ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 380 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-9
บทที่ 380 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-9
หลี่จวิ้นชางมองน้ำที่ไหลหลากในแม่น้ำจักรพรรดิ ทันใดนั้นก็เริ่มกระจ่างขึ้นมา
เขาได้ชีวิตใหม่ในที่แห่งนี้
หลี่จวิ้นชางเดินออกมาและลัดเลาะไปตามถนนบนเขา
ไม่นานก็มาถึงเมืองแห่งหนึ่ง
หลังสอบถามคนเรื่องทิศทางไปยังรัฐเยี่ยนอย่างชัดเจนแล้ว จึงตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว
แม้ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคนับหมื่นก็ต้องเดินต่อไปข้างหน้า
เพราะเขาเป็นเหมือนกับสายน้ำในแม่น้ำจักรพรรดิที่จะไม่มีวันไหลย้อนกลับ
คืนนี้หลี่จวิ้นชางพักอยู่ในเมืองเล็กๆ แห่งนี้
แต่กลับนอนหลับสนิทอย่างหาได้ยากยิ่ง
ทว่าเขากลับฝันดี
ในฝันมีเพียงน้ำในแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวไปทางทิศตะวันออก
และใบหน้าของเถ้าแก่เนี้ยชิงซี
……………………………
“เจ้าว่าข้ายังจะทำเช่นใดได้อีก”
หลี่จวิ้นชางคุกเข่าอยู่ริมสระน้ำ ใช้มือวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าพลางเอ่ย
จากนั้นก็เริ่มไออย่างรุนแรง
น้ำในสระที่ใสจนมองเห็นก้นสระกลับมีรอยเลือดเป็นสาย
“เจ้าจะทำเช่นใด หากเจ้ายังต้องการสังหารข้า ดาบก็อยู่ตรงนี้!”
นายท่านจินกล่าว
“แม้ข้าจะสังหารเจ้าไม่ได้…แต่เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งจอมปลอมเพียงนี้!”
หลี่จวิ้นชางมองดาบของตนเอ่ยทั้งยิ้มเจื่อน
“เป็นตัวเจ้าเองที่อ่อนไหวเกินไป ความจริงแล้วไม่ว่าตระกูลหลี่จะอยู่หรือไม่ จวนชิงอยู่หรือไม่ ตัวข้าชิงหงก็ยังคงเป็นสหายของเจ้าหลี่จวิ้นชาง แต่เจ้ากลับไม่เชื่อในข้อนี้”
นายท่านจินส่ายหน้าพลางเอ่ย
จากนั้นก็นั่งยองๆ ที่ริมสระด้วย ใช้น้ำในสระล้างบาดแผลที่แขนท่อนล่าง
“จวนชิงยังคงอยู่ ยามกลางวันทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดก็ยังคงเหมือนอาทิตย์อัสดงอยู่เช่นเดิม แต่ตระกูลหลี่ไม่อยู่แล้ว ข้าก็เป็นแค่หลี่จวิ้นชางเท่านั้น”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
แต่กลับเหมือนกำลังพึมพำกับตนเองมากกว่า
นายท่านจินไม่เอ่ยคำใด
เพียงคุกเข่าอยู่ข้างๆ มองน้ำในสระเงียบๆ
บางครั้งมีใบไม้ร่วงลงในสระหลายใบ ทำให้เกิดระลอกคลื่นเล็กๆ…
“พวกเจ้าทั้งสองล้วนเป็นยอดฝีมือรุ่นหลังของรัฐหง เดิมทีก็ไม่ควรวิวาทกันจนอยู่ในสภาพนี้!”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาข้างหลังนายท่านจินและหลี่จวิ้นชาง
นายท่านจินหันหน้ากลับไปมอง เป็นบิดาของตนที่ยืนมือไพล่หลังอยู่ข้างหลังคนทั้งสองไม่ไกลออกไปนัก
“ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร”
นายท่านจินถาม
“ข้าตามหลังพวกเจ้าทั้งสองมาตั้งแต่พวกเจ้าเพิ่งออกจากจวนชิงแล้ว”
ชิงหรานกล่าว
นายท่านจินพยักหน้า
หากไม่ต้องการให้ตนสัมผัสได้จริงๆ เช่นนั้นตนก็จะสัมผัสไม่ได้อย่างแน่นอน
เพียงแต่หลี่จวิ้นชางกลับได้แต่ก้มหน้าลงด้วยท่าทีขัดเขินเป็นที่สุด…
ไม่กล้าตอบโต้ใดๆ กับชิงหราน
“เรื่องของตระกูลหลี่ ครั้งนั้นข้าเองก็เสียใจยิ่งนัก ทว่านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้ายังมีชีวิตรอดมาได้”
ชิงหรานหันไปเอ่ยกับหลี่จวิ้นชาง
หลี่จวิ้นชางยังคงก้มหน้า นิ่งเงียบไม่ส่งเสียง
ความจริงแล้ว เขามีข้อสงสัยข้อหนึ่งอยู่ในใจเรื่อยมา…
ที่ตระกูลหลี่ต้องประสบกับเคราะห์กรรมใหญ่หลวงในปีนั้นเกี่ยวข้องกับจวนชิงหรือไม่
เพราะหากตัดตระกูลหลี่ไปแล้ว
จวนชิงก็จะกลายเป็นตระกูลใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในรัฐหงและไม่ต้องมีความกังวลใดอีก
“เจ้าต้องการเงินอย่างยิ่งใช่หรือไม่”
ชิงหรานกล่าว
ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด คำพูดนี้เอ่ยเข้าไปถึงข้างในจิตใจของหลี่จวิ้นชาง
อย่างไรเขาก็กระหายเงินทองอย่างยิ่ง
เพราะการฟื้นฟูตระกูลหนึ่ง หาใช่แค่เอ่ยด้วยปากไปเท่านั้น
“ใช่แล้ว ข้าต้องการเงิน! เงินมากเสียด้วย!”
ในที่สุดหลี่จวิ้นชางก็เงยหน้าขึ้นมาพูด
“เจ้าต้องการฟื้นฟูตระกูลหลี่? ในรัฐหง?”
ชิงหรานถามต่อ
หลี่จวิ้นชางกลับหัวเราะเย็นออกมา
เขารู้ว่าชิงหรานจะต้องไม่ใจดีเพียงนั้น…
หากตระกูลหลี่เฟื่องฟูในรัฐหง ก็จะเป็นหนามยอกอกของจวนชิงในไม่ช้าก็เร็วไม่ใช่หรือ
เดิมทีตระกูลหลี่กับจวนชิงก็เป็นสองพยัคฆ์ในรัฐหงที่หมายช่วงชิงกัน
ส่วนเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงก็เป็นมังกรผดุงความยุติธรรม
หนึ่งมังกรกับสองพยัคฆ์ สิ่งสำคัญก็คือการถ่วงดุลอำนาจ
ครั้งนั้น ท่าทีที่เหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงมีต่อจวนชิงยังห่างไกลกับความใกล้ชิดในเวลานี้มากนัก
แต่หลังจากตระกูลหลี่ล่มสลาย
หลายเรื่องที่เปิดเผยไม่ได้กลับสามารถร่วมมือกับจวนชิงได้
และมอบให้ชิงหรานไปจัดการ
สภาพเดิมของรัฐหงจึงถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิง
จากเดิมทีที่เป็นมังกรสู้พยัคฆ์กลับกลายเป็นสมาคมมังกรคู่
แม้ว่าเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงจะไม่อยากเห็นสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
แต่เขาก็จนปัญญา
“ข้าไม่รู้ ข้าแค่อยากฟื้นฟูตระกูลหลี่ ส่วนจะอยู่ที่ใดนั้น ไม่ได้สลักสำคัญเพียงนั้นอีกแล้ว…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
แววตาหม่นหมองลงทันใด
“ข้าสามารถให้เงินเจ้าก้อนหนึ่ง เงินก้อนนี้เพียงพอให้เจ้าฟื้นฟูตระกูลหลี่”
ชิงหรานกล่าว
“ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”
หลี่จวิ้นชางถาม
“เจ้าเพียงแค่เดินทางไปเหมืองแร่กับชิงหงก็พอ”
ชิงหรานกล่าว
……………………………
ภายในจวนชิง ในเวลาเดียวกัน
ในห้องนอนของนางเสี่ยวจง
ตั้งแต่ชิงหรานล้มหมอนนอนเสื่อ นางเสี่ยวจงก็แยกห้องนอนกับเขา
แต่เรื่องนี้ก็สมใจนางพอดี
หลายเรื่องจำเป็นต้องมีพื้นที่ส่วนตัวจึงจะสามารถวางแผนการได้
หากยังคงอยู่กับชิงหรานแต่เช้าจรดค่ำย่อมไม่สะดวกเป็นอย่างยิ่ง
“เจ้าบอกว่านายท่านออกจากจวนไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
นางเสี่ยวจงถาม
คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านางคือพ่อบ้านคนหนึ่ง
หากนับกันตามศักดิ์อาวุโสแล้ว นางเสี่ยวจงยังต้องเรียกพ่อบ้านคนนี้ว่าท่านอา
เพียงแต่ยามอยู่ในจวนชิง นอกจากคนแซ่ชิงที่นับกันตามสายเลือดแล้ว
คนอื่นๆ นอกนั้นจะดูแค่ตำแหน่งเท่านั้น
“ขอรับฮูหยิน หลังจากนายน้อยใหญ่และคนผู้นั้นจากไป นายท่านก็ตามออกไปด้วยขอรับ”
พ่อบ้านผู้นั้นกล่าว
“เจ้าดูชัดหรือไม่ว่าพวกเขาไปที่แห่งใด”
นางเสี่ยวจงถาม
“ข้าไม่กล้าตามออกไป ด้วยระดับพลังยุทธ์ของนายท่าน หากข้าตามไปอีกก้าวหนึ่งจะต้องจับได้เป็นแน่ แต่เมื่อมองตามทิศทาง น่าจะไปที่ทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดขอรับ”
พ่อบ้านกล่าว
“ศพตรงเรือนที่พักนายน้อยใหญ่พวกนั้นมันเรื่องใดกัน”
นางเสี่ยวจงถาม
“ข้าตรวจสอบมาแล้ว ล้วนเป็นรอยแผลจากดาบ ยิ่งไปกว่านั้นยังตายในดาบเดียวด้วยขอรับ”
พ่อบ้านกล่าว
“ภายในรัฐหง นอกจากจวนชิงของเราแล้ว เหตุใดยังมีนักดาบที่ร้ายกาจเช่นนี้อยู่อีก”
นางเสี่ยวจงถาม
พ่อบ้านกลับไม่สามารถตอบได้
นับตั้งแต่จวนชิงกลายเป็นตระกูลใหญ่หนึ่งเดียวในรัฐหง ก็สามารถควบคุมนักดาบในยุทธภพรัฐหงเอาไว้ได้แทบทั้งหมด
เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ ว่ากันตามหลักการแล้วไม่อาจเกิดขึ้นได้
“แต่ว่าฮูหยิน…บาดแผลของคนเหล่านั้นกลับค่อนข้างประหลาดขอรับ…”
พ่อบ้านอึกอัก
เขามีเพียงสัญชาตญาณที่เลือนลางเท่านั้น
แต่กลับไม่มีพยานหลักฐานใด
“มีสิ่งใดประหลาด”
นางเสี่ยวจงจิบสุราอึกหนึ่งพลางเอ่ย
ปกติแล้วนางดื่มสุราน้อยนัก
มีเพียงยามที่จิตใจสับสนว้าวุ่น จึงจะดื่มสุราหนึ่งกาช้าๆ อยู่เพียงลำพัง
เพราะสุราทำให้นางสงบลงได้ดียิ่งกว่าชา
“วิชาดาบนั้นค่อนข้างคุ้นตา…คลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นคืบศอกขอบฟ้าของตระกูลหลี่ขอรับ!”
พ่อบ้านกล่าว
เมื่อนางเสี่ยวจงได้ยินคำนี้ กาสุราในมือก็ร่วงลงพื้นทันทีพร้อมเสียงดังลั่น
เรื่องที่เกินกว่านางจะควบคุมได้ในคืนนี้ช่างมีมากมายเหลือเกิน…
เริ่มจากนายท่านจินกลับมายังจวนชิง
จากนั้นจู่ๆ ชิงหรานก็หายจากอาการป่วยอย่างประหลาดอีก
เวลานี้คืบศอกขอบฟ้าวิชาดาบแห่งตระกูลหลี่ที่ถูกล้างตระกูลไปเนิ่นนานแล้วก็กลับปรากฏขึ้นมาในยุทธภพอีกครั้ง หนำซ้ำยังสังหารคนในจวนชิงไปไม่น้อยด้วย
“ยิ่งไปกว่านั้น ดูจากท่าทีที่นายน้อยใหญ่มีต่อคนผู้นั้นแล้ว สัญชาตญาณของข้าน้อยก็ไม่ผิดแน่ขอรับ”
พ่อบ้านเอ่ยต่อ
จากนั้นก็นั่งยองๆ เตรียมจะเก็บกวาดเศษกระเบื้องที่แตกกระจัดกระจายอยู่บนพื้น
“นายน้อยใหญ่กับคนผู้นั้นทำสิ่งใดกัน”
นางเสี่ยวจงก้มหน้าลงถาม
“นายน้อยใหญ่กับคนผู้นั้น…ดื่มสุรากันเป็นจำนวนมาก หลังจากนั้นทั้งสองจึงออกจากจวนไปทางประตูข้าง มุ่งหน้าไปยังทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดขอรับ”
พ่อบ้านกล่าว
นางเสี่ยวจงกลับเหยียบเท้าข้างหนึ่งลงมา
เหยียบมือของพ่อบ้านลงบนเศษกระเบื้องนั้นเต็มแรง
“นับตั้งแต่เจ้าเข้ามาในจวนชิง ข้าก็เคยบอกเจ้าแล้ว! หน้าที่ของเจ้ามีเพียงหนึ่งเดียวก็คือคอยจับตาดูทุกการเคลื่อนไหวของนายท่านทั้งกลางวันกลางคืน! แต่เวลานี้เรื่องราวมาถึงขั้นนี้! เกรงว่าทั่วทั้งจวนชิงคงพากันหัวเราะเยาะ!”
นางเสี่ยวจงตวาดอย่างแรง
มือของพ่อบ้านถูกเศษกระเบื้องทิ่มแทง
เลือดสดไหลทะลักออกมา
กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นหอมของสุราปนเปเข้าด้วยกัน
ยามได้กลิ่นกลับเข้ากันยิ่งนัก ไม่ได้รู้สึกแปลกประหลาดแต่อย่างใด
“ไม่ว่าพวกมันจะได้อกได้ใจเพียงใด แต่ท่านก็ยังคงเป็นฮูหยินของจวนชิง…ขอเพียงข้อนี้ไม่คลอนแคลน ไม่ว่าผู้ใดก็จะไม่กล้ามาหัวเราะต่อหน้าท่าน ส่วนคำวิพากษ์วิจารณ์ลับหลังพวกนั้น เหตุใดฮูหยินต้องไปใส่ใจด้วยเล่าขอรับ”
พ่อบ้านเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
คล้ายว่าบาดแผลที่มือไร้ความรู้สึก
นางเสี่ยวจงนิ่งเงียบอยู่เนิ่นนาน จึงค่อยๆ คลายเท้าออก
พ่อบ้านเก็บกวาดเศษกระเบื้องจนสะอาดเรียบร้อยอย่างคล่องแคล่ว
จากนั้นก็ลุกขึ้นมายืนอยู่ในตำแหน่งเดิม ก้มหน้าเล็กน้อยด้วยท่าทีนอบน้อม
“เจ้าพูดถูก! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ยังเป็นฮูหยินของจวนชิงแห่งนี้!”
นางเสี่ยวจงกล่าว
ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มบาง
เมื่อพ่อบ้านเห็นดังนี้ก็หัวเราะออกเสียง
เขายังเอามือที่เลือดไหลเช็ดตรงสาบเสื้อ และไม่ใส่ใจอีก
“ครั้งนี้นายท่านต้องเลือกผู้ที่มีความสามารถในจวนชิงไปยังเหมืองแร่เป็นแน่”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“ฮูหยินหมายความว่าอย่างไรขอรับ”
พ่อบ้านหยุดหัวเราะไปทันใด แล้วเอ่ยถามขึ้นมา
“ประการแรก ข้าไม่อยากให้เสวี่ยชิงมีอันตรายใดๆ ประการที่สองข้าไม่อยากให้เกิดอะไรขึ้นกับเหวินฉีเหวิน บุตรชายของผู้ควบคุมรัฐหงเช่นกัน”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“เช่นนั้น…ประการที่สามเล่าขอรับ”
พ่อบ้านกล่าว
คำพูดที่สำคัญที่สุดมักเก็บไว้พูดหลังสุดเสมอ
“ประการที่สามก็คือข้าไม่ต้องการให้นายน้อยใหญ่กลับมาที่จวนชิงอีก”
นางเสี่ยวจงสูดหายใจลึกหนหนึ่งแล้วกล่าว
พ่อบ้านฟังแล้วได้แต่นิ่งอึ้ง
แม้ว่าหลายปีมานี้นางเสี่ยวจงจะกระทำการในจวนชิงอย่างรวดเร็วเฉียบขาด คำไหนคำนั้นมาโดยตลอด
ส่วนคนเก่าแก่ที่อยู่ในจวนมาแต่เดิม นางก็เพียงกดเอาไว้เท่านั้น
คำพูดที่รุนแรงเช่นนี้เป็นหนแรกที่นางเอ่ยออกจากปาก
“นายน้อยใหญ่…เรื่องนี้เกรงว่าค่อนข้างยาก…”
พ่อบ้านกล่าว
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง
แต่นายท่านจินซึ่งเป็นนายน้อยใหญ่แห่งจวนชิงก็ออกจากจวนชิงมาสิบกว่าปีแล้ว
ในมือเขามีไพ่ใด มีแหล่งพึ่งพาใด
ระดับพลังยุทธ์ของเขาไปถึงระดับใดแล้ว นอกจากชิงหรานก็เกรงว่าคงไม่มีใครล่วงรู้อีก
“แน่นอนว่าเป็นงานยากสำหรับเจ้าแล้ว…”
นางเสี่ยวจงถอนใจคราวหนึ่ง ก่อนเอ่ยเนิบนาบ
“เรื่องนี้ข้าจัดการเอง เจ้าเพียงดูแลเรื่องนอกนั้นให้ดีก็พอ”
นางเสี่ยวจงลุกขึ้นยืนพลางเอ่ย
แต่เวลานี้กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นหอมของสุรากลับค่อนข้างแสบจมูก…
นางอยู่ในห้องนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
“นอกจากนี้ หาคนที่ไว้ใจได้คนหนึ่งไปส่งของบางอย่างที่เหมืองแร่ให้ข้า”
นางเสี่ยวจงเอ่ยก่อนออกจากประตูไป
“ขอรับฮูหยิน”
พ่อบ้านเอื้อมมือทั้งสองข้างออกไปด้วยท่าทางเคารพนบนอบอย่างยิ่ง
ระหว่างนั้นนางเสี่ยวจงก็ปลดต่างหูข้างหนึ่งของตนลงในมือพ่อบ้าน
“ไม่ทราบว่าต้องส่งสิ่งนี้ไปที่ใดของเหมืองแร่ขอรับ”
พ่อบ้านถาม
“ขอเพียงไปถึงเหมืองแร่จะมีคนมารับเอง”
นางเสี่ยวจงเอ่ยเบาๆ
ไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
พ่อบ้านพยักหน้า หลังจากส่งนางเสี่ยวจงออกจากห้องไปด้วยสายตา จึงค่อยหยัดลำตัวที่โค้งอยู่ตลอดให้ตั้งตรง
………………………………………