ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 377 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-6
บทที่ 377 พายุฝนผิดแผกตายไม่รู้ตัว-6
หลี่จวิ้นชางมองด้ามดาบที่ตนกำอยู่ในมือ แต่กลับไม่หวดมันออกไปเสียที
นายท่านจินเห็นว่าเขาเหมือนกำลังใคร่ครวญบางเรื่องอยู่
ทว่าสำหรับมือสังหารแล้ว
คนที่สังหารคนแรกและคนที่สังหารคนสุดท้ายมักจดจำได้แม่นยำ
……………………
ในเวลากลางวันของวันหนึ่ง
ชายสวมชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินผู้หนึ่งเดินเข้าไปในเรือนพักแสนเรียบง่ายของหลี่จวิ้นชาง
เขาเอ่ยเข้าประเด็นทันที
“สามหมื่นตำลึงเงิน ฆ่าคนสองคน การค้านี้เจ้าจะรับหรือไม่”
หลี่จวิ้นชางเพิ่งออกมาจากกระท่อมฟาง เมื่อได้ยินราคาที่สูงเพียงนี้ก็ตะลึงทันที…
ว่ากันว่ายิ่งเสี่ยงยิ่งรวย
ราคายิ่งสูงก็หมายความว่าคนผู้นี้ยิ่งสังหารได้ยาก
ดีไม่ดีจนถึงท้ายที่สุด ไม่ได้เงินซ้ำยังต้องชดเชยด้วยชีวิตตัวเอง…
ทว่าหลี่จวิ้นชางก็ยังคงมองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย
“เป็นผู้ใดที่ทำให้ผู้ว่าจ้างตั้งราคาสูงเพียงนี้”
หลี่จวิ้นชางสะกดความตื่นเต้นในใจลงและถามออกไป
“ผู้หนึ่งคือเฝิงซิวหย่วน และเฝิงอวิ้นฝานแห่งจวนผู้ควบคุมรัฐเยี่ยน”
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินกล่าว
“ข้าสังหารคนที่สมควรตายเท่านั้น เหตุใดท่านจึงอยากให้สองคนนี้ตาย”
อย่างน้อยก็ไม่ได้ละทิ้งหลักการทั้งหมดเพื่อเงิน
“ต้องสมควรตายแน่นอน! เฝิงซิวหย่วนเป็นสาวใช้นางหนึ่งในจวนผู้ควบคุมรัฐเยี่ยน…ฮูหยินของนายท่านมีบุญคุณล้นฟ้าต่อนาง แต่นางกลับไม่รู้จักฐานะตนเอง! ไปยั่วยวนคุณชายรองแห่งจวนผู้ควบคุมรัฐ เจ้าว่านางสมควรตายหรือไม่”
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินกล่าว
“หากทั้งสองคนต่างรักใคร่กัน เช่นนั้นนางก็ไม่สมควรตาย”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยทั้งส่ายหน้า
“หากเป็นเช่นนั้น นางก็ไม่สมควรตายจริงดังว่า…น่าเสียดายที่ไม่ใช่ สาวใช้นางนี้เล่นลูกไม้วางยาคุณชายรอง”
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินกล่าว
“ตกลง นางสมควรตาย! แล้วอีกผู้หนึ่งคือใคร”
หลี่จวิ้นชางถามต่อ
“เฝิงอวิ้นฝานเป็นลูกที่สาวใช้ผู้นั้นตั้งท้อง”
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินกล่าว
“เป็นถึงจวนผู้ควบคุมรัฐเยี่ยน ปล่อยให้สาวใช้ผู้นี้หลบหนี กระทั่งเด็กก็ยังคลอดออกมาแล้ว…”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยด้วยสีหน้าดูแคลน
“ทว่าเด็กนั่นไร้ความผิด สาวใช้ผู้นั้นข้าสามารถฆ่าได้ แต่เด็กกลับไม่ได้!”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยต่อ
“ปัญหาคือไม่มีใครแน่ใจได้ว่าเด็กผู้นี้เป็นลูกของคุณชายรอง นางพาเด็กคนนี้ไปกุข่าวลือหลอกลวงไปทั่ว จนสะสมเงินทองได้ไม่น้อยแล้ว”
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินกล่าว
“ว่ามาเช่นนี้ แม่ลูกคู่นี้ล้วนไม่ดีทั้งสิ้น! งานนี้ข้ารับ!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินพยักหน้า หยิบตั๋วเงินใบหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ
“ที่เหลืออีกสองหมื่นตำลึงจะจ่ายเมื่อการสำเร็จ”
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินกล่าว
“เมื่อสังหารแล้วข้าจะเอาศพวางไว้หลังศาลเจ้าทางฝั่งตะวันตกของเมือง หากท่านตรวจศพเรียบร้อยแล้ว ก็เอาตั๋วเงินใส่ไว้ในช่องอิฐก้อนที่ห้านับจากซ้ายไปขวาเป็นพอ”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
สังหารคนเสร็จ เขาจะไม่พบกับผู้ว่าจ้างอีก
สิ่งสำคัญก็เพื่อความปลอดภัยของตนเอง
หากอีกฝ่ายกลับคำไม่ยอมจ่ายยังเรื่องเล็ก
แต่หากหันมาจัดการตนเพื่อปิดปาก เช่นนั้นก็เป็นเรื่องใหญ่แล้ว
ฉะนั้นหลี่จวิ้นชางจึงเลือกด้านหลังของศาลเจ้าแห่งนั้นเป็นที่ส่งมอบงานทุกครั้ง
ชายชุดผ้าต่วนสีน้ำเงินบอกตำแหน่งคร่าวๆ แก่หลี่จวิ้นชางแล้วหันหลังจากไป
ความจริงแล้วถนนเส้นนี้เดินทางไม่สะดวกอย่างยิ่ง…
เพราะส่วนใหญ่จะเป็นถนนบนเขา แม้แต่ม้าก็ยังขี่ไม่ได้
หลี่จวิ้นชางเข้าใจเรื่องนี้ดี
ที่แม่ลูกคู่นี้ต้องใช้ถนนบนเขา เห็นได้ชัดว่านางและลูกระแวงยิ่ง และรู้ว่าตนกำลังถูกตามสังหาร
ไม่เช่นนั้นเหตุใดแม้แต่ถนนใหญ่ก็ยังไม่กล้าเดิน ได้แต่เดินอ้อมมาใช้ถนนบนเขา?
ลำพังแค่เรี่ยวแรงที่ต้องเสียไปในการเดินทาง ก็ทำให้หลี่จวิ้นชางเข้าใจว่าเงินสามหมื่นตำลึงนี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ
เมืองเล็กๆ เพียงแห่งเดียวที่ถนนสายนี้ผ่านมีชื่อว่าเมืองฝูหยวน
เนื่องจากหลี่จวิ้นชางเดินทางมาอย่างยากลำบาก ทั้งหิวทั้งกระหายยากทนไหวจึงต้องไปพักและค้างแรมที่เมืองนั้นหนึ่งคืน
ที่นี่เป็นเมืองที่เล็กมาก
ในเมืองมีโรงเตี๊ยมแค่แห่งเดียว ชื่อว่า ‘โรงเตี๊ยมโชควาสนา’
ชื่อเป็นมงคลยิ่งนัก
เพียงแต่เมื่อหลี่จวิ้นชางยืนอยู่ตรงหน้าประตู ‘โรงเตี๊ยมโชควาสนา’ กลับรู้สึกประหลาดอยู่ลึกๆ ในใจ
เพราะแดดยามเที่ยงกำลังแผดแสง ตามหลักแล้วก็ควรจะอบอุ่น
ทว่าหน้าประตูโรงเตี๊ยมแห่งนี้กลับดูอึมครึมเย็นยะเยือก…ทั้งยังเงียบสงัดยิ่งนัก ไม่มีการเคลื่อนไหวใด
เมืองฝูหยวนก็นับว่าเป็นเส้นทางสำคัญ เหตุใดจึงไม่มีผู้คนหรือพ่อค้าสัญจรไปมา
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุใดประตูหน้าจึงปิดมิดชิดเช่นนี้
ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ควรจะเป็น
หลี่จวิ้นชางสัมผัสได้อย่างรวดเร็วอีกว่าที่แห่งนี้ไม่เพียงเงียบอย่างประหลาด
หนำซ้ำยังอึมครึมจนน่ากลัว…
แม้แต่แสงแดดร้อนแรงยามเที่ยงวันก็ยังไม่อาจชะล้างกลิ่นอายอึมครึมแสนประหลาดนี้ไปได้…
หลี่จวิ้นชางกำลังจะเข้าไปเคาะประตู ประตูกลับเปิดออกดังเอี๊ยด
คนที่ออกมาไม่ใช่เสี่ยวเอ้อร์ แต่เป็นคนหนุ่มที่สวมอาภรณ์ของนักพรตอินหยาง
พร้อมกับประตูที่เปิดออก กลิ่นอายเย็นเยือกชั่วร้ายภายในร้านก็ทะลักออกมาทันใด
ทำให้หลี่จวิ้นชางตัวสั่นไปหนหนึ่ง…
เมื่อนักพรตอินหยางหนุ่มผู้นั้นเห็นท่าทีตอบสนองของหลี่จวิ้นชางก็หัวเราะขึ้นมาทันใด
ฟันขาวเต็มปาก หัวเราะแต่กลับไม่มีเสียง
ว่ากันว่าพวกหลอกลวงในใต้หล้านี้ ครึ่งหนึ่งรักษาโรค อีกครึ่งหนึ่งดูดวงชะตา
หมอเทวดากับนักพรตอินหยาง หาใช่คนที่มีชื่อเสียงดีงามอันใด
หนำซ้ำนักพรตอินหยางมากบ้างน้อยบ้างยังรู้คาถาอาคมเล็กน้อยอีกด้วย
หลี่จวิ้นชางหลีกเลี่ยงจากเรื่องเหล่านี้อย่างยิ่ง…
“ขอถามพี่ชายท่านนี้ ที่นี่มีห้องให้พักแรมหรือไม่”
หลี่จวิ้นชางถาม
“เจ้าต้องการพักแรมหรือ ได้สิ”
นักพรตอินหยางหนุ่มย้อนถาม
“ไม่ผิด ข้าน้อยต้องการพักแรม!”
หลี่จวิ้นชางกล่าวอย่างสุภาพยิ่ง
“ที่นี่ต้องปิดลงเพราะมีผีอาละวาด! อย่าได้มารบกวนอีก ไม่เช่นนั้นระวังข้าจะปล่อยผีไปตามหลอกหลอนเจ้า!”
นักพรตอินหยางหนุ่มเอ่ยพลางโบกมือ
“เจ้านี่ เหตุใดไม่มีเหตุผลเช่นนี้ ข้าแค่ถาม แต่เจ้ากลับข่มขู่ข้า!”
หลี่จวิ้นชางเอื้อมมือไปคว้าแขวนเขาไว้และตำหนิเสียงดัง
นักพรตอินหยางหนุ่มยิ้มอย่างมีเลศนัย พร้อมกระแทกฝ่ามือใส่ที่อกของหลี่จวิ้นชาง
นึกไม่ถึงว่าหลี่จวิ้นชางจะว่องไวกว่า เห็นเพียงเขาเอี้ยวตัวเล็กน้อย จากนั้นก็ต้านฝ่ามือของนักพรตอินหยางหนุ่มผู้นี้เอาไว้ได้
อีกฝ่ายกลับถูกเขารั้งจนเสียสมดุล
รวดเร็วจากนั้น นักพรตอินหยางหนุ่มก็ล้มลงกับพื้น ฟันหน้าถึงกับโยกคลอนไปสองซี่…ปากเต็มไปด้วยเลือด
หลี่จวิ้นชางหัวเราะเย็น ก่อนก้าวเท้ายาวจากไป
แม้โรงเตี๊ยมจะมีแค่ที่เดียว
แต่ร้านอาหารไม่ได้มีร้านเดียว
หลี่จวิ้นชางตั้งใจแล้วว่าจะค้างที่นี่
และเขาก็มีเงินถึงหนึ่งหมื่นตำลึง
ฉะนั้น ไม่มีเรื่องใดที่จะสร้างความลำบากให้เขาได้
ช่วงพลบค่ำ โถงใหญ่ของร้านอาหารแห่งหนึ่งมีกลิ่นหอมฟุ้งอบอวล
“พี่น้องชาวเมืองทุกท่าน ยามมืดค่ำโปรดปิดประตูหน้าต่างให้ดี ลงกลอนประตูให้แน่นหนา ผู้ใหญ่เด็กเล็กให้เข้านอนแต่หัววันให้หมด เพื่อไม่ให้ถูกรังควาน…”
หลี่จวิ้นชางมองออกไปข้างนอก เห็นว่าคนที่กำลังตีฆ้องร้องป่าวประกาศอยู่ก็คือนักพรตอินหยางหนุ่มผู้นั้น
พลันรู้สึกดูแคลนยิ่งกว่าเดิม
“เสี่ยวเอ้อร์ คนผู้นั้นคือใครหรือ”
หลี่จวิ้นชางเรียกเสี่ยวเอ้อร์มาถาม
“เขาเป็นนักพรตอินหยางหนุ่มที่เถ้าแก่โรงเตี๊ยมเชิญมาขอรับ..ท่านอาจไม่ทราบ ครึ่งเดือนมานี้ ภายในโรงเตี๊ยมมักมีผีออกมาหลอกหลอน!”
เสี่ยวเอ้อร์ของร้านอาหารบอก
หลี่จวิ้นชางไม่ขยับตัว ทว่าสายตาเอาแต่จ้องเขม็งไปยังนักพรตอินหยางหนุ่มที่อยู่บนถนนข้างนอก
“เอาสุรามาอีกกา!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“นายท่านผู้นี้ ท่านอย่าดื่มเลยดีกว่าขอรับ…”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยด้วยท่าทางอึกอัก
“ทำไมเล่า หรือเจ้าคิดว่าข้ากลัวผี”
หลี่จวิ้นชางชี้ตนเองและถามด้วยรอยยิ้ม
พร้อมกันนั้นก็ตบไปที่ดาบตรงเอวของตน
เสี่ยวเอ้อร์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ ได้แต่นำสุรามาให้เขาอีกกา
เมื่อถึงเที่ยงคืน จู่ๆ ก็มีเสียงกระดิ่งดังออกมาจากโรงเตี๊ยม
ผู้คนในเมืองต่างคิดว่านักพรตอินหยางผู้นั้นกำลังร่ายคาถาเพื่อสยบมารและจับผี
หลี่จวิ้นชางมองผ่านแสงเทียนเห็นว่าภายในโรงเตี๊ยมมีร่างคนสามร่าง
ทันใดนั้น เขาก็เข้าใจขึ้นมาทันใด
ทว่าหลี่จวิ้นชางตัดสินใจว่าจะไม่กระโตกกระตาก และดูละครเรื่องนี้ให้ละเอียด!
เพียงครู่หนึ่ง นักพรตอินหยางหนุ่มผู้นั้นก็เปิดประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมและเริ่มเผาเงินกระดาษทีละกำใหญ่ๆ
พร้อมกับเปลวไฟที่ลุกโชน ทันใดนั้นตรงหน้าก็ปรากฏเกี้ยวที่มีโคมไฟแขวนอยู่
ภายในโรงเตี๊ยมมีเงาคนสองคนเข้าไปนั่งภายในเกี้ยว
นักพรตอินหยางหนุ่มสั่นกระดิ่ง ปากก็ตะโกนคำว่า ‘ลุกขึ้น’
เกี้ยวนี้ค่อยเดินไปข้างหน้าด้วยตนเอง
หลี่จวิ้นชางตามหลังเกี้ยวนั้นไปเงียบๆ
เกี้ยวเดินอยู่บนถนนภูเขาที่คดเคี้ยว และเดินอยู่พักใหญ่
จวบจนฟ้าค่อยๆ สว่างขึ้น ในที่สุดก็หยุดลงตรงหน้าเรือนชาวบ้านที่งดงามหลังหนึ่ง
คนทั้งสองเดินออกมาจากเกี้ยว เป็นบุรุษและสตรี
บุรุษรูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าหล่อเหลามีความสง่างามอยู่หลายส่วน
สตรีงดงามดุจบุปผา เรือนร่างอรชร ดูแล้วอายุไม่มากนัก
“ที่นี่หรือ”
สตรีเอ่ยปากถาม
“ไม่ผิด ที่นี่แหละ อย่างน้อยราวครึ่งเดือนจะไม่มีคนมาสร้างความเดือดร้อนให้พวกเจ้า!”
นักพรตอินหยางหนุ่มกล่าว
จากนั้นก็ยื่นมือออกมา
สตรีหัวเราะเบาๆ พลางพยักหน้า นางย่อมรู้ว่าอีกฝ่ายบอกตนโดยนัยว่าควรจ่ายเงินได้แล้ว
ทว่า สิ่งที่สตรีผู้นี้ล้วงออกมาจากแขนเสื้อไม่ใช่ตั๋วเงิน แต่เป็นปิ่นทองเล่มหนึ่ง
ปลายด้านหนึ่งของปิ่นนี้ถูกเหลาจนแหลมเล็กยิ่ง
สตรีใช้ปิ่นทองทิ่มลงบนฝ่ามือของนักพรตอินหยางหนุ่มเบาๆ ก่อนหันหลังสะบัดแขนเสื้อจากไป
หลี่จวิ้นชางเห็นว่านักพรตอินหยางหนุ่มกุมฝ่ามือของตนไว้ด้วยความเจ็บปวดยิ่ง
จากนั้นก็ล้มลงบนพื้นอย่างแรง
………………………………………