ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 386 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-1
บทที่ 386 ไร้ร่องรอย ไร้ขอบเขต-1
เมืองเซี่ยถง
รัฐเยี่ยน
อาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
จิ้งเหยาไม่ได้อยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งนี้นานแล้ว
ทว่าชายชุดฟางแห่งสำนักปากสอบทั้งสองกลับยังคงนั่งอยู่ที่แท่นตกปลาอย่างมั่นคง
“เจ้าว่าเขาจะกลับมาหรือไม่”
ชายชุดฟางผู้หนึ่งเอ่ยปากถาม
“เขาจะไม่กลับมา…เพราะเดิมทีชาวทุ่งหญ้าผู้นี้ก็ไม่มีความเข้าใจสำนักปากสอบมากนัก แต่คนข้างกายเขาผู้นั้นจะต้องกลับมา”
ชายชุดฟางที่เป็นหัวหน้ากล่าว
“ที่จริงแล้วสองคนนั่นจะกลับมาหรือไม่หาได้สลักสำคัญ ที่สำคัญก็คือต้องพาเจ้าหนูนั่นกลับมา”
ชายชุดฟางที่เป็นหัวหน้ากล่าวต่อ
“การนี้คิดว่าพวกเขาต้องทำได้แน่”
ชายชุดฟางอีกผู้หนึ่งกล่าว
พร้อมปรายตามองสตรีข้างกาย
ซึ่งก็คือ ‘ฮูหยิน’ ของจิ้งเหยา
“ที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้เป็นฮูหยินของเขาใช่หรือไม่”
ชายชุดฟางที่เป็นหัวหน้าถาม
“ข้าจะเป็นฮูหยินของเขาหรือไม่ เจ้าควรจะไปถามเขา เหตุใดต้องมาถามผู้อื่น”
สตรีกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
ชายชุดฟางที่เป็นหัวหน้าหรี่ตาพลางเอ่ย
“ข้าเป็น”
สตรีกล่าว
ชายชุดฟางที่เป็นหัวหน้าพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็กล่าวกับชายชุดฟางอีกผู้หนึ่ง
“พวกเขาจะกลับมา กลับมาทั้งสองคน!”
คืนนั้น ด้วยคำโน้มน้าวและไกล่เกลี่ยของเกาเหริน ในที่สุดจิ้งเหยาก็ได้ทำข้อตกลงกับคนของสำนักปากสอบ
นั่นก็คือใช้สตรีผู้นี้เป็นตัวประกัน จากนั้นพวกของจิ้งเหยากับเกาเหรินจะไปตามจับแม่นางน้อยประหลาดผู้นั้นก่อน
ขอเพียงส่งแม่นางน้อยผู้นี้ถึงมือคนสำนักปากสอบ ย่อมล้างข้อสงสัยของพวกเขาได้อย่างหมดจด
เพียงแต่ก่อนหน้านี้ ชายชุดฟางทั้งสองกลับบอกว่าแม่นางน้อยเป็นทายาทของคนที่เขียนบันทึกสำนักปากสอบ เรื่องนี้กลับทำให้เกาเหรินไม่เข้าใจอย่างยิ่ง…
ชาวบ้านต่างร่ำลือกันเรื่อยมาว่าบันทึกสำนักปากสอบฉบับนี้เป็นเจ้าสำนักปากสอบคนแรกเขียนขึ้น
หากเป็นจริงดังที่ว่านี้ แม่นางน้อยก็คือทายาทของเจ้าสำนักคนแรกไม่ใช่หรือ
ในเมื่อเป็นทายาทของคนผู้นั้น แล้วจะถูกสำนักปากสอบตามจับและตกอยู่ในสภาพตกระกำลำบากได้อย่างไร
เรื่องนี้ต้องเล่ากันตั้งแต่ยุคจักรพรรดิ เมื่อราวสองร้อยปีก่อน
ครั้งนั้น ฮ่องเต้ฝักใฝ่วิถีเซียน ต้องอาบธูปหอม บดชาดแดงและหลอมโอสถอยู่ทุกวัน
เวลานั้น มีผู้วิเศษผู้หนึ่งบอกว่าตนเคยไปตำหนักสวรรค์ในแดนเซียนและได้กลับมา สามารถถ่ายทอดวิชาที่ทำให้เป็นอมตะแก่ฮ่องเต้ได้
ฮ่องเต้ถามเขาว่าเซียนมีหน้าตาเป็นเช่นใด และตำหนักสวรรค์อยู่แห่งใด
ฮ่องเต้เปรมปรีดิ์นัก สั่งให้ช่างจำนวนมากสร้างตำหนักอาวรณ์ไว้ให้ผู้วิเศษผู้นั้นพักอาศัย ซึ่งมาจากความหมายว่าอาลัยอาวรณ์แดนมนุษย์
ชั่วระยะเวลาหนึ่งทั่วทั้งแคว้นจึงหมกมุ่นอยู่กับการบำเพ็ญตนให้เป็นเซียน
ผู้ใดจะรู้ว่านอกจากวิชาที่ทำให้เป็นอมตะแล้ว ฮ่องเต้ยังอยากให้ผู้วิเศษผู้นี้ถ่ายทอดวิชาที่ใช้ในห้องบรรทมแก่ตนด้วย…
แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่เขาต้องการกลับเป็นธิดาผู้หนึ่ง
องค์ชายในรัชสมัยนี้มีทั้งสิ้นสี่สิบสามพระองค์ เมื่อรวมทั้งรุ่นหลานด้วยก็มีมากถึงร้อยกว่าพระองค์!
แต่กลับไม่มีองค์หญิงสักพระองค์เดียว…
เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้เสียใจเป็นอย่างยิ่ง
ในเมื่อเวลานี้มีผู้วิเศษที่รู้เคล็ดวิชาเซียน ย่อมต้องสามารถปรับเปลี่ยนอินหยาง ใช้อ่อนต้านแข็งได้
หลังจากผู้วิเศษคำนวณดูแล้ว ก็บอกถึงสาเหตุและผลลัพธ์ที่ได้แก่ฮ่องเต้
บอกกับเขาว่าในจวนของเสนาบดีกรมโยธามีสาวใช้อยู่ผู้หนึ่ง เป็นเพราะครอบครัวขัดสนยากจนจึงจำต้องขายตัวมาเป็นทาสในเรือน
ภายหลังเนื่องจากนางมีหน้าตางดงาม เสนาบดีกรมโยธาจึงแต่งนางเป็นอนุภรรยา
ภายหลังทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกันหนึ่งคน นามว่าชุ่ยเวย
ชุ่ยเวยอายุมากกว่าองค์รัชทายาทสองปีแต่มีรูปลักษณ์งดงามถึงขั้นดวงจันทร์หลบเลี่ยงบุปผาเอียงอาย
วันหนึ่ง เป็นเพราะวาสนานำพาจึงบังเอิญได้พบกับองค์รัชทายาท นับแต่นั้นมาในใจขององค์รัชทายาทก็ว้าวุ่นไม่หยุด เฝ้าคิดถึงนางอยู่ทุกค่ำคืน
แต่จนใจนักที่ชุ่ยเวยกลับไม่ได้รู้สึกอะไรกับองค์รัชทายาท
เพียงมองฐานะที่แตกต่างกัน จึงเคารพนับถือเขาอย่างยิ่งก็เท่านั้น
แต่องค์รัชทายาทเป็นผู้มีอารมณ์ร้อนมาแต่เล็ก
ผู้อื่นยกตนข่มท่านด้วยคิดว่าตนมีความสามารถยังพอทำเนา
แต่องค์รัชทายาทผู้นี้ไม่เพียงไม่ร่ำเรียนไร้วิชาติดตัวกลับยังโอหังอวดดี
ว่ากันตั้งแต่ขุนนางใหญ่ในราชสำนัก ไปจนถึงชาวบ้านทั่วเมืองต่างก็ชิงชังเขาอยู่ในใจ
นิสัยและการกระทำเหล่านี้ทำให้ชุ่ยเวยยิ่งดูแคลนเขา
แต่มีครั้งหนึ่งชุ่ยเวยกลับได้พบองค์รัชทายาทอีกครั้งบนท้องถนน
องค์รัชทายาทเห็นว่าพูดจาดีๆ ด้วยแต่ไร้ผลจึงคิดจะฉุดนางกลางถนน!
ถึงกับถีบเข้าที่ท้องน้อยขององค์รัชทายาท!
หลังเกิดเรื่องชุ่ยเวยกังวลว่าจะเกิดเรื่องใหญ่ จึงรีบไปหาบิดาพูดจาอึกๆ อักๆ ของานที่ต้องออกเดินทางไปไกล
พอขึ้นม้าก็มุ่งหน้าไปยังที่ห่างไกลและแร้นแค้นทางทิศพายัพ
เวลานั้นเสนาบดีกรมโยธามีลูกหลานที่เป็นแม่ทัพในเมืองหน้าด่านแห่งหนึ่งในแดนพายัพ
เสนาบดีกรมโยธาทนต่อคำวิงวอนของบุตรสาวไม่ไหว จึงมอบหมายงานส่งของอย่างหนึ่งแก่นาง และยังกำชับว่าอย่าให้เสียการโดยเด็ดขาด!
แต่ชุ่ยเวยกลับมีนิสัยเช่นสาวน้อย นางเดินทางบ้างหยุดบ้างมาตลอดทาง ตะวันออกก็สนใจ ทางเหนือก็ใคร่รู้
จวบจนนางไปถึงด่านชายแดนจึงเพิ่งรู้ว่าแม่ทัพผู้นั้นถูกย้ายไปพื้นที่อื่นแล้ว
เมื่อนางหาแม่ทัพผู้นั้นพบจึงเพิ่งรู้ว่าเพราะลูกถีบนั้นของนางทำให้ทั่วทั้งเมืองหลวงเกิดเรื่องวุ่นวายขนานหนัก…
ไม่เพียงบิดาของนางถูกปลดจากตำแหน่งและติดคุกเท่านั้น
จวนเสนาบดีก็ถูกริบทรัพย์สินทั้งหมด…
มารดาของชุ่ยเวยใจสลายเพราะความพลิกผันอย่างกะทันหันของครอบครัว จนกระอักเลือดตายในห้องขังยามกลางคืน
ชุ่ยเวยไร้ที่พึ่งจึงได้แต่พเนจรไปทั่ว ในเวลาเดียวกันก็ยังต้องคอยหลบซ่อนหมายจับของทางการด้วย
นางอยู่ดีกินดีมาแต่เล็กแล้วจะทนกับความยากลำบากเช่นนี้ได้อย่างไร
เพียงไม่ได้ลิ้มรสชาติของเนื้อครึ่งวัน ก็รู้สึกว่าปากจืดชืดเต็มทน…
หลายครั้งที่คนชั่วเห็นนางงดงามจับตา แต่กลับเดินทางเพียงลำพังจึงเกิดความคิดต่ำช้าขึ้นมา
เคราะห์ดีที่สุดท้ายนางล้วนรอดตัวมาได้ทั้งสิ้น…
ชุ่ยเวยจึงได้เข้ามาอยู่ในยุทธภพด้วยเหตุนี้
คืนวันหนึ่ง นางเดินเข้าไปในตรอกตันแห่งหนึ่ง
ใช่ว่านางจงใจเดินมายังตรอกตันแห่งนี้ แต่เป็นเพราะสองขาของนางถูกจมูกจูงให้เดินมา…
ภายในตรอกตันแห่งนี้ มีเพียงร้านค้าที่ไร้ผู้คนอยู่สองร้าน
ร้านหนึ่งขายน้ำมันงา อีกร้านหนึ่งขายบะหมี่หยางชุน
เวลานั้นเป็นเวลาดึกดื่น
เถ้าแก่ร้านน้ำมันงากำลังเตรียมปิดร้าน จากนั้นก็ปิดประตูและดับตะเกียง
แต่ร้านข้างๆ ยังคงเปิดต่ออีกสองสามชั่วยาม
เพื่อรอให้พวกผีสุราและนักพนันออกจากบ่อนมากินอาหารมื้อดึกที่ร้านเขาสักชาม จึงจะนับว่าการค้าตลอดทั้งวันของเขายุติลงโดยสิ้นเชิง
ตรอกตันสายนี้ทรุดโทรม เป็นหลุมเป็นบ่อ…คนทั่วไปเดินเข้ามาหากไม่ระวังล้วนต้องหกล้มทั้งสิ้น ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีคนมาที่นี่หลังดื่มสุราหนักๆ
แต่เถ้าแก่ร้านบะหมี่หยางชุนกลับไม่เคยท้อถอย
ยังคงรอคอยและเฝ้ารออยู่เช่นนี้วันแล้ววันเล่า
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมีร้านน้ำมันงาหรือไม่
ชุ่ยเวยจึงรู้สึกว่าตรอกตันทั้งสายนี้มีแต่ความมันเลี่ยน…
เถ้าแก่ทั้งสองร้านต่างมองเห็นชุ่ยเวยที่ยืนอยู่ตรงปากตรอก
สตรีที่ปรากฏตัวกลางดึก ไม่ว่าเป็นที่ใดล้วนทำให้คนประหลาดใจทั้งสิ้น
เพราะในยุคนี้ สิทธิ์ในการออกนอกบ้านยามกลางคืนเหมือนว่าจะมีเพียงบุรุษเท่านั้น
แม่นางที่ยังไม่ออกเรือน หากไม่ไปเย็บปักถักร้อยอยู่กับสหายสตรีด้วยกันภายในห้อง ก็ต้องคอยวุ่นหน้าวุ่นหลังกับการปรนนิบัติบิดามารดา
ส่วนพวกที่ออกเรือนแล้ว ยิ่งน่าสงสารกว่า…
ทุกค่ำคืนผู้เฒ่าร้องเรียก ลูกเล็กกระจองอแง
ยามนี้เป็นเดือนสิบเอ็ดแล้ว ไอร้อนจากน้ำเดือดในร้านบะหมี่หยางชุนยิ่งส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล
นอกจากชุ่ยเวยแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก
โดยเฉพาะบุรุษ
นัยน์ตาของเถ้าแก่ร้านบะหมี่หยางชุนฉายแววผิดหวัง
ลำพังแค่หนังท้องของชุ่ยเวยผู้เดียว อย่างมากก็กินบะหมี่ได้แค่สองตำลึง…
ไม่คุ้มค่ากับความลำบากของเขาในคืนนี้แต่อย่างใด
ว่ากันตามหลักแล้วบุรุษผู้หนึ่งจะไม่ชื่นชอบบุรุษด้วยกัน
ทว่าสิ่งที่ดึงดูดเถ้าแก่ผู้นี้ได้มากที่สุดในเวลานี้กลับเป็นบุรุษ
โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน เหล่าบุรุษที่ทำงานหนักจนทั่วร่างอาบเหงื่อ
หากพวกเขาจะกินบะหมี่ บะหมี่สองตำลึงกลับไม่พอหนึ่งคำด้วยซ้ำ
แม้จะเป็นการค้าเล็กๆ ไม่ได้มีกำไรเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็ยังทำให้เขายิ้มหน้าชื่นตาบานได้
ทว่าเวลานี้ไม่มีบุรุษ…
มีเพียงชุ่ยเวยที่ร่างผอมบางเป็นแผ่นกระดาษ
ชุ่ยเวยถูกกลิ่นมันเลี่ยนในตรอกอุดอยู่กลางลำคอ หลังจากกระแอมล้างคอครั้งหนึ่งก็บ้วนเสมหะออกมา…
ร่างของนางอิงเข้ากับประตูร้านบะหมี่หยางชุนจนบานประตูส่งเสียงลั่น
เถ้าแก่ร้านบะหมี่หยางชุนไม่ได้สวมเสื้อนวม
เนื่องจากเขาต้องคอยสังเกตไฟข้างใต้เตาอยู่ตลอดเวลา
ไม่เพียงต้องคอยดูให้ไฟสม่ำเสมอไม่แรงหรืออ่อนเกินไปเท่านั้น แต่เพื่อให้ร่างกายตนอบอุ่นเพียงพอด้วย
“กินบะหมี่?”
เถ้าแก่ถาม
ชุ่ยเวยไม่ตอบ
นางอยากกินบะหมี่ แต่บนตัวนางแม้แต่เหรียญทองแดงใหญ่สักเหรียญก็ยังไม่มี
ความจริงแล้วสตรีสามารถใช้สารพัดวิธีที่จะได้กินอาหารสักมื้อโดยไม่ต้องจ่ายเงิน
แต่ชุ่ยเวยไม่ยอมให้ตนเองทำตัวต่ำช้าเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจนถึงเวลานี้นางจะทั้งหิวทั้งกระหาย แต่นางก็ยังคงรักษาเกียรติของตนเอาไว้
“ไม่กินบะหมี่ แต่ที่นี่เป็นตรอกตัน”
เถ้าแก่กล่าว
“ก็เพราะข้าชอบตรอกตัน”
ปากของชุ่ยเวยพูดอย่างไม่ลงยอมให้
แต่ปีกจมูกกลับขยับไม่หยุด คล้ายพยายามสูดเอากลิ่นหอมของบะหมี่หยางชุนเต็มกำลัง
“คนเป็นเดินเข้าตรอกตัน เหมันต์มืดครึ้มไม่กินบะหมี่หยางชุน!”
เถ้าแก่กล่าว
เมื่อฟังคำพูดนี้จบ สีหน้าของชุ่ยเวยก็เปลี่ยนไปทันใด!
นางรีบหันหลังเตรียมจะออกไป แต่แผ่นประตูที่นางพิงตัวอยู่เมื่อครู่นี้กลับล้อมนางเอาไว้เหมือนห่อบ๊ะจ่าง
“เจ้าจะทำสิ่งใด”
ชุ่ยเวยถาม
“เจ้าเองก็น่าจะรู้ราคาของตัวเจ้าดีอยู่แล้ว!”
เถ้าแก่ร้านบะหมี่หยางชุนกล่าว
นึกไม่ถึงว่าในพริบตานั้นเอง เขากลับจำได้ว่าชุ่ยเวยก็คือนักโทษที่มีหมายจับ
“เจ้าทำเพื่อเงินรางวัลเหล่านั้นหรือ”
ชุ่ยเวยถาม
“ไม่ ข้ามีเงินทองมากมาย”
เถ้าแก่กล่าว
“มีเงินทองมากมาย แล้วยังมาขายบะหมี่หยางชุน?”
“น่าเสียดายที่เงินของข้านำมาใช้ไม่ได้…จึงได้แต่มาขายบะหมี่หยางชุนอยู่ที่นี่”
เถ้าแก่กล่าวทั้งถอนใจ
“เมื่อเจ้าจับข้าแล้วจะใช้เงินได้เช่นนั้นรึ”
ชุ่ยเวยถาม
“แน่นอน! เจ้าเป็นถึงนักโทษฉกาจที่ทำร้ายองค์รัชทายาทเชียว! หากจับเจ้าได้ ต่อให้เป็นความผิดใหญ่หลวงเทียมฟ้าก็ยังสามารถหักล้างกันได้ หากเจ้ามาอยู่ในฐานะเช่นข้า เจ้าจะทำเช่นนี้หรือไม่เล่า”
เถ้าแก่ถาม
“ข้าจะทำ…”
ชุ่ยเวยคิดสักพัก ก่อนถอนใจและกล่าวออกมา
“ในเมื่อเจ้าเองก็จะทำ เช่นนั้นจะโทษข้าไม่ได้”
เถ้าแก่กล่าว
สิ้นคำ เขาก็เตรียมจะลงมือ
“ข้าอยากกินบะหมี่หยางชุน!”
ชุ่ยเวยพลันเอ่ยออกมา
มือของเถ้าแก่หยุดชะงักทันใด ก่อนจะยิ้มพลางพยักหน้า
แผ่นประตูยังคงล้อมรอบตัวชุ่ยเวยอยู่ครึ่งหนึ่ง แต่เถ้าแก่กลับหันหลังเดินเข้าไปภายในร้าน เร่งถ่านไฟให้แรงขึ้นอีกหน่อย เตรียมเริ่มต้มบะหมี่!
ทันใดนั้นเองก็มีหิมะตก
ทว่าเดือนสิบเอ็ดในแดนพายัพ หาใช่เรื่องที่พบเห็นได้ยาก
ชุ่ยเวยเห็นเกล็ดหิมะปลิวว่อนร่วงลงบนพื้น และตกลงในหม้อบะหมี่ที่กำลังเดือดพล่าน
ภายใต้ม่านนภาดำมืด ชุ่ยเวยคุกเข่าลงขดตัวแน่น
แผ่นประตูข้างกายยังคงสูงตระหง่าน
นางจึงเหมือนกับแหล่งน้ำที่ถูกปิดล้อมด้วยขุนเขา
และในเวลานั้นเอง ชุ่ยเวยกลับรู้สึกว่าตนเริ่มมองสิ่งต่างๆ ไม่ค่อยชัด…
แต่นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะหิมะที่เริงระบำเต็มฟ้า หรือเพราะหม้อลวกบะหมี่ที่มีไอน้ำพวยพุ่งขึ้นมา หรือแค่เพราะตนเองหิวเกินไปจนเวียนหัวตาพร่าก็เท่านั้น…
………………………………………