ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 381 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-10
บทที่ 381 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-10
“ลุ่มหลงหิมะจันทราสายลมบุปผา[1] คืนนี้มัวเมาเหลือเพียงคราบน้ำตา…”
นางเสี่ยวจงนั่งอยู่ริมสระน้ำหน้าเรือนหลักของจวนชิง ปากก็พึมพำช้าๆ
กลอนบทนี้ไม่รู้ผู้ใดเป็นคนแต่ง
อาจเป็นได้ว่านางแต่งขึ้นในช่วงเวลาที่สะเทือนอารมณ์
ค่ำคืนนี้ ในที่สุดก็มาถึงอย่างไม่คาดคิด
ก็เหมือนกับดวงตะวันในยามเช้าที่ยังคงขึ้นอยู่เช่นนั้น
แต่นางกลับไม่เหมือนก่อน และไม่ได้นอนอยู่ในห้องเพียงลำพัง
ทุกครั้งเมื่อถึงยามราตรี นางเสี่ยวจงมักชอบเป่าตะเกียงภายในห้องทั้งหมดให้ดับ
ความมืดมิดนี้นำมาซึ่งความเงียบเหงา สำหรับคนทั่วไปแล้วนับว่าเป็นความทุกข์อย่างยิ่ง
แต่สำหรับนางเสี่ยวจงแล้ว ไม่รู้ว่าความโกลาหลในยามกลางวันนั้นทำให้เป็นทุกข์ลึกล้ำยิ่งกว่านี้อีกกี่เท่า
ส่วนความทุกข์ในยามราตรีเป็นสิ่งที่นางเลือกเอง
ที่เหลือนอกนั้น เป็นเรื่องที่จำต้องทนรับ…
สตรีในวัยนี้ หากยังไม่รู้ว่าความทุกข์เช่นนี้จะต้องดำรงอยู่ไปอีกนานเท่าใด ก็ดูน่าเศร้าเกินไปหน่อย…
ทว่านางเสี่ยวจงกลับไม่รู้จริงๆ…
และย่อมไม่มีใครผลักประตูห้องของนางให้เปิดออก จุดตะเกียงดวงหนึ่งและทำลายความทุกข์จากความโดดเดี่ยวนี้ลง
ความไร้เดียงสาของบุตรสาวอาจให้ความสบายใจแก่นางได้บ้างเล็กน้อย แต่กลับเป็นความน่ากังวลมากกว่า
ความอ่อนโยนของสามี กลายเป็นความคาดหวังอย่างหนึ่ง
นางเสี่ยวจงละทิ้งมันไปนานแล้ว…
นางเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า
นางเสี่ยวจงทำเสียงถุยน้ำลายเบาๆ ใส่ดวงจันทร์
นางไม่ต้องการให้แสงสว่างใดๆ มารบกวนความคิดของนาง
ความจริงแล้วแม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่พบว่า
นางเคยชินกับความเจ็บปวดที่ค่ำคืนแสนมืดมิดนำมาให้จนกลายเป็นเรื่องปกติแล้ว
ถึงขั้นเสพติดมันอย่างยิ่ง…
ทว่าเมื่อคิดดูอีกครั้ง ก็มีเพียงดวงจันทร์ที่ยังคงล่องลอยอยู่บนท้องฟ้า ไม่ละทิ้งไปไหนในช่วงเวลาที่นางเสียวจงรู้สึกไร้ที่พึ่งที่สุด
อาจนับได้ว่าเป็นการอยู่เคียงข้างรูปแบบหนึ่ง
ปล่อยเวลาให้สูญเปล่า คนชราลงง่ายดาย
ครั้งยังสาว นางมีความฮึกเหิมมากพอจึงหนีจากบ้านมา
และยังมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวที่เข้าไปขวางม้าเร็วของชิงหราน
แต่เมื่อสี่ฤดูผันเปลี่ยนเวียนวน นางก็เปลี่ยนไปแล้ว
ครั้งนางเสี่ยวจงไปทานอาหารที่โรงเตี๊ยมพูนโชคกับชิงหราน นั่นเป็นครั้งแรกที่นางดื่มสุรา
นางถามชิงหรานว่าสุราแรงทั้งยังร้อนคอเพียงนี้ เหตุใดยังดื่มจอกแล้วจอกเล่าไม่หยุดเสียที
ชิงหรานบอกนางว่าสุราแรงหนึ่งไหจะทำให้นอนหลับฝันดีทั้งคืน
ในฝันนั้นไม่มีเรื่องขัดแข้งขัดขาภายในจวนชิง
และไม่มีแสงดาบเงากระบี่ในยุทธภพ
นางเสี่ยวจงยังไม่มีประสบการณ์เหล่านี้
ฉะนั้นนางจึงฝันเช่นนี้ไม่ได้
ทว่านางเสี่ยวจงกลับเป็นฝ่ายถามเขาว่าเหตุใดจึงพูดจามากมายเช่นนี้กับตน และยังเลี้ยงอาหารอีกด้วย
ชิงหรานกลับบอกว่าเพราะนางพิเศษนัก
นางเสี่ยวจงก้มหน้ามองตนเอง
ชิงหรานชี้ไปที่หัวใจของนาง เอาแต่ยิ้มไม่พูด
“ข้าอยากอยู่ในโลกแห่งความฝันหลังดื่มสุราจนเมามายไปตลอดกาลจริงๆ…เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วข้าก็จะสามารถหลุดพ้นจากความโดดเดี่ยวและความเจ็บปวดที่การต่อสู้แย่งชิงนำมาให้…และข้าก็จะสามารถมีดินแดนที่เป็นของตนเองอย่างแท้จริง”
ชิงหรานดื่มไปพูดไป
แต่การอาศัยสุราดับทุกข์กลับยิ่งทุกข์ ชมจันทร์ในฝันจันทร์ก็ยากจะเต็มดวง
เจ้าดูอย่างสะพานนกกางเขนนั่น หนึ่งปีจะมีเพียงไม่กี่ชั่วยามที่เชื่อมถึงกัน
ดูคล้ายว่าเลื่อนลอยนัก แต่ที่แท้กลับเป็นรักลึกซึ้งอย่างยิ่ง
เมื่อทานอาหารมื้อนี้เสร็จก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว
พลบค่ำ เป็นพลบค่ำอีกครั้ง…
นางเสี่ยวจงมองฝีเท้าว่องไวของผู้คนที่เดินบนถนนแล้วรู้สึกอิจฉานัก
ทุกคนล้วนเดินทางไปยังที่พักพิงแสนสงบของตน
แต่เหตุใดนางจึงเร่งรีบไปตามความปรารถนาเร็วนัก
เพราะเท้าทั้งคู่ที่อ่อนล้าแบกร่างที่เหนื่อยอ่อน วิ่งสุดแรงไปยังที่ที่เรียกว่า ‘บ้าน’
นางเสี่ยวจงก็เคยมีบ้านเช่นกัน
ทุกคราวที่พลบค่ำมาถึง นางจะหันหลังให้เมฆสีชาดและแสงสีทองที่อยู่เต็มท้องฟ้า รีบวิ่งเข้าบ้านพลางร้องเพลงที่ไม่รู้ชื่ออย่างสนุกสนาน
แต่พลบค่ำของวันนี้ นางกลับไม่มีที่ไป…
เมื่อเงยหน้ามองแสงที่หลงเหลืออยู่ยามตะวันรอน ทุกสิ่งกลับหม่นหมอง
ตอนที่นางเสี่ยวจงแต่งกับชิงหรานเป็นช่วงฤดูหนาวของปีนั้น
ทั่วทิศเวิ้งว้าง ไร้ซึ่งสีเขียว หิมะขาวโพลน
ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็หมดปีแล้ว
เดิมทีนึกว่าเมื่อแต่งกับชิงหราน ได้เข้ามาอยู่ในจวนชิงแล้วชีวิตจะเปลี่ยนไปอย่างมาก
แต่นางเสี่ยวจงกลับคิดไม่ถึงว่านางยังคงต้องอยู่เพียงลำพังในเมืองโดดเดี่ยวนี้
แค่เมืองโดดเดี่ยวนี้งดงามหรูหรากว่าก็เท่านั้น…
แต่ธาตุแท้ของมันกลับไม่ต่างกันเลย
ในปีแรกที่กลายเป็นภรรยาผู้อื่น
ไม่ว่าเป็นผู้ใดก็ล้วนรู้สึกว่ามีบางสิ่งเพิ่มเข้ามาในชีวิต แต่เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะระบุได้อย่างชัดเจน
เดี๋ยวมีเดี๋ยวไม่มี คล้ายเท็จคล้ายจริงอยู่เช่นนี้
ราวกับผ้าไหมบางที่ปลิวไปตามลม
ในพริบตานั้นกลับไม่รู้ว่าต้องโบยบินไปที่ใด
จู่ๆ นางเสี่ยวจงก็รู้สึกหนาวขึ้นมา
นางกอดแขนทั้งคู่ของตน
มองไปยังโต๊ะและเก้าอี้หินที่อยู่เบื้องหน้า อยากจะจุดไฟสักกอง
แต่เพราะในจิตใจเย็นยะเยือก
ต่อให้เป็นกองไฟที่ใหญ่โตและลุกโชนอีกเท่าใด ก็ไม่มีทางสะกดความเยือกเย็นในใจนางได้
ทันใดนั้น นางก็รู้สึกถึงความเย็นที่ไหลผ่านแก้ม
เมื่อเอื้อมมือไปลูบดู มันกลับเป็นน้ำตา
ครั้งชิงเสวี่ยชิงยังเล็ก นางมักร้องไห้กลางดึก
แต่เวลานี้นางเสี่ยวจงไม่ได้ร้องไห้มานานมากแล้ว…
แม้น้ำตาจะเอ่อล้นขอบตา แต่นางกลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดใดๆ
อารมณ์สงบราบเรียบ เหตุใดจึงมีน้ำตาเล่า
บอกได้แต่เพียงว่านางเฉยชากับเรื่องนี้แล้ว
เดิมทีนางเสี่ยวจงอยากเอาแขนเสื้อปาดน้ำตา
แต่สุดท้ายนางก็ไม่ได้ทำ…
นางเป็นสตรีที่เด็ดเดี่ยว
ในเมื่อจะหลั่งน้ำตาก็ให้มันไหลออกมาจนสาแก่ใจ
สามารถยิ้มต่อหน้าได้ และสามารถร่ำไห้ลับหลังได้
นี่จึงนับว่าเป็นความสามารถที่แท้จริง
ไม่สะทกสะท้านแต่อย่างใด
อย่างน้อยตอนหลั่งน้ำตา นางเสี่ยวจงก็รู้ว่าตนเองยังเป็นสตรีผู้หนึ่ง
สตรีที่ต้องการความรักจากสามีและความอบอุ่นจากบุตรธิดา
เหมือนว่าแต่เดิมนั้นจวนชิงไม่ได้เป็นเช่นนี้
ยังจำได้ว่าท้องฟ้าที่นี่มักโปร่งใส
ก็เหมือนกับจวนของนายท่านจินในเหมืองแร่ยามไม่มีพายุทราย
ต่อให้เป็นวันฝนตกฟ้ามืดครึ้ม จวนชิงก็ยังสว่างสดใสกว่าที่อื่นมากนัก
ทั้งหมดนี้ล้วนดึงดูดนางเสี่ยวจงที่เพิ่งมาถึงที่นี่เป็นอย่างมาก
นางรู้สึกว่าความสุขของนางล้วนอยู่ที่นี่และจะไม่ไปไหนชั่วชีวิต
เวลานี้ ในที่สุดนางก็ทำครึ่งประโยคหลังสำเร็จแล้ว
ส่วนครึ่งประโยคหน้ากลับสลายหายไปในกลีบเมฆนานแล้ว
เพราะนางหลงลืมไปแล้วว่านางไม่ได้เป็นคนของที่นี่
เมื่อเอ่ยถึงโลกของจวนชิง นางเป็นผู้ที่มาจากข้างนอก
การมาเยือนของนางเสี่ยวจงรังแต่จะทำให้คนที่เคยอยู่ที่นี่รู้สึกไม่สบาย
เพราะเมื่อผู้ที่มาจากข้างนอกผู้นี้เข้าประตูมา กลับเกิดความรู้สึกว่าตนเป็นส่วนหนึ่งของที่แห่งนี้รุนแรงอย่างยิ่ง
และคนเรานั้น ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนเห็นแก่ตัวทั้งสิ้น
ใครๆ ล้วนอยากให้มีอาหารชั้นดีสิบกว่าอย่างจัดวางอยู่บนโต๊ะอาหารทุกมื้อ
พอตื่นขึ้นก็มีสาวใช้หลายคนคอยเฝ้าปรนนิบัติติดตาม
และเพราะความเห็นแก่ตัวเช่นนี้จึงทำให้ความปรารถนาในใจของนางเสี่ยวจงใหญ่โตยิ่งขึ้น
จากนั้น จวนชิงแห่งนี้จึงค่อยๆ เปลี่ยนไป…
เหมือนกับแหล่งอุมสมบูรณ์ที่กลายเป็นทะเลทรายขนาดใหญ่
ดอกไม้ใบหญ้าเหี่ยวแห้ง น้ำในแม่น้ำแห้งขอด
คนจำนวนมากในจวนชิงพากันจากไป
รวมทั้งนายท่านจินและเถ้าแก่เนี้ยก็ไปด้วย
แต่นางเสี่ยวจงยังคงอยู่ที่นี่
เฝ้าเมืองโดดเดี่ยวแห่งนี้
บอกได้ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะนางไร้หนทางไป หรือเพราะเตรียมตัวจะกลายเป็นกระดูกแห้งและดินเหลืองกองหนึ่งอีกครั้ง
ในเวลานั้น จู่ๆ นางกลับไร้เดียงสาขึ้นมา
นางเสี่ยวจงคิดว่าผู้คนที่จากไปนั้นจะต้องกลับมาในวันหนึ่ง
นางไม่เคยละทิ้งความหวังนี้ไปเลย
จนถึงวันนี้ มีคนกลับมาแล้ว แต่นางเสี่ยวจงกลับไร้ความรู้สึก
เมื่อไร้ความรู้สึก เดิมทีก็ไม่ควรต้องไปใส่ใจ
แต่นางกลับมีความยึดมั่นอย่างหนึ่ง
ทว่าแต่ไรมา นางเสี่ยวจงก็ชื่นชอบคำว่า ‘ใจนิ่งดั่งน้ำ’ เป็นอย่างมาก
น้ำย่อมไหลหลาก
แม่น้ำไหลหลากไม่หยุด
ทะเลมีระลอกคลื่น ทะเลสาบมีวงคลื่น
รูปร่างของมันอิสระ
ยามผืนดินสงบ น้ำมักค่อยๆ ไหลอย่างเงียบเชียบ
เมื่อไหลถึงหน้าผาบนเขาสูง ก็จะไหลลงมาสามพันฉื่อราวกับโบยบิน
แม้แต่น้ำในถ้วยก็ยังไม่มีทางอยู่นิ่ง
เพราะมือคนที่ถือถ้วยอยู่มักสั่นไหวเล็กน้อย
เหตุที่มือของคนสั่น ก็เพราะหัวใจคนเต้นอยู่ตลอดเวลา
น่าเสียดายที่นางเสี่ยวจงโลภมากเกินไป โลภไม่สิ้นสุด
สีสันหลากหลายในจวนชิง สิ่งล่อใจมากมายกลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นอย่างยิ่งยวดของนางขึ้นมา
จนสุดท้าย ‘ใจนิ่งดั่งน้ำ’ นี้ก็กลายเป็นคำพูดที่เปล่าประโยชน์
และกลายเป็นการทำทุกอย่างตามอำเภอใจ
……………………
“ยังไม่นอนหรือ”
นางเสี่ยวจงเงยหน้ามอง เป็นชิงหรานยืนอยู่ตรงหน้านางและเอ่ยขึ้น
“นายท่านกลับมาแล้ว”
นางเสี่ยวจงลุกขึ้นค้อมหัวลงเล็กน้อยพลางเอ่ย
ชิงหรานตอบรับคำหนึ่งและนั่งลงตรงข้ามนาง
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าจับจ้องจันทร์เต็มดวง ท่าทางเดียวกับนางเสี่ยวจงเมื่อครู่นี้ไม่มีผิดเพี้ยน
“เจ้ายังจำได้หรือไม่ เจ้าเคยเขียนจดหมายยาวฉบับหนึ่งให้ข้า”
ชิงหรานมองเหม่อพักใหญ่ พลันเอ่ยขึ้นมา
“จำได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
นางเสี่ยวจงกล่าว
กลับเกิดความอบอุ่นขึ้นในก้นบึ้งหัวใจนาง
“รีบเข้านอนเถิด”
เดิมทีนึกว่าชิงหรานจะสนทนากับตนสักพัก
นึกไม่ถึงว่าเอ่ยแค่ไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วจากไป
นางเสี่ยวจงอยากเอ่ยรั้งเขาไว้
แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้เอ่ยออกมา
จวบจนแผ่นหลังของชิงหรานเดินลับเข้าไปในเรือนหลักของจวนชิง นางเสี่ยวจงจึงเพิ่งเห็นว่าบนโต๊ะหินมีกระดาษอยู่แผ่นหนึ่ง บนนั้นเขียนคัดลอกประวัติของคนผู้หนึ่งด้วยตัวอักษรบรรจงที่เป็นระเบียบเรียบร้อย
“เยว่ซิงโม่ นามรองไคจี้ ชาวเมืองรุ่นอัน หัวเมืองรัฐซานเหมิน อาณาจักรผิงหนานอ๋อง
แรกเริ่ม ซิงโม่เป็นผู้มั่งมีในเมืองรุ่นอัน สร้างตัวจากวรยุทธ์ของตน ใช้ทรัพย์สินจนได้ตำแหน่งเจ้าหน้าที่สืบสวนแห่งเมืองรุ่นอัน และเนื่องจากเขาเชี่ยวชาญวิธีพิจารณาด้วยเหตุผล ภายหลังได้เข้าไปทำงานในรัฐซานเหมิน รวมถึงเมืองต่างๆ ที่อยู่ใกล้เคียง หากมีคดีตัดสินได้ยาก เมื่อซิงโม่ไปถึงล้วนจัดการได้อย่างรวดเร็ว และยิ่งเป็นเพราะเพลงกระบี่อันล้ำเลิศของเขา จึงได้รับขนานนามว่าเป็นผู้ไร้เทียมทานแห่งรัฐซานเหมิน มีชื่อเสียงสูงส่งยิ่ง!
จากนั้นห้าปี เพราะคุณงามความดีและชื่อเสียงของเขาค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น จึงได้ย้ายเข้าไปในที่ว่าการหัวเมืองรัฐซานเหมิน แม้ไม่มีตำแหน่งที่ชัดเจน แต่ก็มักอยู่เคียงข้างผู้ควบคุมรัฐซานเหมิน เพื่อคอยให้คำปรึกษา…”
เมื่ออ่านถึงตรงนี้ นางเสี่ยวจงก็อ่านต่อไปไม่ได้แล้ว….
นางเสี่ยวจงเคยไปทางใต้หนหนึ่ง
และเยว่ซิงโม่ในเวลานั้นก็คือผู้ฝึกยุทธ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในรัฐซานเหมิน
ควันบุปผา[2]เดือนสามลงใต้สู่เจียงหนาน
เป็นเรื่องที่งดงามยิ่งเรื่องหนึ่ง
ลมวสันต์อ่อนละมุน โบกพัดผืนปฐพีอุ่น นกน้ำและเป็ดป่าอ้วนพีจนกระพือปีกบินไม่ได้…
วสันต์ง่วงเหงา สารทอ่อนล้า ในยามฤดูใบไม้ผลิ เยว่ซิงโม่มักนอนจนเลยเที่ยงวันจึงค่อยตื่นขึ้นมา
นิ้วมือเรียวยาวของเขากุมกระบี่ที่แขวนไว้ตรงหัวเตียงภายในพริบตา
ส่วนอีกมือหนึ่งก็วางไว้บนใบหน้าเพื่อบังแสงแดดที่สาดเข้ามาจากนอกหน้าต่าง
เมื่อสัมผัสถูกกระบี่ มุมปากของเยว่ซิงโม่ก็โค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง
เพียงแต่สายตายังคงขุ่นมัวนัก
สุราเมื่อคืนนี้ วันนี้เมาค้างยังไม่สร่าง
การเมาค้างเป็นเรื่องที่ทรมานนัก
ทว่าเยว่ซิงโม่กลับชื่นชอบยิ่ง
เพราะคืนวานนี้เขามีความสุขยิ่งนัก
ไม่ใช่สุขด้วยสุรา แต่เพราะคนที่ดื่มสุราด้วยล้วนเป็นสหายที่ดีที่สุดของเขาในรัฐซานเหมิน
ปกติแล้วมักมาพบกันบ่อยครั้ง
แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนกลับมีความหมายพิเศษกว่าทุกวัน
เยว่ซิงโม่บอกว่าเขาจะเดินทางขึ้นเหนือและลาออกจากตำแหน่งในที่ว่าการหัวเมืองรัฐซานเหมินแล้ว
เขาต้องการประลองให้รู้แพ้รู้ชนะกับเหล่านักดาบในรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
ผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นเช่นนี้…
ภูผาสูงยังมีที่สูงกว่า
ยอดฝีมือย่อมมีผู้เหนือกว่า
เมื่อเหล่าสหายของเยว่ซิงโม่รู้ถึงสิ่งที่เขาจะทำ ต่างพากันสอบถามว่าเขาจะไปประลองกับผู้ใด
เยว่ซิงโม่บอกว่าจะไปที่ตระกูลหลี่ก่อน แล้วค่อยไปจวนชิง
อย่างไรเสีย สองแห่งนี้ก็เป็นตัวแทนของนักดาบที่แข็งแกร่งที่สุดในรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
สหายของเขากลับไม่ได้รู้สึกอะไรมากมาย
เพราะการประลองยุทธ์เช่นนี้ เป็นเรื่องที่มักเกิดขึ้นท่ามกลางผู้ฝึกยุทธ์
และไม่ใช่การลาจากชั่วนิรันดร์
อีกไม่กี่เดือน เยว่ซิงโม่ก็จะกลับมา
แต่เพราะเป็นการออกเดินทางไกล
เหล่าสหายของเขาจึงจัดงานเลี้ยงหนึ่งโต๊ะในหอหอมหวนซึ่งแพงที่สุดในหัวเมืองรัฐซานเหมิน
และยังเชิญหว่านหรงผู้ได้รับขนานนามว่าเป็นนางคณิกาอันดับหนึ่งของรัฐซานเหมินมาด้วย
สุราองุ่นรสเลิศ รินลงจอกแสงจันทร์[3]
มือขาวนวลดั่งหยกของหว่านหรงจับกาสุราเบาๆ แล้วรินสุราให้ทุกคน
ท่ามกลางเสียงสรวลเสเฮฮา เต็มไปด้วยความรัญจวนใจนับหมื่น
ถึงกับทำให้ลมวสันต์นอกหน้าต่างเมามายตามไปด้วย
ความจริงแล้วการไปรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องของเยว่ซิงโม่ในครั้งนี้ก็ใช่ว่าไปโดยไร้สาเหตุ
แต่เพราะมีคนส่งคำเชิญมาให้เขา
………………………………………
[1] หิมะจันทราสายลมบุปผา หมายถึง ความรักระหว่างชายหญิง
[2] ควันบุปผา มาจากกลอนเลื่องชื่อของหลี่ไป๋ บรรยายถึงทิวทัศน์งดงามในเดือนสาม (ควัน หมายถึง กิ่งหลิวที่ระโยงระยางเหมือนสายควัน บุปผา คือภาพของดอกไม้บานอยู่ทั่วไป)
[3] จอกแสงจันทร์ เป็นจอกทำจากผลึกแก้ว เป็นสีขุ่นโปร่งแสง ถือเป็นของหายากราคาแพง
เมื่อเข้าสู่หน้านิยายที่ถูกล็อกด้วยเหรียญระบบจะใช้เหรียญปลดล็อกตอนต่อไปโดยอัตโนมัติ
• เมื่อเหรียญทองหมด สามารถเติมเงินแล้วอ่านต่อได้เลย ไม่สะดุด