ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 385 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-14
บทที่ 385 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-14
ใต้หล้าไพศาล ฝูงชนคลาคล่ำ
ผู้คนมากมายจะเหมือนกันทั้งหมดได้อย่างไร
หากเป็นจริงดังที่เยว่ซิงโม่กล่าว เช่นนั้นก็ต้องเป็นเพราะคนที่เขาได้พานพบมายังไม่มากพอ
“แต่ก็มีผู้ที่เป็นข้อยกเว้นจริงดังว่า แต่ข้าก็ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นนางได้ยินหรือไม่กันแน่!”
ชิงหรานถามมาเช่นนี้ กลับทำให้เยว่ซิงโม่นิ่งคิดพลางลูบเคราสั้นๆ ใต้คางตน
หลายวันมานี้ต้องเดินทางกลางลมกลางฝุ่น จึงไม่ได้ดูแลจัดการร่างกายตามเวลา
จึงมีเคราขึ้นมาไม่น้อย
ทว่าเยว่ซิงโม่กลับเสพติดความรู้สึกคันๆ ยามลูบมันเสียแล้ว…
จึงทำให้จนเวลานี้ ยามใดที่ต้องใคร่ครวญปัญหาบางอย่างก็ต้องลูบเคราของตนเองไปด้วย
“เป็นผู้ใด”
ชิงหรานถาม
“ไม่เอ่ยถึงจะดีกว่า เป็นเพียงคนร่วมทางผู้หนึ่ง แต่คงเป็นคนในรัฐหงเช่นกัน”
เยว่ซิงโม่เอ่ยพลางโบกมือ
“คนในรัฐหงนั้น ข้าน้อยไม่กล้าบอกว่ารู้จักทั้งหมด แต่อย่างน้อยก็รู้จักแปดถึงเก้าในสิบส่วน พี่เยว่อธิบายลักษณะของนางสักเล็กน้อยได้หรือไม่”
ชิงหรานถาม
เยว่ซิงโม่กลับไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด
พรรณนารูปร่างหน้าตาของนางเสี่ยวจงให้ฟังอย่างเปิดเผย
“นึกไม่ถึงเลยว่าจะเป็นคนงามผู้หนึ่ง พบพานเพียงหนกลับช่างรัญจวนใจ!”
ชิงหรานได้ฟังก็เอ่ยพลางยิ้ม
แม้เวลานั้นเขาจะยังไม่รู้จักนางเสี่ยวจง
แต่รูปร่างหน้าตาที่ว่ามานี้กลับจดจำอยู่ในใจเขาอย่างแม่นยำ
เพราะถึงอย่างไร สตรีที่สามารถทำให้เยว่ซิงโม่คำนึงถึงอยู่เช่นนี้ก็ทำให้เขาใคร่รู้ยิ่งนัก
ซึ่งนี่ก็เป็นสาเหตุที่เมื่อบังเอิญพบกับนางเสี่ยวจงบนถนนในภายหลัง ชิงหรานจึงยอมลงจากม้ามาสนทนาด้วย
และเพราะรูปร่างหน้าตาของนางเสี่ยวจงเหมือนกับที่เยว่ซิงโม่พรรณนาอย่างยิ่ง
เพียงแต่เขาไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องนี้ในทันทีเท่านั้น
แค่ทอดถอนใจออกมาประโยคหนึ่งว่านางเสี่ยวจงช่างพิเศษอย่างยิ่ง
ชิงหรานและเยว่ซิงโม่สนทนากันเสร็จก็กลับไปยังริมธารใสอีกครั้ง
“ข้าสั่งบ่าวในจวนชิงไว้แล้วว่าให้เตรียมสุราอาหารมาส่งที่นี่ วันนี้เจ้ากับข้ามาดื่มสุรากันริมธารใสในป่าแห่งนี้ทั้งคืนเถิด จะได้บอกเล่าเรื่องราวของทางใต้ให้ข้าฟังไปด้วย!”
ชิงหรานกล่าว
“ดียิ่งนัก! ข้าเองก็อยากลองฟังดูว่าแท้จริงแล้วแดนเจิ้นเป่ยอ๋องต่างจากทางใต้ของเราเช่นใด! แต่ที่ข้ามาในครั้งนี้ก็เพื่อประลองดาบ หากแค่ดื่มสุรา เกรงว่าจะไล่ข้าไม่ง่ายแล้ว…”
เยว่ซิงโม่กล่าว
ชิงหรานฟังความหมายที่แฝงอยู่ในถ้อยคำของเขาออก
แม้เมื่อครู่ตนจะขโมยกระบี่ล้มเหลว
ทว่านั่นก็เป็นเพียงการละเล่นเท่านั้น….
นับเป็นความสามารถที่แท้จริงไม่ได้
เยว่ซิงโม่ยังอยากประลองดาบและกระบี่กับชิงหรานสักสองสามหน
“ในเมื่อพี่เยว่เอ่ยปาก เช่นนั้นเจ้าบ้านก็พร้อมทำตามแขก! ประจวบเหมาะที่ข้าจะได้เรียนรู้สักเล็กน้อยว่าเพลงกระบี่ทางใต้นั้นสง่างามปราดเปรื่องเพียงใด!”
ชิงหรานกล่าว
เยว่ซิงโม่กล่าวด้วยรอยยิ้ม แต่กลับอุบไว้
“อ้อ? ไม่เหมือนกันอย่างไรหรือ”
ชิงหรานถาม
“กระบี่ของข้ามีความหมายลึกซึ้ง!”
เยว่ซิงโม่กล่าว
สิ้นคำ เขาก็กระโดดถอยหลังห่างไปสามจั้ง พร้อมดึงกระบี่ที่ปักอยู่บนพื้นดินขึ้นมา
ชิงหรานกลับยังคงใคร่ครวญถึงความหมายแฝงในคำว่าความหมายลึกซึ้งอยู่
เดิมทีคำนี้เป็นถ้อยคำของเหล่าชาวบุ๋นที่ใช้อธิบายว่างานวรรณกรรมหรืองานศิลปะสามารถถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกออกมาได้อย่างลึกซึ้งและดึงดูดให้คนมีความรู้สึกร่วม
เป็นดั่งเสียงดนตรีขับขานติดกันสามวันไม่ขาดสาย
และคล้ายกับถ้อยคำที่มีจำกัดแต่มีความหมายไม่สิ้นสุด
แต่จะนำมาพรรณนากระบี่ในมือตนได้อย่างไร
ที่แท้แล้ว คำว่าความหมายลึกซึ้งและสง่าปราดเปรื่องก็เหมือนการเทียบชากับสุรา
ลิ้มรสชา ยิ่งดื่มใจยิ่งสงบ
ดื่มสุรา ยิ่งดื่มคนยิ่งรุ่มร้อน
แม้ทางเหนือก็มีชาเช่นกัน แต่โดยมากมักเรียกขานว่าดื่มชา
แค่เปลี่ยนไปหนึ่งคำ ความหมายก็เปลี่ยนไปเสียแล้ว…
ลิ้มรสชาต่างกับดื่มชา
ชาและวิธีดื่มของคนที่ดื่มชา โดยมากล้วนเรียบๆ หยาบๆ
ไม่เพียงไม่พิถีพิถันเรื่องสถานที่ ส่วนใหญ่แล้วจะดื่มเพื่อดับกระหายและสาดลงคอเท่านั้น
ผู้ลิ้มรสชาทางใต้ นอกจากต้องจัดเตรียมใบชาและอุปกรณ์แล้ว ความพิถีพิถันเรื่องสถานที่และบรรยากาศก็เคร่งครัดเป็นที่สุด หากไม่อยู่ในร้านน้ำชาที่วิจิตรงดงาม ก็จะต้องอยู่ในศาลาริมน้ำ ที่ทั้งน้ำและท้องฟ้ามาบรรจบกัน หรือไม่ก็ในป่าเขียวชอุ่มที่มีธารน้ำใสไหลรินบนแก่งหิน
ข้อห้ามที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มชากับอาหารชั้นต่ำ ดื่มในยามตะวันรอนกับภูผาโฉดธาราชั่ว…
เมื่อทุกสิ่งภายนอกสอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านี้แล้ว ยามน้ำชาไหลลงคอช้าๆ ก็จะค่อยๆ เติมเต็มจิตใจไปด้วย
จะรู้สึกว่าทั้งร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย
ต่อให้เป็นคนที่ใจร้อนอีกเพียงใด ส่วนใหญ่จะสามารถสงบลงได้
ไม่ว่าจะถกเรื่องทั่วไปของผู้คนธรรมดาในโลกหล้า หรือหารือการใหญ่ของบ้านเมืองและใต้หล้า ความน่าสนใจก็จะยิ่งเข้มข้นขึ้นตามไปด้วย
ซึ่งนี่ก็คือคำว่า ‘ความหมายลึกซึ้ง’ ที่เยว่ซิงโม่เอ่ยถึง
กระบี่ของเขาก็เป็นเช่นการลิ้มรสชา
ส่วนการดื่มสุรานั้น สำหรับคนที่ดื่มสุราแล้ว กลับไม่ได้มีพิธีรีตองหรือสถานที่ยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด
เป็นเรื่องที่ผ่อนคลายตามใจเป็นที่สุด
ต่อให้เป็นคุณชายสูงศักดิ์แห่งจวนชิงเช่นชิงหราน โดยมากพอมือจับจอกก็กรอกใส่ปาก เมื่อดื่มจนหมดในคราวเดียว ก็รินจนเต็มอีกจอก ยิ่งดื่มยิ่งเร่งร้อนเหมือนวาฬดูดน้ำ
พร้อมเร่งให้อารมณ์ค่อยๆ พลุ่งพล่านขึ้นด้วย
ไม่ว่าผู้ใดก็อดวิพากษ์วิจารณ์บ้านเมืองด้วยจิตใจที่ฮึกเหิมไม่ได้!
การโต้เถียงและพนันขันต่อที่เกิดจากเหตุนี้ก็เป็นเรื่องที่มักพบเห็นในแดนเหนือ
ทว่าผู้ที่ดื่มก็มักหาเหตุผลมาสนับสนุนสิ่งที่ตนทำ
แม้แต่ในหอทรงปัญญาที่ผู้คนเคยนึกว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเคยมีคำกล่าวว่า ‘แต่โบราณนักปราชญ์ล้วนอ้างว้าง มีเพียงผู้ร่ำสุราที่ทิ้งชื่อเสียงเอาไว้’
แต่เพลงพื้นบ้านในแดนใต้กลับมีวรรคที่ตอบรับกัน
กลอนที่ว่า ‘เชิญแขกชมผกา แทนด้วยชาสานสัมพันธ์’ นี้ ก็เขียนถึงการใช้ชาคารวะแขกแทนสุรา
ฉะนั้นสุราก็คือเครื่องปลุกเร้าอารมณ์ เมื่อคนดื่มลงไปจึงมักทำบางสิ่งที่เกินเลยจากกฎเกณฑ์ทั่วไป
ก็เหมือนดาบในมือของชิงหรานและ ‘ดาบตัดเงา’ ของจวนชิง
ที่มักมีบางส่วนที่ฝึกไม่ได้และเรียนไม่สำเร็จ
ต้องเป็นในยามที่สองคนประมือกันจึงจะสามารถสำเร็จวิชาได้
เมื่อว่ามาดังนี้ สิ่งที่สง่างามปราดเปรื่องกลับเป็นดาบของชิงหราน
มือของคนทั้งคู่กุมดาบและกระบี่ของตน
อากาศราวกับกำลังควบแน่น
ลมหยุดพัด…แม้แต่ใบไม้รอบๆ ก็เหมือนหยุดสั่นไหวไปด้วย
เสียงกิ่งไม้แห้งหักและร่วงลงพื้นเช่นเมื่อครู่นี้ก็ไม่ได้เกิดขึ้นอีก
พร้อมกับอุณหภูมิภายในป่าลดลง ธารน้ำใสสายนั้นก็ค่อยๆ มีไอหมอกลอยขึ้น
จากนั้น คนทั้งสองก็กระโดดขึ้นพร้อมกัน
เพียงชั่วพริบตาพวกเขาก็ประมือกันไปกว่าสิบหนแล้ว…
ความรวดเร็วยามดาบและกระบี่ฟาดฟันกันเกินกว่าขีดความสามารถของสายตา!
เยว่ซิงโม่ยิ้มน้อยๆ
เห็นชัดว่าระดับพลังยุทธ์และเพลงดาบของชิงหรานนั้นเกินกว่าที่เขาคาดไว้!
เวลานี้เขาจึงยิ่งจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม
ชิงหรานรู้สึกเพียงว่ามีปราณกระบี่ที่รุนแรงถาโถมเข้าหา
แต่เขาแยกแยะได้ไม่ชัดเจนว่าที่แท้นั้นเป็นเยว่ซิงโม่พุ่งกระบี่เข้าจู่โจม หรือกระบี่เล่มนี้เป็นฝ่ายพาเยว่ซิงโม่เข้ามา!
หรือกระบี่ในมือเขาจะมีวิญญาณจริงๆ
หากเป็นผู้อื่นก็คงสิ้นชีพระหว่างที่เกิดความกังขาไปนานแล้ว
แต่ชิงหรานหลบไปได้
ว่ากันตามจริงแล้ว ดาบของเขาแปลกประหลาดพิลึกพิลั่นเหมือนกับคนที่ดื่มสุรามา
เพลงดาบทั่วไป ยามอยู่ในมือเขากลับสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์รอบกาย
ในชั่วพริบตานั้น ปราณดาบของชิงหรานแข็งแกร่งขึ้นมาดุจเหล็กกล้า แต่รังสีดาบกลับอ่อนโยนดุจผืนแผ่นดินที่เพิ่งไถพรวนในวสันตฤดู…
“คิดไม่ถึงว่าเพลงดาบของน้องชิงจะสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์เยี่ยงนี้ แปรเปลี่ยนดุจเทพ!”
เยว่ซิงโม่กล่าวชม
ยามนี้เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดชื่อเสียงของชิงหรานในรัฐหงจึงห่างไกลกว่าหลี่เจิ้งฮุยลิบลับ
“เพลงกระบี่ของพี่เยว่ก็ใช้การได้ดียิ่ง…เรียกได้ว่าอยู่อันดับหนึ่งในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ที่เคยประมือกับข้ามาทีเดียว!”
ชิงหรานกล่าว
จากนั้นร่างก็เคลื่อนไปทันใด
หวดดาบจากตะวันออกไปทางตะวันตก
ราวกับคลื่นถาโถมกระหน่ำเข้าหาเยว่ซิงโม่!
ทว่ากระบี่ของเยว่ซิงโม่ไม่เพียงมีวิญญาณ ซ้ำยังมีความหมายลึกซึ้ง!
เขาถึงกับหลับตาลง
ได้ยินเพียงเสียงลมจากดาบดังที่ข้างหู ก็สามารถต้านรับได้อย่างแม่นยำ
แน่นอนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีบทสรุป
แต่ยามเยว่ซิงโม่ร่ำลาชิงหรานก็บอกว่าเขาจะต้องไปตามหาแม่นางแสนพิเศษผู้นั้น
และจะเล่าเรื่องตลกที่กระเซ้าชิงหรานให้นางฟังอีกครั้ง
เพื่อดูว่าหากนางได้ตั้งใจฟัง แล้วจะมีท่าทางเช่นใดและจะตอบสนองอย่างไร
……………………..
“ไม่ผิด ข้าเป็นฮูหยินของท่านจริงแท้”
นางเสี่ยวจงกลับมาอยู่ในอาการสงบอีกครั้ง น้ำเสียงก็ราบเรียบลง
“แต่ท่านเป็นบุรุษ จะขมขื่นใจสักกี่ส่วนกัน”
นางเสี่ยวจงเอ่ยต่อ
กลับเป็นการค่อนแคะชิงหรานอย่างโจ่งแจ้ง
“ขมขื่น? เมื่อเทียบกับที่ข้าฝึกดาบอยู่กลางเขาเพื่อบรรพบุรุษของจวนชิงอยู่นานปี ข้ายังมีสิทธิ์รู้สึกขมขื่นใดอีก”
น้ำเสียงของชิงหรานเริ่มเปลี่ยนไป
“ท่านก็แค่ทำทุกอย่างเพราะคำนึงถึงแต่หน้าตาของจวนชิงเท่านั้น”
นางเสี่ยวจงกล่าวทั้งยิ้มเย็น
“สิ่งที่เจ้าต้องการก็ไม่ใช่หน้าตาเช่นนี้หรอกหรือ”
ชิงหรานกล่าว
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้
ทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องรักษามารยาทต่อกันอีก
การฉีกหน้ากันอย่างเต็มที่อาจทำให้ได้ปลดปล่อยอย่างสาแก่ใจ
แต่สาเหตุที่แท้จริงของการปลดปล่อยนี้ ก็เพราะท่าทีที่ทั้งสองมีต่อกันเปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง
ที่จริงแล้วความคิดเห็นของทั้งคู่ก็แตกต่างกัน
ต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายของตน แต่ฝืนอยู่ด้วยมาหลายปีก็เท่านั้น….
เมื่อได้พูดจากันอย่างเปิดอกแล้ว กลับทำให้ง่ายขึ้นมาก
เรื่องที่ปิดกั้นอยู่ในใจได้รับการปลดปล่อย แต่ชิงหรานและนางเสี่ยวจงปล่อยให้เวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงนี้ กว่าจะกล้าเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริงของตนเองอีกครั้ง
ลมมาไผ่ไหว ลมจากไผ่ไร้เสียง
ห่านป่าผ่านบึงเย็นเยือก ห่านป่าจากบึงไร้เงา
เรื่องราวเกิดใจย่อมปรากฏ เรื่องราวจากใจว่างเปล่า
เพื่อเอาชีวิตรอด ผู้คนมักทำเรื่องที่ไม่อยากทำ…
ที่บรรพบุรุษจวนชิงผู้นั้นฝึกดาบจนลืมกระทั่งตนเอง และนางเสี่ยวจงต้องการออกจากเรือนอย่างสุดกำลัง ก็ล้วนเพราะหลักการนี้ทั้งสิ้น
บางคนเลือกจะมีชีวิตอยู่อย่างภาพวาดทิวทัศน์
ท่ามกลางช่วงเวลาที่แสนสุขไร้กังวลมีทั้งความเป็นจริงและความว่างเปล่า
ทว่าโดยมากแล้วเมื่อมาถึงท้ายสุด กลับกลายเป็นคนวาดภาพ…
ระหว่างทางนี้ไม่เพียงสับสนซับซ้อน ยังทุกข์ทรมานยากทนรับด้วย
ภาพวาดทิวทัศน์นั้นใช้ลายเส้นเรียบง่ายสะท้อนความรู้สึกนึกคิดที่ลึกลับซับซ้อน แต่หากไร้ซึ่งฝีมือที่แท้จริงแล้ว ความรู้สึกนึกคิดก็รังแต่จะทำให้ขมขื่นจนยากเอ่ยวาจา…
นางเสี่ยวจงและชิงหรานก็ดำเนินไปสู่ ‘ชีวิตคนลอยล่องในร้อยปี ต้องเผชิญหวานขมนับหมื่น’ เป็นความองอาจห้าวหาญและคลื่นซัดถาโถมที่ต้องเผชิญในชีวิต
แต่ชะตาที่พวกเขาต้องเผชิญกลับจำกัดอิสรภาพไม่ให้พวกเขาไต่เต้าไปถึงขอบเขตนั้น
“ภายใต้ความมีหน้ามีตา โสมมไม่สิ้น”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“เจ้าเองก็เช่นกัน!”
เมื่อชิงหรานกล่าวคำพูดนี้ออกมา
ตะเกียงในเรือนของเขาก็ดับลง
นางเสี่ยวจงยิ้มเล็กน้อย ก้าวเท้าเบาๆ มายังห้องของตน
เวลานี้ขอเพียงรักษาหน้าตาภายนอกเอาไว้ได้ ก็ไม่มีสิ่งใดที่นางทำไม่ได้และไม่กล้าทำ…
ความรู้สึกที่สามารถทำทุกอย่างได้ตามใจชอบกลับสบายยิ่งกว่าความรู้สึกเหมือนเดินบนแผ่นน้ำแข็งแต่ก่อนมากนัก!
………………………………………