ยเวยปิดปากหัวเราะพลางเอ่ย
“เพราะข้าไม่มีเวลาพอ!”
ตอนที่ชายชุดดำพูดคำว่า ‘เพราะ’ เขาก็เริ่มวิ่งขึ้นมาอีกครั้ง
ในที่สุดชุ่ยเวยก็รู้แล้วว่าเหตุใดเขาจึงเหน็ดเหนื่อยเพียงนี้…
ตลอดสามวันสามคืนนี้ ช่วงเวลาที่เขาหยุดวิ่งรวมกันแล้วอาจยังไม่ถึงเวลาหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ
มนุษย์ไม่ได้ทำจากเหล็ก ไม่ว่าผู้ใดก็ทานรับไม่ไหวทั้งสิ้น
ยิ่งไปกว่านั้น ที่เขาทนวิ่งอยู่ได้สามวันนี้ก็นับว่าเก่งกาจมากแล้ว
ในเวลานั้นเอง จู่ๆ ชายชุดดำก็ลื่นและล้มลงพื้น
แววตาเขาขุ่นมัว…มือปัดป่ายหิมะบนพื้นด้วยความคับแค้นใจ…
ในขณะที่คนชุดขาวกำลังจะกลืนน้ำชาในปาก ม่านตาพลันหดลง
จากนั้นเงยหน้าขึ้นพร้อมแววตาที่สว่างสดใส
ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลง
ชายชุดดำลุกขึ้นมายืน พร้อมปัดหิมะบนตัวออก
เมื่อครู่เขายังคลุ้มคลั่งอยู่ แต่เวลานี้กลับไร้สีหน้า
ชุ่ยเวยถึงกับมองเห็นความจนใจและไม่พอใจลึกล้ำที่หว่างคิ้วของเขา
แต่เขาก็ปกปิดได้ดียิ่ง
ความรู้สึกประเภทนี้ เพียงฉายวาบขึ้นมาแล้วหายไป
จู่ๆ ชุ่ยเวยได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำบนหิมะ
หิมะตกกับใบไม้ร่วงนั้นต่างกัน
ส่วนใบไม้ร่วง ไม่ว่าจะใช้เรี่ยวแรงมากมายเพียงใด มันก็ยังกระจัดกระจายปลิวว่อนไปทั่วอยู่ดี
ที่แห่งนี้มีเพียงชุ่ยเวยกับชายชุดดำสองคนเท่านั้น
แล้วจะมีเสียงฝีเท้าดังมาจากที่ใดเล่า
ชุ่ยเวยเห็นชายชุดดำเอียงตัวเล็กน้อยคล้ายกำลังรอบางสิ่ง
ไม่ไกลออกไปนักก็มีคนผู้หนึ่งโผล่ขึ้นมาจากใต้ดินข้างหน้าเขา
ซึ่งก็คือคนชุดขาวที่วิ่งอยู่ในใจชายชุดดำผู้นั้นนั่นเอง
“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาเสียที”
ชายชุดดำกล่าว
………………………………………
[1] วันมังกรเงยหัว คือ วันที่สองเดือนสอง เป็นวันเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ (มังกรแห่งฤดูหนาวเริ่มขยับตัวเมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิ)
[2] โรมรันมังกรหยกขาวสามล้านตัว แพ้พ่ายเกล็ดหลุดปลิวทั่วฟ้า เป็นการเปรียบเปรยถึงหิมะที่ตกอย่างหนักว่าเหมือนกับเกล็ดของมังกรที่ปลิวว่อนทั่วฟ้า