ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 383 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-12
บทที่ 383 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-12
“เจ้าจะไปประลองกับหลี่เจิ้งฮุยที่รัฐหงแห่งแดนเจิ้นเป่ยอ๋อง เรื่องนี้ผู้คนต่างรู้กันทั่วแล้ว และที่นี่ก็เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านหากจะไปอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง!”
ชายหนุ่มกล่าว
เมื่อได้ยินคำว่ารัฐหง ร่างของนางเสี่ยวจงก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา
“ฉะนั้นเมื่อเจ้าได้ยินข่าวนี้จึงมารอข้าอยู่ที่นี่หรือ”
เยว่ซิงโม่ถาม
“เห็นเพิงตรงที่ราบเขานั่นหรือไม่ ข้าอยู่ที่นั่นมาสิบเอ็ดวันเต็มๆ แล้ว!”
ชายหนุ่มกล่าว
น้ำเสียงไม่พอใจยิ่ง…
แม้แต่คนธรรมดา ใช้เวลาเจ็ดแปดวันก็น่าจะมาถึงที่นี่ได้แล้ว
แต่เยว่ซิงโม่กลับใช้เวลาถึงสิบเอ็ดวัน
จำต้องพูดจริงๆ ว่าเขาช่างเอ้อระเหยลอยชายเสียเหลือเกิน…
เยว่ซิงโม่ฟังจบก็ลูบจมูกด้วยความเคอะเขิน ทั้งยังกระแอมไอหลายครั้งเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีขัดเขินของตน
“ส่วนอีกคำถามหนึ่งนั้น คำตอบของข้าคือเพราะข้าอยากพนันกระบี่กับเจ้า เจ้าก็คิดเสียว่าข้าอยากทดสอบความสามารถของตน! พร้อมกันนั้นก็ทดสอบความสามารถของเจ้าไปด้วย!”
ชายหนุ่มเอ่ยต่อ
ในคำพูดแฝงความมั่นใจในตนเองเต็มเปี่ยม
“เจ้าคงรู้จักหลักการที่ว่า ‘ใต้นามกระฉ่อน ไม่มีคนสามัญ’ กระมัง”
เยว่ซิงโม่เอ่ยเสียงเย็น
ไม่ว่าผู้ใดที่ดูแคลนเขาหรือกระบี่ในมือเขาล้วนต้องชดใช้ด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส
ชายหนุ่มกล่าว
เพิ่งสิ้นเสียง ไหล่ขวาของเขาก็ยักขึ้นเล็กน้อย
จากนั้นไหล่ซ้ายก็ลดต่ำลง พลิกมือชักกระบี่ออกมา
ในชั่วเวลาที่แสงกระบี่จ้าตา กระบี่ของเขาก็พุ่งไปยังเยว่ซิงโม่ถึงสิบเอ็ดกระบี่แล้ว
ในสิบเอ็ดกระบี่นี้ ทุกกระบี่ล้วนมากเล่ห์พิลึกพิลั่น
นอกจากรวดเร็วแม่นยำดุดันแล้ว ยังหนักแน่นมั่นคง!
ว่ากันตามหลักแล้ว ยิ่งเป็นกระบวนท่ากระบี่ที่ดุเดือดยิ่งเสียการควบคุมได้ง่าย
แต่กระบี่ในมือของชายหนุ่มเล่มนี้กลับรุกและถอยอย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นหนึ่งเดียวกับแขน
ทว่าเยว่ซิงโม่กลับสัมผัสได้ว่าทั้งสิบเอ็ดกระบี่นี้ แม้ดูเหมือนมีอันตรายอย่างยิ่ง แต่กลับไม่บริสุทธิ์…
บนกระบี่ยังมีความแค้นเคืองของชายหนุ่มผู้นี้อยู่ด้วย…
แต่ไม่ว่าผู้ใดที่ต้องพักอยู่ในเพิงกลางที่ราบหุบเขามาสิบเอ็ดวัน ก็ย่อมแค้นเคืองอยู่บ้างทั้งสิ้น
สิบเอ็ดกระบี่นี้ยังเป็นการระบายอารมณ์ของชายหนุ่มอีกด้วย
กระบี่ที่เขาใช้ต่างกับกระบี่ที่ใช้เป็นประจำ
กระบี่ปลายตัดส่วนปลายของกระบี่ไม่แหลม แต่กว้างเท่าฝ่ามือ
จึงไม่บางเบาเหมือนกระบี่ยาวในมือเยว่ซิงโม่
ทว่าตลอดการโจมตีนี้ คมกระบี่ของชายหนุ่มไม่เคยอยู่ห่างจากจุดสำคัญทั่วร่างของเยว่ซิงโม่เลย
หากไม่ใช่ลำคอก็เป็นตรงหัวใจ
กระทั่งมีหลายกระบี่ที่เข้าจู่โจมบริเวณหว่างขาของเยว่ซิงโม่ด้วย…
นี่เป็นข้อห้ามใหญ่หลวงของการประลอง!
ไม่ว่าผู้ใดที่ใช้กระบวนท่าต่ำช้าเช่นนี้ ล้วนต้องมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปในพริบตา!
ในสายตาเขามีเพียงชัยชนะ ส่วนจะใช้วิธีใดนั้นล้วนไม่มีปัญหาทั้งสิ้น
แม้ว่าทุกกระบี่ของเขาจะรุนแรงหมายเอาชีวิต แต่เยว่ซิงโม่กลับทานรับได้อย่างคล่องแคล่ว
สิบเอ็ดกระบี่นี้ ทุกกระบี่ล้วนถูกเขาปัดออกได้อย่างแม่นยำ
จวบจนทั้งสิบเอ็ดกระบี่พุ่งเข้ามาจนหมดแล้ว ชายหนุ่มกลับหยุดมือลง
เยว่ซิงโม่กำลังจะเอ่ยปากพูดกลับได้ยินเสียงดัง ‘พรึบ’
เห็นเพียงสายคาดเอวของเขาถูกตัดขาด…หากไม่ใช่เพราะเขาตาเร็วมือไวคว้าเอาไว้ทัน! ก็จะต้องเปลือยบั้นท้ายต่อหน้านางเสี่ยวจงเป็นแน่…
“เจ้าไปร่ำเรียนกระบี่กับผู้ใดกันแน่”
เยว่ซิงโม่ถามด้วยความทั้งโกรธทั้งอายเป็นที่สุด
เขานึกไม่ออกจริงๆ ว่าจะมีผู้ใดถ่ายทอดวิชากระบี่ต่ำช้าเช่นนี้…
นี่ไม่นับว่าเป็นการประลองแล้ว แต่เป็นการลบหลู่!
กระบี่ของเยว่ซิงโม่ดุจสุภาพบุรุษ เขาย่อมดูแคลนวิธีต่ำช้าเช่นนี้
“ไม่มีผู้ใดสอนข้า ข้าคิดของข้าเอง! นี่เรียกว่าไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกล!”
ชายหนุ่มกล่าว
เยว่ซิงโม่กลับนิ่งเงียบลงทันใด
สรรพสิ่งล้วนมีสองด้าน
เขาบอกจะใช้ชีวิตคนบริสุทธิ์มาเป็นของเดิมพัน ไม่คู่ควรจะใช้กระบี่
แต่ก็เคยมีคนบอกว่าคนที่ทำร้ายผู้อื่นจากข้างหลัง ไม่คู่ควรจะใช้กระบี่
แต่จะคู่ควรหรือไม่ มีเพียงคนที่ยังมีชีวิตอยู่จึงสามารถกำหนดบรรทัดฐานได้
ไม่ว่าระหว่างการต่อสู้จะโหดร้ายหรือโสมมเพียงใด ผู้ชนะก็มีสิทธิ์ที่จะไม่ถูกตำหนิทั้งสิ้น
แต่หากทุกคนล้วนลงมือโดยไม่เลือกวิธีเช่นนี้ หลักคุณธรรมก็เป็นเพียงแผ่นกระดาษที่ว่างเปล่าไม่ใช่หรือ
เพียงแต่กระบี่นี้ไม่ได้พุ่งเข้าใส่เยว่ซิงโม่
ชายหนุ่มกลับแทงเข้าที่ลำคอตนเอง
เยว่ซิงโม่ตาเร็วมือไว รีบออกกระบี่ไปขวางและปัดออกทัน
กระบี่ปลายตัดในมือของชายหนุ่มพลันตกลงพื้น
“เจ้าเด็กนี่ บ้าไปแล้วหรือ”
เยว่ซิงโม่ถามอย่างแปลกใจ
เขาไม่เคยเห็นคนที่แปลกประหลาดเช่นนี้มาก่อน…
บอกจะพนันกระบี่ แต่สุดท้ายกลับฆ่าตัวตาย!
เมื่อครู่นี้ฟันมาเพียงสิบเอ็ดกระบี่เท่านั้น กระบี่ที่สิบสองกลับพุ่งเข้าลำคอตนเอง
ในโลกหล้ายังมีเรื่องประหลาดเช่นนี้อยู่ด้วยหรือ
“เพราะข้าแพ้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อบอกว่าจะพนันกระบี่ย่อมต้องมีเดิมพัน หากใช้ชีวิตของแม่นางผู้นั้นก็ไร้เหตุผลเกินไปดังที่เจ้าว่า ฉะนั้นข้าจึงทำได้เพียงฆ่าตัวตาย ใช้ชีวิตของข้าเป็นเดิมพัน เช่นนี้เจ้าก็จะไม่มีเรื่องมาต่อว่าข้าแล้วกระมัง”
ชายหนุ่มกล่าว
“แม้ข้าจะไม่รู้จักเจ้า แต่การแพ้ชนะหนหนึ่งแล้วจะอย่างไรเล่า ตอนข้าเพิ่งเข้าสู่ยุทธภพก็พ่ายแพ้มาไม่ใช่แค่ร้อยครั้งพันกระบี่ ขอเพียงยังมีชีวิตอยู่ย่อมสามารถฝึกฝนขัดเกลาและเริ่มใหม่ได้อีกครั้ง ไยต้องดูแคลนตนเองเพียงนี้”
เยว่ซิงโม่กล่าว
“นิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ข้าก็เป็นของข้าเยี่ยงนี้ กระบี่ชนะคนอยู่ กระบี่พ่ายคนสิ้น! นี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ชั่วกาล! เมื่อครู่นี้ข้าไม่สามารถเอาชนะเจ้าได้ หากข้าได้พบเจ้าอีกครั้งในภายหลังก็ต้องมีเงามืดในใจ หากข้าไม่ใช้กระบี่ก็ยังพอทำเนา แต่หากข้าออกกระบี่ไปก็จะต้องล้ำเลิศที่สุดในปฐพี! แต่ยามนี้ดูไปแล้ว ข้าคงต้องเป็นรองเจ้าร่ำไป…เช่นนั้นชีวิตของข้า หัวใจของข้า กระบี่ของข้าจะยังมีความหมายใดให้ดำรงอยู่”
ชายหนุ่มกล่าว
เยว่ซิงโม่ฟังคำพูดทั้งหมดพลันตกอยู่ในความเงียบงัน
ไม่พูดสิ่งใดสักคำอยู่นาน
ชายหนุ่มเห็นเช่นนี้ จึงเก็บกระบี่ขึ้นมาจากพื้นอีกครั้ง
แต่กระบี่ปลายตัดของเขาเล่มนี้หักครึ่งจากตรงกลาง
“กระบี่หักแล้วก็ยังซื้อใหม่ได้ หลอมขึ้นใหม่ได้ ในเมื่อเจ้ามีจิตแห่งกระบี่ที่เด็ดเดี่ยวเช่นนี้ ก็ต้องเข้าใจหลักการที่ว่าแข็งไปหักง่ายด้วย! เส้นทางของผู้ฝึกยุทธ์ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือแก่นของมนุษย์ หากแม้แต่แพ้พ่ายเพียงหนเจ้าก็ยังไม่อาจยอมรับได้ เช่นนั้นชัยชนะเพียงครั้งเดียว เจ้าก็จะไม่มีทางได้รับเช่นกัน!”
เยว่ซิงโม่กล่าว
จากนั้นก็หันหลังเดินจากไป จูงม้าของตนแล้วมุ่งหน้าไปยังจุดข้ามแม่น้ำ
ชายหนุ่มถือกระบี่สั้นในมือและก้มหน้าลง แต่กลับแข็งทื่ออยู่กับที่เหมือนถูกแช่แข็ง
“เจ้าก็จะไปรัฐหง?”
เสียงของนางเสี่ยวจงดังตามหลังเยว่ซิงโม่มา
“ไม่ผิด ข้าจะไปประลองกับหลี่เจิ้งฮุย!”
เยว่ซิงโม่เอ่ยด้วยรอยยิ้ม
ยามสนทนากับหญิงงาม เขาล้วนพูดด้วยเสียงบางเบานุ่มนวล และสีหน้าเป็นมิตรเสมอ
“พวกเราร่วมทางกัน!”
นางเสี่ยวจงกล่าว
ดวงตาของเยว่ซิงโม่เป็นประกายทันที
เหมือนว่าการเดินทางครั้งนี้ก็ไม่ได้น่าเบื่อนัก!
เยว่ซิงโม่และนางเสี่ยวจงเดินมาถึงท่าข้ามแม่น้ำ แต่กลับได้พบกับคนพายเรือใจคดผู้หนึ่ง…
คนพายเรือผู้นี้ไม่ต้องการสิ่งใด เมื่ออ้าปากก็บอกแต่ว่าหมายตาม้าของเยว่ซิงโม่ !
นางเสี่ยวจงยังคิดจะถกเถียงกับคนพายเรือสักหน
เยว่ซิงโม่กลับมอบสายบังเหียนจูงม้าในมือให้คนพายเรืออย่างใจกว้าง
คนพายเรือรับม้ามาอย่างเบิกบานใจยิ่ง ทันใดนั้นก็ผิวปากแล้วพายเรือออกจากริมฝั่ง
นี่เป็นกฎเกณฑ์ซึ่งเป็นที่รู้กันของคนพายเรือ
ก่อนออกเรือจะต้องผิวปากเป็นสัญญาณ
เพื่อให้ดวงวิญญาณและเทพที่อยู่ในน้ำรู้ว่าตนเองจะแล่นเรือไปแล้ว อย่าได้สร้างความลำบากให้แก่ตน
ส่วนปลาในแม่น้ำจะได้ยินหรือไม่ ในน้ำมีดวงวิญญาณเทพอยู่หรือไม่ กลับเป็นเรื่องที่ผู้ใดก็ไม่อาจล่วงรู้…
ทว่ากฎเกณฑ์ก็คือกฎเกณฑ์
เหล่าคนพายเรือริมฝั่งแม่น้ำจักรพรรดิต่างก็ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์นี้มารุ่นสู่รุ่น
แม้ไม่มีใครสามารถอธิบายหลักการที่อยู่ในเรื่องนี้ได้อย่างชัดแจ้ง แต่ก็ไม่มีใครกล้าฝ่าฝืนกฎเกณฑ์นี้
“ฮ่าๆๆ…”
ภายในลำเรือ เยว่ซิงโม่หัวเราะลั่นไม่หยุด
“เจ้าหัวเราะสิ่งใด”
นางเสี่ยวจงถาม
“ข้าหัวเราะที่ตนเองเดินทางขึ้นเหนือมาครั้งนี้ ช่างสนุกเป็นที่สุด…”
เยว่ซิงโม่กล่าว
เขาหัวเราะจนน้ำตาแทบไหลออกมา
“ต่อยตีกับคนมายกหนึ่ง ซ้ำยังเสียม้าไป ยังนับว่าเป็นเรื่องสนุกอีกหรือ”
นางเสี่ยวจงถามอย่างไม่เข้าใจ
นางรู้สึกว่าหัวสมองของเยว่ซิงโม่อาจมีปัญหา…
คนทั่วไปเมื่อพบกับสถานการณ์เช่นนี้ต้องเริ่มกลุ้มอกกลุ้มใจจึงจะถูก
จะเบิกบานสบายใจเช่นนี้ได้อย่างไร
“ต่อยตีกับคนก็จริงดังว่า แต่กลับได้พบคนงามเช่นเจ้าและได้ร่วมทางมาด้วย ม้าของข้าใช้เป็นค่าเรือข้ามฟาก ก็นับว่าขาดทุนแทบตาย…ทว่าขอเพียงได้ไปถึงอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องก็นับว่าคุ้มค่าแล้ว!”
เยว่ซิงโม่กล่าว
นางเสี่ยวจงไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของเขา…
ได้แต่เบิกตากว้างและจ้องเขาเขม็ง
ในใจกลับเกิดอีกความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา…
ทว่าความคิดเช่นนี้กลับถูกนางฝืนสะกดไว้อย่างรวดเร็ว
เยว่ซิงโม่เป็นเพียงคนที่ผ่านทางมา
เมื่อประลองกับหลี่เจิ้งฮุยเสร็จแล้ว อย่างไรก็ต้องกลับไปยังอาณาจักรผิงหนานอ๋อง
แม้ว่านางเสี่ยวจงก็เคยไปทางใต้มาหนหนึ่ง แต่นางไม่ชอบที่นั่น
ยิ่งไปกว่านั้นสตรีล้วนต้องการความมั่นคง
แม้เยว่ซิงโม่จะสง่างามเหนือคนทั่วไป โดดเด่นกว่าผู้อื่น
แต่เพียงมองก็รู้ว่าเขาไม่ใช่คนที่จะอยู่นิ่งเป็นหลักแหล่ง…
สำหรับเขาแล้ว ความรักและครอบครัวคือพันธะที่เกินความจำเป็น
ไหนเลยจะอิสระเสรีเช่นยามขี่ม้าท่องยุทธภพ มีสุรามีกระบี่อยู่ข้างกาย?
คนเช่นเยว่ซิงโม่มักไม่ละเอียดอ่อน
ไม่มีแสงตะวันยามอัสดง ไม่มีหมอกยามเย็นอบอวล และไม่มีหิมะย่ำค่ำปกคลุมพันภูผา
ต่อให้มองย้อนกลับมาเป็นครั้งคราว และเห็นว่าเวลาแสนงดงามนั้นสูญเปล่าไปแล้ว ก็จะไม่รู้สึกสะเทือนใจแต่อย่างใด
เมื่อสั่งสมมาตลอดปี ฤดูกาลที่ผันผ่านก็กลายเป็นความอ้างว้างและเงียบเหงา
เวลานั้นเอง จู่ๆ ตัวเรือก็โยกขึ้นมา ที่แท้เพราะมาถึงฝั่งตรงข้ามแล้ว
จำต้องกล่าวว่าความสามารถของคนพายเรือไม่เลวเลยจริงๆ!
เรือลำเล็กเหมือนใบไม้บาง ยามข้ามฟากแม่น้ำจักรพรรดิที่ไหลเชี่ยวกลับราบเรียบราวเดินอยู่บนดิน!
“ที่แห่งนี้ก็คือแดนเจิ้นเป่ยอ๋องแล้วหรือ”
เยว่ซิงโม่ถาม
“เดินไปทางนั้นก็เป็นรัฐหงแล้ว!”
นางเสี่ยวจงชี้ไปยังทิศทางหนึ่งพลางเอ่ย
จากนั้นก็หันหลังเตรียมจะจากไป
“เจ้าไม่ไปรัฐหงหรอกหรือ มิใช่ตกลงกันแล้วหรือว่าจะร่วมทางกัน”
เยว่ซิงโม่ถาม
“ข้าจะไปรัฐหง แต่ไม่ใช่เวลานี้ ที่ข้าบอกว่าร่วมทางกัน ก็หมายถึงข้ามแม่น้ำด้วยกันต่างหาก!”
นางเสี่ยวจงเอ่ยทั้งยิ้มบางๆ
………………
นางขยำกระดาษที่เขียนประวัติของเยว่ซิงโม่จนเป็นก้อนแล้วทิ้งลงในสระน้ำตรงหน้า
จากนั้นก็ลูบตรงตำแหน่งที่เคยใส่ต่างหูที่นางมอบให้พ่อบ้านไปเมื่อครู่นี้ ก่อนนั่งย่อลง อาศัยแสงจันทร์มองเงาสะท้อนของตนบนผิวน้ำ
“ฮูหยิน มีสิ่งใดเรียกใช้ขอรับ”
พ่อบ้านเห็นนางเสี่ยวจงกวักมือเรียก จึงรีบเดินมาตรงหน้าพลางถาม
ราวกับว่าเขาอยู่ในทุกๆ ที่
“ของที่ข้าให้เจ้าไปเมื่อครู่นี้ยังอยู่หรือไม่”
นางเสี่ยวจงถาม
“เมื่อครู่ให้ม้าเร็วนำไปส่งที่เหมืองแร่แล้วขอรับ!”
พ่อบ้านลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ย
“ตามไป! จะต้องตามกลับมา!”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“เรื่องนี้…เกรงว่าค่อนข้างยากขอรับ!”
พ่อบ้านกล่าว
นางเสี่ยวจงปรายตามองเขาหนหนึ่ง
พ่อบ้านผู้นี้เป็นคนจากฝั่งมารดาของนาง นับแต่เข้ามาในจวนชิง ภายใต้การปกป้องถือหางของนางเสี่ยวจง เขาก็เป็นเหมือนปลาได้น้ำ และได้นั่งในตำแหน่งพ่อบ้านอย่างรวดเร็ว
เชื่อฟังและปฏิบัติตามคำของนางเรื่อยมา
ไม่ว่าจะเป็นด้านความภักดีหรือความสามารถล้วนเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากแม้แต่เขาก็ยังตามกลับมาไม่ได้ เช่นนั้นก็ต้องเป็นดังนี้แล้ว…
นางเสี่ยวจงก้มหน้าลงอีกครั้ง มองภาพสะท้อนของตนในน้ำ
จากนั้นจึงถอดต่างหูของตนอีกข้างหนึ่ง
“ให้ม้าเร็วนำของสิ่งนี้ตามไปส่งด้วย”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“ขอรับฮูหยิน!”
พ่อบ้านรับต่างหูมาและเอ่ยรับคำ
สิ่งที่ฮูหยินต้องการ ต่อให้แปลกประหลาดเพียงใด เขาก็ไม่เคยถามให้มากความ
และนี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่นางเสี่ยวจงใช้เขาทำงานสำคัญ
“นอกจากนี้ ตัดชื่อสองคนนั้นที่นำของไปส่งออกจากจวนชิง ส่วนเหตุผลก็เขียนส่งเดชไปสักข้อเป็นพอ”
นางเสี่ยวจงเอ่ยต่อ
พ่อบ้านตกใจเล็กน้อย ก่อนรับคำและหันหลังจากไป
เขารู้ว่าควรให้ทั้งคนสองนั้นอยู่ที่เหมืองแร่ ไม่ต้องกลับมาอีกแล้ว…
………………………………………