ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 370 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-5
บทที่ 370 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-5
ความรักที่สมบูรณ์แบบที่สุดมักเกิดขึ้นได้ยากเสมอ
บางคนรักอย่างมีเหตุผลมากเกินไป บางคนรักไม่มั่นคงเกินไป
สุดท้ายแล้วอาจดูเหมือนสมบูรณ์แบบ
แต่ลึกๆ ในใจทั้งสองฝ่ายก็อาจจะรู้สึกเสียใจเช่นกัน
เดิมโลกของชิงหรานนั้นกว้างใหญ่มาก
แต่สำหรับนางเสี่ยวจงแล้ว เหลือพื้นที่ของความรักให้นางน้อยเกินไปนัก
ชิงหรานรักฮูหยินที่ล่วงลับไปผู้นั้นอย่างสุดซึ้ง รักอย่างยึดมั่น รักจนล้นอก
ยามที่พบกันคราแรก
ชิงหรานไม่ใช่เด็กหนุ่มโง่เขลาที่เพิ่งย่างกรายเข้าสู่ยุทธภพ
ส่วนนางเสี่ยวจงกลับไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลและหัวใจมนุษย์แสนเจ้าเล่ห์เพทุบายนี้เลย
หญิงงามมักจะคู่กับวีรบุรุษเสมอ
เพียงแต่การจับคู่กันเช่นนี้มักจะเริ่มต้นด้วยการเทิดทูนบูชา
นางเสี่ยวจงก็เช่นกัน
แม้ว่านางจะไม่ใช่หญิงงามถึงขั้นไร้ผู้ใดเทียบเทียม
แต่ก็เป็นหญิงงามที่ขึ้นชื่อในท้องที่จริงๆ
ทว่านางมีเพียงวิสัยทัศน์เดียวเท่านั้น
จะเรียกว่าความทะเยอทะยานก็ว่าได้
นั่นก็คือจะไม่ออกเรือน
หรือหากจะออกเรือนก็ต้องแต่งกับวีรบุรุษตัวจริงและฝีมือยอดเยี่ยม
ในยามนั้นชิงหรานไม่ใช่ผู้ที่โดดเด่นที่สุด
แต่เนื่องจากชิงหรานถือกำเนิดในจวนชิง ทั้งยังเป็นทายาทของจวนชิงที่จะได้รับการแต่งตั้งในภายภาคหน้า
ด้วยชื่อเสียงที่อยู่บนนั้น ไม่ว่าผู้ใดล้วนมองว่าสูงส่ง
นางเสี่ยวจงยังไม่ได้ตัดสินใจออกเรือนจนกระทั่งอายุยี่สิบห้าปี
เหล่าแม่สื่อต่างพากันลดเกณฑ์ของนางลง
แต่ไม่มีผู้ใดเข้าตาแม้แต่คนเดียว
บิดามารดาของนางเสี่ยวจงย่อมร้อนใจ
จึงยื่นคำขาดให้แก่นาง
เดือนอ้ายปีหน้าต้องตัดสินใจเรื่องแต่งงาน
ไม่เช่นนั้นแม้แต่ครอบครัวธรรมดาอย่างนางเสี่ยวจงก็ไม่พ้นถูกบ้านใกล้เรือนเคียงชี้นิ้วด่าว่านินทาลับหลัง
แต่นางเสี่ยวจงไม่ได้คิดเช่นนั้น
ไม่ตายก็ไม่มีทางหยุดยั้งความทะเยอทะยานของตนเองได้
แต่สุราชั้นดียิ่งมีอายุก็ยิ่งหอมหวาน
หญิงงามกลับตรงกันข้าม
นับแต่โบราณหญิงงามกลัวไม้ใกล้ฝั่ง ไม่อาจปล่อยให้แก่หง่อมในโลกมนุษย์
นางรอไม่ไหว
หากถึงวันที่ชราและความงามหายไปจริงๆ ต่อให้มีความทะเยอทะยานแล้วจะอย่างไรเล่า
นางเสี่ยวจงย่องหนีออกจากบ้านไปในค่ำคืนหนึ่ง
ปลอมตัวเป็นบุรุษออกเดินทางมาจนถึงหัวเมืองรัฐหง
ที่นี่คึกคักยิ่งกว่าบ้านเกิดของนางมาก
ต่อมานางเสี่ยวจงจึงรู้สึกว่าตนไม่สามารถสร้างความประทับใจให้ชิงหรานได้จริงๆ
บางทีเขาอาจจะแค่รู้สึกว่าตนเป็นสตรีที่น่าสนใจและรูปลักษณ์ดูดีเท่านั้น
นางเสี่ยวจงมีไหวพริบสติปัญญาดียิ่ง
หากใช้คำพูดของผู้ฝึกตนก็จะเรียกว่ากระจ่างแจ้งและปัญญาสูงส่ง
แม้ว่านางจะเป็นสตรีทางเหนือก็ตาม
แต่กลับมีนิสัยของคนทางใต้
ไม่เพียงแต่มีความคิดรอบคอบ แต่ยังอบอุ่นและอ่อนโยน
แตกต่างจากทะเลทรายทางเหนืออันกว้างใหญ่และชายแดนรัฐหงที่ไร้ความสงบอย่างสิ้นเชิง
ทันทีที่นางเสี่ยวจงก้าวเข้าหัวเมืองรัฐหงก็ได้ยินผู้คนกล่าวถึงจวนชิงและชิงหราน
นางสงสัยใคร่รู้ยิ่งนัก
อยากรู้ว่าชิงหรานที่ผู้คนเล่าขานกันว่าเป็นมือดาบที่โดดเด่นที่สุดในยุคนี้จะหน้าตาเป็นเช่นไร
หลังจากนางได้พบกับชิงหรานจริงๆ แล้ว
กลับพบว่าแตกต่างจากภาพวาดในหัวของนางอย่างสิ้นเชิง
ชิงหรานไม่ฉลาดเฉลียว
กระทั่งยังทึ่มทื่อเล็กน้อย
เกิดที่จวนชิง จากนั้นร่อนเร่ท่องไปทั่วยุทธภพอยู่นาน แต่กลับไร้ไหวพริบ
สิ่งเหล่านี้ดูน่าขันในสายตาของผู้อื่น
ทว่านางเสี่ยวจงกลับรู้สึกว่ามันสมจริงและแน่วแน่ยิ่งนัก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา นางก็รู้สึกว่าความทะเยอทะยานของตนจะเป็นจริงได้ด้วยบุรุษผู้นี้เท่านั้น
แต่สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือชิงหรานได้หมั้นหมายไปแล้ว
หลังจากท่องไปทั่วยุทธภพแล้วก็จะกลับไปแต่งงานที่จวนชิง
ชิงหรานมีม้าดีหนึ่งตัว
ขณะที่เขาหวดแส้คุมบังเหียนควบม้าผ่านตลาด จู่ๆ นางเสี่ยวจงก็โผล่มาอยู่เบื้องหน้าเส้นทางที่เขาจะต้องผ่าน
“คุณหนูมีสิ่งใดชี้แนะหรือ”
ชิงหรานไม่เคยพบเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
จึงรีบหยุดบังเหียนแล้วลงจากม้าเพื่อถาม
“ท่านคือชิงหรานหรือ”
นางเสี่ยวจงเงยหน้าขึ้นแล้วเอ่ยถาม
“ข้าคือชิงหราน”
ชิงหรานตอบอย่างสุภาพ
เขาสูงกว่านางเสี่ยวจงมาก
นางเสี่ยวจงได้ยินแต่ไม่เอ่ยสิ่งใด เพียงเดินอ้อมรอบกายชิงหรานสองรอบ
“แม่นางมีธุระใดกับข้าหรือ”
ชิงหรานรู้สึกตงิดๆ ในใจจึงเอ่ยถาม
เขาเป็นคนซื่อตรงมาก…
ในใจคิดสิ่งใดก็เอ่ยออกมาเช่นนั้น
หากเขารู้สึกว่าแปลกประหลาดก็ต้องถามให้กระจ่าง
“ข้าเพียงอยากรู้จักท่าน นับว่าเป็นธุระหรือไม่”
นางเสี่ยวจงกล่าวพลางยิ้ม
“นี่…เหตุใดแม่นางจึงยืนกรานอยากจะรู้จักข้าเล่า”
ชิงหรานยิ้มอย่างเก้อกระดากเล็กน้อยแล้วเอ่ย
“เพราะท่านมีชื่อเสียงเลื่องลือ”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“นั่นหาได้เป็นชื่อเสียงของข้า…เพียงแต่เป็นชื่อเสียงของตระกูลข้าเท่านั้น”
ประโยคนั้นของนางเสี่ยวจงหาได้เป็นคำชมเชย
แต่ชิงหรานตอบกลับเช่นนี้ก็เป็นความจริงยิ่งนัก
แม้ว่าเขาในยามนี้จะฝึกฝนดาบตัดเงาทั้งสามดาบจนบรรลุแล้ว
แต่ยามที่ผู้อื่นกล่าวถึงเขาก็ยังไม่อาจอ้อมภูเขาจวนชิงลูกใหญ่นี้ได้อยู่ดี
ชิงหรานไม่ชอบที่เป็นเช่นนี้
เขาก็ปรารถนาจะสร้างโลกของตนเองเช่นเดียวกับจอมยุทธ์พเนจรทุกคน
ชิงหรานก็คือชิงหราน
ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับจวนชิง
แต่จนถึงตอนนี้ เขายังคงไม่สามารถขจัดพันธนาการและข้อผูกมัดของจวนชิงไปได้
หรือบางทีคงไม่อาจขจัดมันได้ด้วยซ้ำ
“ท่านสกุลชิงหรือ”
นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม
“ข้าก็คือชิงหราน แน่นอนว่าสกุลชิง!”
ชิงหรานขมวดคิ้ว
ถูกคำถามนี้ของนางเสี่ยวจงทำเอาสับสนงงงวย
“ในเมื่อท่านสกุลชิง เช่นนั้นชั่วชีวิตนี้ท่านก็เป็นคนของจวนชิง ชื่อเสียงของจวนชิงก็คือชื่อเสียงของท่านเช่นกัน”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“วาจานี้ของแม่นางนั้นไม่ผิดเพี้ยน…หลักการหนึ่งโรจน์ทุกคนรุ่ง หนึ่งร่วงทุกคนล่มนี้ข้ารู้ดี เพียงแต่ว่า…”
ชิงหรานอึกอัก
เดิมเขาจะไปทำธุระทางตะวันออกของเมือง
คิดไม่ถึงว่ายามนี้จะหยุดฝีเท้าอยู่ที่นี่และเอาแต่พูดพล่ามมากมายกับนางเสี่ยวจง
“เพียงแต่ว่าท่านก็ยังไม่เต็มใจใช่หรือไม่”
ปรากฏว่านางเสี่ยวจงย้อนถามเสียอย่างนั้น
“ฮ่าๆ…แม่นางเฉียบแหลมดังคาด! เป็นเช่นนั้นจริง ข้าไม่เต็มใจ”
ชิงหรานกล่าวพลางหัวเราะอย่างร่าเริง
เขาไม่ได้เอ่ยเรื่องเหล่านี้กับผู้ใดมานานมากแล้ว
ผู้อื่นเพียงพูดคุยไม่กี่คำก็กระซิบนินทาลับหลัง
ผู้ใดก็ไม่กล้าเอ่ยต่อหน้าเขา
แต่นี่ก็เหมือนหนามเล่มหนึ่งที่ปักอยู่กลางหน้าอกของชิงหราน
แม้ว่าเวลาที่ปักอยู่จะนานมากและทำให้ชิงหรานด้านชาไปแล้วก็ตาม
แต่ครั้นนึกถึงขึ้นมาหรือถูกคนเอ่ยถึงเมื่อใดก็ยังเจ็บแปลบและอึดอัดอยู่มาก
“แล้วทำเช่นไรท่านจึงจะเต็มใจหรือ”
นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม
นางอยากจะลองเชิงชิงหรานอีกสักหน่อย
คนผู้หนึ่ง โดยเฉพาะบุรุษ
หากเพียงอาศัยชื่อเสียงของตระกูลสร้างชื่อให้ตนเอง ย่อมไม่นับว่าเป็นความสามารถที่แท้จริง
เป็นเพียงแค่ลูกผู้ดีมีเงินงานการไม่ทำก็เท่านั้น
วีรบุรุษแท้จริง ยอดฝีมือแท้จริง แม้จะเกิดในตระกูลรุ่งโรจน์ ก็ไม่มีทางหยุดความพยายามในการก้าวหน้าของตน
เมื่อถึงจุดหนึ่งตระกูลอาจจะเป็นข้อผูกมัดที่น่ารังเกียจ
แต่บ่อยครั้งความรู้สึกสำนึกรับผิดชอบมักกระตุ้นให้ผู้คนก้าวไปข้างหน้าไม่หยุดหย่อน
นางไม่รู้ว่าชิงหรานมีความรับผิดชอบประเภทนี้หรือไม่
ฉะนั้นนางต้องหยั่งเชิง
“ตอนนี้เมื่อผู้อื่นเอ่ยถึงข้า ประโยคแรกที่พูดถึงล้วนเป็นบุตรคนโตของจวนชิง ข้าหวังว่าสักวันหนึ่งลำดับนี้จะกลับกัน”
ชิงหรานมองไปไกลๆ แล้วกล่าว
แม้เป็นเพียงความหวัง
แต่เขากลับพูดอย่างไม่สะทกสะท้านและยืนหยัดอย่างยิ่ง
สายลมพัดผ่านระลอกหนึ่ง
พัดอาภรณ์ของชิงหรานปลิวไสวและพัดกระโปรงของนางเสี่ยวจงเป็นรอยย่น
ทั้งสองคนยืนเงียบไม่เอ่ยวาจา
ชิงหรานยืนรับสายลม
แต่พายุทรายไม่ได้ทำให้แววตาของเขาเปลี่ยนไปแต่อย่างใด
ยังคงชัดเจนใสสะอาดเช่นนั้นและเผยให้เห็นถึงความมั่นใจเต็มเปี่ยม
คำพูดสามารถใช้หลอกลวงผู้อื่นได้
แต่แววตายากที่จะเสแสร้งแกล้งทำ
โดยเฉพาะคนที่ใจกว้างอย่างชิงหรานแล้ว
ต่อให้พายุทรายจะแรงเพียงใดก็ไม่อาจสั่นคลอนใจของเขาและไม่อาจทำให้หลับตาได้
จนถึงทุกวันนี้ เมื่อนางเสี่ยวจงหวนนึกถึงการพบกันครั้งแรกก็ยังคงรู้สึกหวานละมุนจับใจ
จุดที่ทั้งสองโชคดีที่สุดคือ ยามที่พบกัน ห้วงอารมณ์ระหว่างคนทั้งสองไม่มีรอยแผลเป็นแม้แต่นิด
เสมือนหิมะตกในค่ำคืนฤดูหนาว
ไฟทั้งหมดมอดดับลง
บนหิมะไร้ซึ่งรอยเท้าใดๆ
ห้วงอารมณ์ที่ไร้รอยแผลเป็นนับได้ว่าเป็นความยุติธรรมสำหรับทั้งสองฝ่ายอย่างยิ่ง
แต่สำหรับความรู้สึกแล้วนั้น ความยุติธรรมเป็นคำที่น่าขันยิ่งนัก
คู่ชีวิตอาจแยกทางกันเพราะเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นได้
คู่รักสมบูรณ์แบบก็อาจหนีออกจากเกี้ยวเจ้าสาวในวินาทีสุดท้ายก่อนแต่งงาน
แต่เมื่อผู้อื่นเอ่ยถึงความยุติธรรม ทั่วไปแล้วล้วนกล่าวถึงตัวตนและสถานะของทั้งสองคนว่าเหมาะสมกันหรือไม่
หากพิจารณาจากจุดนี้แล้ว
นางเสี่ยวจงไม่คู่ควรกับชิงหรานแม้แต่น้อย
ฉะนั้นความรักจะต้องไม่ยุติธรรมเป็นแน่
เจ้ารู้สึกว่ายามที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
สวรรค์จะต้องทำลายความเหมาะสมนี้ในที่อื่นอย่างแน่นอน
นี่ก็ถือได้ว่าเป็นความสมดุลและการชดเชยอย่างหนึ่ง
ชิงหรานเป็นบุตรคนโตของจวนชิง
แต่นางเสี่ยวจงเป็นเพียงสตรีจากตระกูลธรรมดา
บิดาเปิดร้านรวงเล็กๆ
อาศัยการประจบประแจง ดำรงชีวิตกินอิ่มนอนอุ่นจากมิตรสหายรอบข้าง
“แต่เดิมท่านก็เป็นบุตรคนโตของจวนชิง…สลับกันแล้วจะมีประโยชน์อันใด”
น้ำเสียงของนางเสี่ยวจงค่อยๆ ลดต่ำลง
แม้ชิงหรานจะยืนอยู่เบื้องหน้านาง
แต่ก็ยังอยู่ห่างนางมากเกินไปอยู่ดี
สิ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าเป็นเพียงร่างของชิงหราน ซึ่งเป็นเพียงเปลือกนอก
แต่ความคิดในใจของชิงหรานเป็นเสมือนเมฆลอยอยู่เหนือสวรรค์ชั้นเก้า
ความรู้สึกจะว่าใกล้ก็ไม่ใช่ จะว่าห่างไกลก็ไม่เชิง
นางเสี่ยวจงค่อนข้างทนไม่ไหวจริงๆ…
…………………………………………………………….