ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 378 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-7
บทที่ 378 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-7
ผิวที่อยู่นอกเสื้อผ้าค่อยๆ กลายเป็นสีดำ
ปิ่นทองเล่มนั้นอาบพิษ!
ด้วยหลี่จวิ้นชางเป็นมือสังหารผู้หนึ่ง เพื่อให้การรวบรัดจึงอยากบุกเข้าไปในทันใด หลังจากสังหารคนทั้งสองจนตายแล้วค่อยกลับไปส่งมอบงาน
เพราะตอนลงจากเกี้ยวเมื่อครู่นี้ เขานำภาพวาดมาเทียบดูแล้ว
ทั้งสองก็คือสองแม่ลูกเฝิงซิวหย่วนและเฝิงอวิ้นฝาน
แต่เพราะเห็นว่าสตรีนางนี้ไม่ใช่คนที่รับมือได้โดยง่าย เพื่อให้สังหารได้ในการโจมตีเดียว หลี่จวิ้นชางจึงสะกดความพลุ่งพล่านในใจไว้
มือสังหารไร้จิตใจ มือสังหารไร้น้ำตา
มือสังหารรู้จักแต่เงินเท่านั้น
หลี่จวิ้นชางกลับมายังเมืองฝูหยวนอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาไม่ได้พยายามหลีกเลี่ยง
ใช้เท้าถีบประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมที่มีผีอาละวาดให้เปิดออก ขึ้นไปข้างบนเพื่อหาห้อง ก่อนนอนแผ่ลง
แม้ว่าเขาจะอ่อนล้าอย่างยิ่ง
แต่หลี่จวิ้นชางไม่อยากนอนหลับ…
เขาล้วงภาพวาดภาพหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
ภาพวาดนี้ไม่ใช่สองแม่ลูกนั้น
แต่เป็นแม่นางผู้หนึ่งที่งดงามกว่าและสดใสร่าเริงยิ่งกว่า
นางมีดวงตางดงามจมูกโด่ง มุมปากโค้งขึ้นเล็กน้อย
หลี่จวิ้นชางมองภาพวาดนี้อยู่นาน สุดท้ายจึงพับอย่างระมัดระวัง และเก็บกลับที่เดิม
หากนายท่านจินอยู่ที่นี่ เขาจะต้องมองออกทันทีเป็นแน่
ว่าสตรีในภาพนี้ก็คือน้องสาวแท้ๆ ของเขา
ซึ่งก็คือเถ้าแก่เนี้ยร้านขายของชำ ร้านอาหาร และร้านขายโลงศพข้างเหมืองแร่ในปัจจุบันนี้
หลี่จวิ้นชางนอนหลับไปงีบหนึ่ง ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว
จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงผีผาดังมาจากข้างนอก
ตอนที่เขาผลักเปิดบานประตู เสียงผีผาก็หยุดลง
มีแรงปะทะแฝงพลังปราณพุ่งเข้ามาจู่โจม!
หลี่จวิ้นชางรีบหลบทันที
เสียงดังปั่ก กระบี่สั้นเจ็ดดาราเล่มหนึ่งก็ปักเข้าไปในกำแพง
จากนั้นก็เห็นว่านกยักษ์ขนาดมหึมาตัวหนึ่งกำลังพุ่งเข้ามา!
นกยักษ์ตัวนี้เข้าโจมตีอย่างรุนแรง
หลี่จวิ้นชางทำได้เพียงหลบการโจมตีที่ร้ายกาจของอีกฝ่ายไปก่อน เพื่อไม่ให้บาดเจ็บยามประมือกันต่อหน้า
ระหว่างที่หลบไปนั้นจึงเพิ่งมองเห็นชัดว่าสิ่งที่พุ่งเข้าใส่ไม่ใช่นกยักษ์แต่เป็นคนผู้หนึ่ง
อีกฝ่ายพุ่งเข้ามากลางอากาศ พลังเช่นนี้น่ากลัวยิ่งว่านกอินทรีทองเสียอีก
ทว่าเมื่อประจันหน้ากัน หลี่จวิ้นชางตกใจอย่างยิ่ง
คนผู้นี้คือเฝิงอวิ้นฝานที่ตนต้องการสังหารไม่ใช่หรือ
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่ เหตุใดต้องสะกดรอยตามพวกเรา?!”
เฝิงอวิ้นฝานตวาดถาม
“ข้าน้อยหลี่จวิ้นชางรับเงินทองคน ช่วยคนขจัดภัย”
หลี่จวิ้นชางกล่าวอย่างทระนง
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นมือสังหารที่ผู้ควบคุมรัฐสุนัขนั่นส่งมาอีกเช่นกัน”
เฝิงอวิ้นฝานเอ่ยยิ้มๆ
แต่ระดับพลังยุทธ์กลับไม่ต่ำต้อย
คนมีพรสวรรค์ไม่ธรรมดาเช่นนี้ หากไม่เป็นปรปักษ์กับจวนผู้ควบคุมรัฐเยี่ยน คิดว่าจะต้องได้รับความไว้วางใจอย่างยิ่งทีเดียว
“ไม่ผิด หัวของเจ้าและแม่ของเจ้ารวมกันมีค่าถึงสามหมื่นตำลึง”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เพราะเหตุใดกัน เหตุใดพวกมันจึงไม่ยอมปล่อยพวกเราแม่ลูกเสียที”
สตรีผู้หนึ่งเคลื่อนตัวออกมาจากมุมห้องพลางเอ่ย
หลี่จวิ้นชางจับจ้องนาง เป็นเฝิงซิวหย่วนอย่างไม่ต้องสงสัย
“เพราะข้าเป็นมือสังหาร และพวกเจ้าก็สมควรตาย!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ยังไม่ทันสิ้นเสียง ก็เห็นเฝิงซิวหย่วนส่งสายตาเป็นสัญญาณให้เฝิงอวิ้นฝานบุตรชายของตน
เขาตัดสินใจในทันใด กระบี่ที่อยู่ข้างหลังพลันออกจากฝัก
พุ่งตรงเข้าแทงหลี่จวิ้นชาง
หลี่จวิ้นชางเห็นว่ากระบี่ของเขาพุ่งเข้ามาจึงชักดาบของตนมากั้นเอาไว้
พลันมีเสียงสั่นกระดิ่งดังมา
เสียงนี้มาจากเฝิงซิวหย่วน
กระดิ่งในมือนางมีขนาดใหญ่กว่ากระดิ่งที่นักพรตอินหยางใช้ทำพิธีถึงสามสี่เท่า
เมื่อสั่นกระดิ่งนี้ ลูกกระพรวนก็บินออกมา กลายเป็นตะขอแหลมพุ่งเข้าใส่หลี่จวิ้นชาง
ภายนอกดูคล้ายกระดิ่ง แต่ความจริงแล้วเป็นอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูงชนิดหนึ่ง
เฝิงซิวหย่วนถือด้ามจับกระดิ่งไว้ในมือพร้อมกับสั่นมันยามเข้าต่อกรกับศัตรู
ส่วนครอบเหล็กทรงครึ่งวงกลมปกป้องข้อมือของเฝิงซิวหย่วนไว้เหมือนโล่
ตะขอแหลมที่ยื่นออกมาจากใจกลางกระดิ่งแตกแขนงแยกจากกันราวกับกิ่งไม้
ส่วนหน้าสุดเป็นปลายแหลมคมพร้อมมุ่งสังหาร
และยังมีตะขอสั้นคมกริบที่พันไขว้กันอีกจำนวนมาก
หลี่จวิ้นชางเคยเห็นสิ่งต่างๆ มามาก แต่ไม่เคยเห็นอาวุธที่ประหลาดเช่นนี้มาก่อน
ทว่าเขารู้แก่ใจดีว่า หากไม่ระวังและถูกตะขอเหล่านี้เกี่ยวจนได้รับบาดเจ็บ ตนต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับนักพรตอินหยางหนุ่มผู้นั้นเป็นแน่
ตะขอแหลมเหล่านี้ส่องแสงสีเขียวเรืองรองออกมา
ราวกับดวงตาของหมาป่าที่คอยจับจ้องเหยื่อยามค่ำคืน
หากจะรับมือกับอาวุธแหลมคมแสนประหลาดเช่นนี้ วิธีที่ดีที่สุดก็คือต้องหลบให้พ้นเสียก่อน
จากนั้นค่อยสังเกตการณ์ให้ถี่ถ้วน
จวบจนทำความเข้าใจตัวแปรทั้งมวลแล้ว หลี่จวิ้นชางก็สามารถเริ่มโจมตีกลับได้
ทั้งสองประมือกันไปมาสิบกว่ากระบวนท่า หลี่จวิ้นชางมองออกว่าวิธีที่เฝิงซิวหย่วนใช้กระดิ่งมือเหมือนกับการใช้ดาบ
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงวางใจลงได้กว่าครึ่ง
ไม่ต้องสนใจว่าอาวุธจะแปลกประหลาดเพียงใด เพราะอีกฝ่ายยังคงใช้กระบวนท่าของดาบเข้าโจมตี
และในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องแห่งนี้ ผู้ที่สามารถเอาชนะวิชาดาบคืบศอกขอบฟ้าของตระกูลหลี่ได้จะมีสักเท่าไรกัน
ทั้งสองรุกรับกระโดดไปมา เคลื่อนไปทั้งในแนวดิ่งและแนวราบ
หลี่จวิ้นชางถอยหนีกะทันหัน
ที่แท้เพราะเขามองลักษณะพิเศษของกระดิ่งมือออกแล้ว รู้ว่าการต่อสู้พัวพันกันไปเช่นนี้ไม่ดีแน่ เพื่อให้สู้ไวจบไว เขาจึงหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายเจอแล้ว
อาวุธประหลาดชิ้นนี้แม้จะมีหนามและตะขอที่ดูแหลมคมนัก
แต่ส่วนครอบทรงครึ่งวงกลมที่เป็นเหมือนเกราะกำบังมือนั้น รูปร่างภายนอกดูธรรมดา ไม่น่าจะมีกลไกใดซ่อนอยู่
จึงเล็งเห็นว่ามันเป็นจุดอ่อนที่ไม่มีพิษสง
หลี่จวิ้นชางกระโดดขึ้นกลางอากาศ หวดดาบฟันลงไปยังครอบทรงกลมนั้น
ดาบนี้ฟันออกไปด้วยพลังที่รุนแรงยิ่ง
เฝิงซิวหย่วนไม่อาจกุมอาวุธประหลาดนั้นเอาไว้ได้อีก ได้แต่มองมันหลุดออกจากมือไป
“ดาบนี้ ที่แท้…เจ้าเป็น…”
เฝิงซิวหย่วนก็นับว่าเป็นผู้มากประสบการณ์
นางมองเห็นเค้าเงื่อนจากดาบเมื่อครู่นี้ของหลี่จวิ้นชาง
“ไม่ผิด ข้าก็คือคนของตระกูลหลี่แห่งรัฐหง ดาบนี้มีนามว่าคืบศอกขอบฟ้า!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เฝิงซิวหย่วนฝืนยิ้มด้วยความเจ็บปวด
นางรู้ว่าไม่ว่าอย่างไรวันนี้ตนก็ไม่อาจหนีไปได้ และไม่มีชีวิตรอด
“พวกมันให้เงินเจ้าเท่าใด เพื่อให้เจ้ามาสังหารข้า”
เฝิงซิวหย่วนถาม
นางยังหวังลมๆ แล้งๆ
นั่นเพราะมือสังหารฆ่าคน ก็ไม่ใช่เพื่อเงินหรอกหรือ
และเงินนั้น นางก็มีอยู่มากมายนัก
“สามหมื่นตำลึง”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ที่จริงเขาเคยบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว
แต่ไม่รู้เหตุใดเฝิงซิวหย่วนยังถามซ้ำอีกครั้ง
“ข้าจะจ่ายให้เจ้าเพิ่มสองเท่า ปล่อยพวกเราแม่ลูกให้มีชีวิตรอดได้หรือไม่”
เฝิงซิวหย่วนกล่าว
น้ำเสียงแทบจะวิงวอน
หลี่จวิ้นชางครุ่นคิดสักพัก ยังคงไม่ตอบตกลง
“สามเท่า? ห้าเท่า?!”
เฝิงซิวหย่วนเพิ่มราคาขึ้นเรื่อยๆ
เพราะนางมองเห็นความหวังจากความลังเลใจของหลี่จวิ้นชางแล้ว
สรรพสิ่งในโลกหล้าล้วนมีราคาของมัน
ของหลายอย่างใช่ว่าเจ้าไม่อาจครอบครอง แต่เพราะเจ้าจ่ายราคาของมันไม่ไหว
ในเมื่อยังมีคนจ่ายเงินซื้อชีวิตของนาง
เช่นนั้นเฝิงซิวหย่วนก็สามารถใช้เงินซื้อมันกลับมาได้
นี่ก็คือนิสัยน่ารังเกียจที่แฝงอยู่ข้างในและมีกันทุกคน
หากยังไม่ถึงวินาทีสุดท้าย ไม่ว่าจะกับตัวเองหรือกับผู้อื่นก็ไม่อาจมองเห็นได้ชัดเจนทั้งสิ้น
แต่ในโลกนี้มีหลายวิธีที่จะทำให้ผู้อื่นรู้สึกดีกับตน แม้กระทั่งถูกตนบีบบังคับ
เงินทองก็คือวิธีที่ได้ผลที่สุดวิธีหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย
ห้าเท่าของสามหมื่นตำลึง เป็นเงินถึงหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงทีเดียว…
เป็นราคามากพอจะทำให้ผู้ใดก็ตามต้องไขว้เขว
ทว่าหลี่จวิ้นชางในเวลานั้นยังเป็นมือสังหารที่มีขอบเขต
สังหารแต่คนที่ควรสังหาร
ยิ่งไปกว่านั้นเงินนี้ก็ควรว่ากันตามลำดับก่อนหลัง
ไม่ว่าเจ้าหลังจะให้ราคาดีกว่ามากเพียงใด ก็ไม่อาจทำลายกฎเกณฑ์นี้ลงได้
ไม่เช่นนั้นนอกจากเขาจะเป็นมือสังหารไม่ได้แล้ว
ยังจะถูกคนร่วมสายงานดูแคลนเอา
แต่ความคิดเช่นนี้กลับมองข้ามสิ่งสำคัญไปข้อหนึ่ง
นั่นก็คือหลี่จวิ้นชางไม่ได้เป็นมือสังหาร
เขาเป็นเพียงนายน้อยที่ตกอับ
นายน้อยตกอับผันตัวมาเป็นมือสังหารก็เพียงเพื่อเติมท้องให้อิ่มเท่านั้น
เงินยิ่งมากย่อมกินได้ดียิ่งขึ้น
เรื่องการฟื้นฟูตระกูลหลี่ก็จะทำได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
หลี่จวิ้นชางจึงพยักหน้า
เฝิงซิวหย่วนพิงกำแพงราวกับสามารถปลดเปลื้องภาระหนักอึ้งทั้งหมดลงได้
นางเปิดคอเสื้อของตนออก
ตั๋วเงินทะลักร่วงลงพื้น
ตั๋วเงินเหล่านี้มีมากกว่าหนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึงด้วยซ้ำ
แต่หลี่จวิ้นชางไม่ได้หยิบไปมากกว่านั้น
เขาหยิบตั๋วเงินจากพื้นแค่หนึ่งแสนห้าหมื่นตำลึง
จากนั้นเขาก็เก็บ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ กลับเข้าฝัก
……………………..
“เหตุใดเจ้าไม่ลงมือ”
เสียงของนายท่านจินเข้ามาขัดจังหวะความทรงจำของหลี่จวิ้นชาง
“เจ้าอยากรู้หรือไม่ว่าชีวิตของเจ้ามีค่าเท่าใด”
หลี่จวิ้นชางถาม
นายท่านจินส่ายหน้า
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าหัวใหญ่ๆ ของข้านี้จะมีราคานัก! หากรู้เช่นนี้แต่แรก ข้าน่าจะสระผมและโกนหนวดให้ถี่ถ้วนทุกวัน”
นายท่านจินลูบใต้คางของตนพลางเอ่ย
“ราคานี้ หากเจ้าให้ข้าอีกห้าเท่า พวกเราก็ไม่ต้องลงมือกัน และข้าก็จะไม่สังหารเจ้า!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
สีหน้าของนายท่านจินเย็นเฉียบลงทันตา
“ก่อนวันนี้ ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายสนิทที่ตายไปแล้วมาตลอด เมื่อได้พบเจ้าวันนี้ ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าเป็นมือสังหารที่ทำด้วยความจำเป็น แต่คำพูดที่เจ้าเอ่ยออกมาเมื่อครู่นี้กลับทำให้ข้าคิดไม่ถึง…”
นายท่านจินเอ่ยทั้งส่ายหน้า
“คิดไม่ถึงสิ่งใด”
หลี่จวิ้นชางถาม
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าทำทุกอย่างเพื่อเงินขนาดนี้”
นายท่านจินกล่าว
แต่ละสายงานล้วนมีกฎเกณฑ์
คำพูดเมื่อครู่นี้ของหลี่จวิ้นชางทำลายกฎเกณฑ์สิ้น
ทว่านับตั้งแต่เขาเริ่มสังหารคน
หลี่จวิ้นชางก็ไม่เคยเห็นกฎเกณฑ์เหล่านี้อยู่ในสายตาอีกเลย
ฉะนั้น เมื่อนายท่านจินพูดเช่นนี้ เขาเพียงผายมือออกอย่างไม่ยี่หระเท่านั้น
………………………………………