ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 379 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-8
บทที่ 379 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-8
แสงสีครามแวววับ
นายท่านจินและหลี่จวิ้นชางถือดาบยาวสองเล่มเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ทว่าที่นี่ไม่ใช่ภายในจวนชิงแล้ว
ไม่รู้เพราะเหตุใดทั้งสองคนจึงมายังทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
ต้องเป็นเพราะใบไม้ในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดทำให้เกิดภาพมายาเป็นแน่
นายท่านจินรู้สึกว่าแสงอาทิตย์อัสดงที่เหลืออยู่ยังคงสาดส่องเข้ามาตามช่องว่างระหว่างกิ่งก้าน
ลำแสงสีแดงปนทองเป็นสายสาดส่องลงมาบนตัวพวกเขา รวมทั้งบนดาบของทั้งคู่ด้วย
ดวงตาของหลี่จวิ้นชางเต็มไปด้วยความชิงชัง
ผิดกับความสงบเงียบเมื่อครู่นี้โดยสิ้นเชิง
ดาบในมือเขาฟาดฟันเข้าใส่นายท่านจินอย่างแรงโดยไม่คิดชีวิต
ดาบนี้เลยเถิดจากการกระทำของมือสังหารทั่วไปแล้ว แต่เป็นความแค้นส่วนตัว
แต่เขาก็ไม่ได้มีความแค้นลึกล้ำใหญ่หลวงใดกับนายท่านจิน
เหตุใดเรื่องราวต้องดำเนินมาถึงขั้นนี้
นายท่านจินถือดาบทานซ้ายรับขวา ถอยไปทีละก้าว
ดูเหมือนจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ แต่ที่จริงแล้วเป็นการเคลื่อนไหวอย่างไหลลื่นและยอมออมมือให้หลี่จวิ้นชาง
เพราะเขาทำใจลงมือเต็มที่ไม่ได้จริงๆ…
ลมราตรีพัดเข้ามาในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
พัดม้วนเอาใบไม้ร่วงบนพื้นขึ้นมาก่อนร่วงลงอีกครั้ง
กลิ่นเน่าเหม็นอบอวลในอากาศ
ร่างของคนทั้งสองเดี๋ยวหายวับไปเดี๋ยวปรากฏขึ้นใหม่ พุ่งไปข้างหน้าถอยมาข้างหลัง ใบไม้ร่วงถูกลมพัดขึ้นก่อน จากนั้นก็ถูกปราณดาบของคนทั้งสองพัดปลิวราวกับหยดน้ำฝน
ดาบยาวทั้งสองเล่มปะทะเข้าด้วยกัน เกิดเสียงโลหะกระทบกันดังอย่างต่อเนื่อง
ทันใดนั้นก็ไม่ปะทะกัน เพียงร่ายกระบวนท่าดั่งงูน้ำที่กำลังเลื้อยฉวัดเฉวียนไปมา
เวลาหลายก้านธูปติดต่อกันไม่มีเสียงใดๆ เกิดขึ้น
การต่อสู้ครั้งใหญ่ที่คล่องแคล่วว่องไวเช่นนี้ นายท่านจินไม่ได้ประสบมาเนิ่นนานแล้ว….
เห็นเพียงจู่ๆ ดาบยาวในมือเขาก็หวดเป็นเส้นโค้งจากซ้ายไปขวา แทงออกไปถึงสิบแปดดาบในครั้งเดียว
วิชาดาบนี้ไม่ใช่ดาบตัดเงาของจวนชิงที่เขาเกิดและเติบโตมา
แต่มีนามว่า ‘ตะวันรอนลับภูผาไกล’
นับได้ว่าเป็นวิชาดาบที่ร้ายกาจอย่างยิ่งวิชาหนึ่งในรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
หลี่จวิ้นชางกลับรับมือไม่ไหว…
ข้อมือซ้ายโดนไปครึ่งดาบโดยไม่ทันระวัง
แม้บาดแผลจะไม่ลึก
แต่เลือดสีแดงสดยังคงไหลพันรอบข้อมือคล้ายกับเส้นด้ายเล็กๆ
ทว่า แม้นายท่านจินจะทำร้ายคู่ต่อสู้ได้ในกระบวนท่าเดียว แต่ก็ไม่ได้ฉวยโอกาสตามรุกไล่
อารมณ์ของหลี่จวิ้นชางที่อยู่ตรงหน้าสงบลงบ้างแล้ว การเคลื่อนไหวก็หยุดลงแล้วเช่นกัน เขาถอยไปข้างหลังสองก้าว พร้อมกับค่อยวางๆ ดาบที่อยู่ในมือลง
“เดิมทีเจ้าและข้าก็เป็นสหายสนิทกัน…ต้องสังหารกันอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นนี้เพื่อเงินจริงๆ หรือ”
นายท่านจินกล่าวอย่างเจ็บปวดยิ่ง
ปลายดาบทิ้งตัวและชี้ลงดินไปแล้ว
แต่ไรมาเขาก็ไม่อยากประดาบกับหลี่จวิ้นชาง
ไม่ผิด เขาในเวลานี้ก็คือคนที่ทำทุกวิถีทางเพื่อเงิน
ว่ากันว่าสุนัขภักดีกว่าแมว
มันยอมหิวตายอยู่ภายในเรือนของเจ้านาย แต่จะไม่มีวันฝักใฝ่ไปกินของคาวในที่แห่งอื่น
ส่วนแมวนั้นหากไม่มีของกิน มันจะต้องออกไปจากที่แห่งนี้เพื่อหาหนทางอื่น
ในขณะที่หลี่จวิ้นชางเผชิญหน้ากับเงินทองก็เป็นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง
แต่ยามเขาเผชิญหน้ากับตนเองกลับเป็นเช่นแมวตัวหนึ่ง
เพราะสิ่งที่เขาภักดีนั้นมีเพียงเงินทอง
นกมีหู หนูมีปีก
ผู้ใดให้เงินมากกว่า เขาก็สามารถละทิ้งทุกหลักการได้
หลี่จวิ้นชางได้ยินคำพูดนี้ของนายท่านจินสีหน้าพลันซีดเผือด
อาการป่วยใจนี้สาหัสยิ่งกว่าอาการบาดเจ็บทางกายมากนัก
“นายท่านจิน เจ้าไม่เคยได้สัมผัสถึงความรู้สึกของข้า หอสูงริมน้ำ บุปผาปลิดปลิวทั่วฟ้า กลับกลายเป็นภูเขาศพทะเลเลือดและซากปรักหักพังไปในชั่วข้ามคืน เจ้าเคยประสบมาหรือไม่ หากเจ้าเคยประสบมาก่อนย่อมสามารถเข้าใจข้าได้ แต่หากเจ้าไม่เคยประสบมา เจ้ามีสิทธิ์อะไรมากล่าววาจาใหญ่โตสอนสั่งข้าอยู่ที่นี่”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยพร้อมยกแขนขึ้น ปลายดาบชี้ใบหน้านายท่านจิน
เขาฟั่นเฟือนไปแล้วสามส่วน
คนฟั่นเฟือนไม่ว่าจะดื่มสุราหรือใช้ดาบล้วนไม่มีกระบวนวิชา
ดื่มสุรามีจังหวะการดื่ม
ใช้ดาบยิ่งมีจังหวะที่พิถีพิถันกว่านั้น
หลี่จวิ้นชางโน้มตัวไปข้างหน้า หวดดาบฟันส่งเดช
‘ตะวันรอนลับภูผาไกล’ ที่นายท่านจินใช้ไปครั้งก่อนนั้น เดิมทีควรจะใช้ ‘หวนคำนึงบ้านเกิดอีกคราเหนือลำน้ำ’ เข้าต่อสู้
นี่ก็คือกระบวนท่าที่พวกเขามักใช้บ่อยครั้งยามเปิดกระบวน ไถ่ถามและประดาบกันตอนยังเล็ก
เหตุที่ก่อนหน้านี้นายท่านจินใช้กระบวนท่านี้
ก็เพื่อให้หลี่จวิ้นชางนึกถึงความทรงจำดีๆ ในอดีต
และสามารถปล่อยวางใจกระหายเลือดตรงหน้าลงได้
แต่นึกไม่ถึงว่ากลับทำให้หลี่จวิ้นชางเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม
ชั่วอึดใจนี้เขามีเพียงพิษพยาบาทที่ยากดับมอดสุมอยู่ในทรวง
ต่อให้ต้องเอาชีวิตนี้เข้าแลก ก็ต้องพุ่งไปข้างหน้าใช้ดาบของตนพิสูจน์ตนเอง
จะพิสูจน์สิ่งใดนั้น
หลี่จวิ้นชางเองก็ไม่รู้เช่นกัน
เงินทองหรือ
บางทีอาจไม่ใช่
คุณชายมีตระกูลที่เคยสง่างาม เมื่อต้องตกอับถึงเพียงนี้ไม่ว่าสิ่งใดเขาล้วนต้องการพิสูจน์ตนทั้งสิ้น
แต่กลับไม่อาจพิสูจน์สิ่งใดได้เลย
ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงแสนลึกล้ำนี้วนเวียนอยู่ในหัวใจของหลี่จวิ้นชางในยามกลางวัน และคอยทรมานเขาให้ยากข่มตาลงนอนในทุกค่ำคืน
เมื่อครู่ยังถูกคำพูดของนายท่านจินซ้ำเติมอีก ทำให้ความทะนงในศักดิ์ศรีของตนที่พอจะหลงเหลืออยู่บ้างแหลกสลายไปโดยสิ้นเชิง
นายท่านจินเห็นว่าเวลานี้หลี่จวิ้นชางเกรี้ยวกราดดุร้ายเช่นหมาป่าเฉกพยัคฆ์ไปแล้ว ใจก็อดลนลานขึ้นมาไม่ได้…
ทว่าคำพูดที่หลี่จวิ้นชางเอ่ยออกมาเมื่อครู่กลับทำให้นายท่านจินรู้สึกผิดในใจอย่างยิ่ง…
พลันรู้สึกขึ้นมาว่า เขาไม่ได้เข้าอกเข้าใจสหายผู้นี้เลยแม้แต่น้อย
คนเราล้วนหวาดกลัวเรื่องที่ไม่รู้อยู่ในใจ
และนายท่านจินก็ไม่อยากมีเรื่องบาดหมางใจใดๆ กับหลี่จวิ้นชาง
ประจวบเหมาะกับที่เวลานี้หลี่จวิ้นชางออกดาบมาแล้ว กระบวนท่าสะเปะสะปะและมีช่องโหว่อยู่หนแล้วหนเล่า
นายท่านจินแค่เอี้ยวตัวเล็กน้อยและถอยหลังไปก็สามารถหลบพ้นแล้ว
ยิ่งหลี่จวิ้นชางเห็นนายท่านจินหลบดาบได้ทั้งหมด ในใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม
ทันใดนั้นก็พลันเหวี่ยงดาบในมือออกไป
นายท่านจินวาดดาบมากันเอาไว้
ดาบของหลี่จวิ้นชางถูกแรงสกัดจึงลอยออกไปทางด้านข้าง
และตัดต้นสนจนขาดไปสี่ห้าต้นในอึดใจเดียว
ดูเหมือนว่าดาบที่เหวี่ยงออกไปครั้งนี้ หลี่จวิ้นชางเคลื่อนพลังปราณอินหยางสองขั้วจากในกายใส่เข้าไปด้วย
เพราะเอาดาบไปขวาง นายท่านจินเองก็ถูกแรงสะเทือนจนง่ามนิ้วหัวแม่มือชาไปหมดเช่นกัน
จากนั้นแขนท่อนล่างก็ปวดร้าวขึ้นมา
ทว่ายังไม่ทันรอให้เขาตั้งสติได้ ก็เห็นสองเท้าของหลี่จวิ้นชางถีบพื้นและพุ่งตัวเข้าใส่เขา
ดูจากท่าทีแล้ว คงต้องการเข้าต่อสู้แบบถึงเนื้อถึงตัวกับนายท่านจิน
มือดาบผู้หนึ่งกลับทิ้งดาบในมือ และเลือกที่จะต่อยตีซึ่งเป็นวิธีของคนข้างถนน
จุดหักเหอย่างกะทันหันนี้ทำเอานายท่านจินต้องตกอกตกใจไม่เบาเช่นกัน…
เขากังวลว่าดาบในมือตนจะโดนหลี่จวิ้นชางจนได้รับบาดเจ็บจึงโยนมันลงบนที่ว่างด้านข้าง
จากนั้นก็เข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับหลี่จวิ้นชางจนตัวกลม และกลิ้งไปกลิ้งมาระหว่างทุบตีกัน
ฝุ่นพลันคลุ้งตลบไปทั่วทั้งทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
ดีที่ระดับพลังยุทธ์ของนายท่านจินสูงกว่าเล็กน้อย
ในที่สุดก็พลิกตัวกลับมาได้ สองมือกดสองแขนของหลี่จวิ้นชางไว้
หลี่จวิ้นชางพยายามดิ้นไม่หยุด
ปากก็ตะโกนร้องไม่หยุด
เมื่อเขาหันหน้ามาเห็นแขนของนายท่านจินกดหัวไหล่เขาอยู่
จึงเข้าไปกัดในทันใด
เลือดสดทะลักออกมาและไหลเข้าเต็มปากของหลี่จวิ้นชาง
นายท่านจินรู้สึกเจ็บจึงใช้มือขวาตบหน้าอกหลี่จวิ้นชาง
เรี่ยวแรงที่ตบไปครั้งนี้เป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณเพื่อปกป้องตนเอง
หลี่จวิ้นชางถูกตีไปหนหนึ่งจึงคลายปากและบ้วนเลือดสดออกมา
ไม่รู้ว่าเป็นเลือดที่กัดนายท่านจินจนบาดเจ็บ หรือกระอักเลือดออกมาหลังได้รับบาดเจ็บภายใน…
แต่สรุปก็คือเลือดสดนี้อาบย้อมใบไม้จนแดงฉานไปหมด…
แดงยิ่งว่าใบสนในฤดูใบไม้ร่วงหลายส่วน
หลี่จวิ้นชางไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกต่อไป…
เขานอนแผ่อยู่บนพื้นพร้อมไอแห้งๆ ไม่พูดจา
นายท่านจินกุมบาดแผลที่แขน ลุกขึ้นมามองหลี่จวิ้นชางและไม่ได้พูดจาเช่นกัน
“ดาบก็อยู่ตรงนั้น เจ้าฆ่าข้าเสียเถิด…”
หลี่จวิ้นชางหยุดไอ กล่าวออกมาด้วยเสียงแหบแห้ง
นายท่านจินมองดาบของตนหนหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปเก็บมันขึ้นมา
ทว่าเขาไม่ได้ฟันลงที่หลี่จวิ้นชาง
มือของนายท่านจินสั่นเล็กน้อย
ปลายดาบสั่นไหวไม่หยุด…
แต่ก็ตัดใจทำไม่ลง
แม้สหายเก่าผู้นี้จะหมายเอาชีวิตตน แต่เขาก็ยังคิดถึงมิตรภาพในอดีต
“ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะเผชิญสิ่งใดมา แต่เจ้าจงรู้ไว้ว่าชีวิตของข้าก็หาได้สุขสบาย สิบกว่าปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้กลับบ้าน กลับมายังจวนชิงที่ให้กำเนิดและเลี้ยงดูข้า เจ้าก็รู้ว่าข้าเป็นคนปักใจมาแต่ไร แต่คนที่ปักใจลึกซึ้งผู้หนึ่งไม่ได้กลับบ้านมาตลอดสิบกว่าปีเป็นเพราะเหตุใดกัน ตระกูลหลี่ไม่หลงเหลืออยู่แล้ว เจ้าไร้ที่ไป แต่ในสายตาของข้า ซากปรักหักพังทั้งหมดนั้นยังทะลายลงมาจนสิ้น ทว่าจวนชิงยังอยู่แต่ข้ากลับมาไม่ได้ ครั้งนั้นหากข้าไม่ไป วันนี้เจ้าก็จะไม่มีทางได้หัวของข้าไป เพราะข้าต้องตายไปนานแล้ว ตายอยู่ในที่ที่ข้ารักปักใจที่สุด”
นายท่านจินเอ่ยพลางมองไปยังความมืดมิดที่ห่างไกลออกไป
เมื่อหลี่จวิ้นชางได้ยินสิ่งที่นายท่านจินพูดจนจบก็นอนคว่ำใจลอยไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนพื้น
จู่ๆ ก็เริ่มร้องไห้อย่างเจ็บปวด…
เขาชิงชังที่ระดับพลังยุทธ์ของตนต่ำต้อยเหลือเกิน…ครั้งประลองกับนายท่านจินสองคนตอนยังเล็กก็มักพ่ายแพ้ให้เขา จวบจนบัดนี้ที่ตนเองต้องขายชีวิตแลกเงิน ก็ยังไม่อาจสังหารนายท่านจินได้อีก
เขาลูบที่อกเสื้อของตน
ข้างในยังมีภาพวาดอยู่ภาพหนึ่ง
ซึ่งก็คือภาพวาดเถ้าแก่เนี้ย น้องสาวของนายท่านจิน
เถ้าแก่เนี้ยมีนามว่าชิงซี
เป็นรักเดียวในชีวิตของหลี่จวิ้นชาง
ทว่านับตั้งแต่ตระกูลหลี่ถูกล้างตระกูล เขาไม่เคยได้พบกับชิงซีอีกเลย…
บางทีชั่วชีวิตนี้ก็ไม่อาจได้พบอีกแล้ว
ทว่าเรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว สารรูปของเขาในยามนี้จะคู่ควรกับคุณหนูใหญ่แห่งจวนชิงได้อย่างไรกัน
หลี่จวิ้นชางร้องไห้อยู่นานถึงค่อยๆ สงบลง
นายท่านจินมองเขาค่อยๆ กระเสือกกระสนลุกขึ้นยืน ก่อนเดินโซเซไปยังสระน้ำในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
นายท่านจินเดินตามหลังเขาไป หลี่จวิ้นชางเห็นว่าน้ำในสระนี้มาจากลำธารเล็กๆ ไหลมารวมกัน
แม้ไม่ได้ไหลบ่าท่วมท้นเช่นแม่น้ำสายใหญ่
แต่ก็ไหลรินไปทางตะวันออกอย่างต่อเนื่อง ไม่หวนกลับมา
เขาเหม่อมองน้ำในสระอย่างเลื่อนลอย แต่ในใจกลับคิดอยากตาย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาอยากฆ่าตัวตาย
โดยเฉพาะวิธีจมน้ำตายนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พยายามจะทำ
ครั้งหนึ่ง หลี่จวิ้นชางพาร่างที่มีบาดแผลจากดาบเต็มกาย เดินลงไปกลางแม่น้ำจักรพรรดิทีละก้าว
น้ำในแม่น้ำลึกลงไปเรื่อยๆ พร้อมกับฝีเท้าที่เขาก้าวเดินจนท่วมถึงเอวเขาแล้ว
เวลานั้นเป็นยามเที่ยงวัน ผิวน้ำสะท้อนแสงตะวันระยิบระยับ
แสงแสนแสบตานี้ทำให้เขาตาสว่างขึ้นมาหลายส่วน
เขาเคยเห็นคนที่ตกน้ำแล้วสูญเสียความทรงจำทั้งหมดไป
หากเขาก็เป็นเช่นนี้เหมือนกันจะดีเพียงใด
เมื่อสูญเสียความทรงจำไป ก็จะจำไม่ได้ว่าตระกูลหลี่เคยรุ่งเรืองมาก่อน
และสามารถละวางความรักเกลียดชังผูกพันเคียดแค้นทั้งมวลไปได้
คนผู้หนึ่งเมื่อสูญเสียความทรงจำไปแล้วก็เป็นดั่งซากศพที่เดินได้
ไม่ต่างอะไรกับตายไปแล้ว
ทว่าเมื่อใดที่หลงลืมความรักเกลียดชังผูกพันเคียดแค้นเหล่านี้ไปสิ้นแล้ว ร่างว่างเปล่าที่เดินไปมาบนแดนมนุษย์ ยังจะมีความหมายใดอีก
………………………………………