ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 369 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-4
บทที่ 369 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-4
อันที่จริงสิ่งที่เขาอยากจะพูดก็คือ หลังจากกลับมาคราวนี้ เขากับบิดาจะไปที่จวนชิงเพื่อทำการสู่ขอ
แต่ก่อนจะพลั้งปากเอ่ยออกมากลับชะงักกลืนมันกลับไป
เขากลัวว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดในวันนั้นจะซ้ำรอยในตรอกแห่งนี้
ชิงเสวี่ยชิงไม่ได้สังเกตเห็นความคิดที่อยู่ในใจเช่นนี้ของเหวินฉีเหวิน
นางยกชามสุราแล้วดื่มเกลี้ยงรวดเดียว
เนื่องจากรีบร้อนดื่มจนเกินไป
สุราจึงไหลลงมาตามมุมปาก
เหวินฉีเหวินล้วงผ้าเช็ดหน้าไหม ใช้นิ้วชี้กดลงและซับมุมปากของนางเบาๆ
จากนั้นยัดผ้าเช็ดหน้าไหมใส่มือนาง
“พี่เหวินยังพกผ้าเช็ดหน้าไหมติดตัวด้วย!”
ชิงเสวี่ยชิงกางผ้าเช็ดหน้าไหมผืนนั้นบนเข่าแล้วกล่าว
“นี่ก็เป็นเพราะเจ้าไม่ใช่หรือ”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“แต่คราวนี้พี่เหวินไม่ได้บังเอิญแล้ว!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลางหัวเราะ
เหวินฉีเหวินรู้ นางกำลังพูดถึงสีของผ้าเช็ดหน้าไหมในวันนี้แตกต่างจากกระโปรงของนาง
ทว่าเรื่องนี้มันช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก
เป็นไปไม่ได้ที่จะแม่นยำทุกครั้งไป
แม้เหวินฉีเหวินจะท้อแท้อยู่บ้าง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้สนใจมากนัก
แต่ก่อนที่อาทิตย์อัสดงสีแดงจะถูกเมฆดำกลืนกินไปจนหมด ชิงเสวี่ยชิงก็ล้มลงในอ้อมแขนของเหวินฉีเหวินเสียแล้ว
เหวินฉีเหวินตัวแข็งทื่อ
ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
ในทางตรงกันข้าม ชิงเสวี่ยชิงจับปกเสื้อของเหวินฉีเหวินแน่น ทั้งยังถูไถแก้มกับหน้าอกของเขาเพื่อหาตำแหน่งที่สบายตัว
“น้องชิง เจ้าเป็นอันใดหรือไม่”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
มือของเขาค้างอยู่นอกร่างของชิงเสวี่ยชิง ไม่กล้าแตะต้องแม้แต่น้อย
แต่ก็กังวลว่านางจะล้มหงายไปอีกด้านหนึ่ง
“พี่เหวิน เรากลับบ้านกันเถิด…”
ชิงเสวี่ยชิงพูดราวกับละเมอก็ไม่ปาน
“เจ้าจำสิ่งที่เจ้ารับปากข้าได้หรือไม่ เจ้ารับปากข้าไว้ว่าต่อไปหากเจ้ามาคนเดียว จะไม่มีทางกลายเป็นแมวขี้เมาเด็ดขาด”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“ข้ารู้ ข้าจำได้ แต่ข้าเข้าใจว่าตราบใดที่ท่านอยู่ด้วย ต่อให้ข้าจะดื่มจนกลายเป็นแมวขี้เมาก็หาได้เป็นอันใดไม่”
ชิงเสวี่ยชิงตะแคงกายในอ้อมกอดของเหวินฉีเหวินแล้วกล่าว
ลมหายใจค่อยๆ สม่ำเสมอและลึกขึ้น
นางผล็อยหลับไปแล้ว
เหวินฉีเหวินอุ้มร่างของชิงเสวี่ยชิงขึ้นมา
เดินไปยังทิศทางของจวนชิงอย่างเชื่องช้า
ฝีก้าวของเขามั่นคงหนักแน่นยิ่ง
ไม่กล้าปล่อยให้ร่างของตนโคลงเคลงแม้เพียงนิด
เหวินฉีเหวินมองดูคนที่นอนหลับอยู่ในอ้อมแขน
ทันใดนั้นพลันนึกถึงยามที่พวกเขาทั้งสองยังเล็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เล่นซ่อนหาอยู่ในหออาภรณ์ปักลายก็เป็นเช่นนี้
ตลอดสามชั่วยาม
เหวินฉีเหวินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชิงเสวี่ยชิงซ่อนตัวอยู่ที่ใด
จึงร้องไห้ด้วยความร้อนใจ
ตัวสั่นราวกับแมลงวันหัวขาด
แม้แต่พ่อบ้านจวนชิงและสาวใช้ในหออาภรณ์ปักลายก็ร้อนรนใจเช่นกัน
หากเกิดภัยอันตรายใดๆ กับคุณหนู
พวกเขามีหวังไม่อาจรอดพ้นการลงโทษอันแสนสาหัสได้
ในที่สุดก็เป็นเหวินฉีเหวินที่หยุดร้องไห้เสียก่อน
จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงสูดจมูกฟุดฟิดเบาๆ เป็นระยะๆ
ตามเสียงแผ่วเบานี้ไปจนเหวินฉีเหวินหาชิงเสวี่ยพบ
ที่แท้นางซ่อนอยู่ในตู้พังๆ ที่ถูกทิ้งร้างไปนานแล้วและผล็อยหลับไป
หลังจากกลับมาถึงจวนชิง เหวินฉีเหวินก็อุ้มชิงเสวี่ยชิงเข้าไปในห้องส่วนตัวของนางในหออาภรณ์ปักลาย
จากนั้นกำชับให้สาวใช้เหล่านั้นวางถ้วยชาสมุนไพรไว้ข้างเตียงแล้วค่อยทำน้ำแกงเพิ่มอีกอย่าง
ดูท่าทางแล้ว
ชิงเสวี่ยชิงจะตื่นขึ้นมากลางดึกเป็นแน่
หลังจากตื่นแล้วจะรู้สึกกระหายก่อนแล้วตามด้วยความหิว
สาวใช้เหล่านี้ย่อมรู้ดีว่าเหวินฉีเหวินคือผู้ใดและรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคุณหนูของตนอีกด้วย
ทั้งหมดพยักหน้าตอบรับ
แต่เขาไม่อยากเดินออกไปทางประตูหน้า
เขาคิดอยากจะข้ามกำแพง
ดื่มสุราแล้ว ผู้คนจะรู้สึกตื่นเต้นและแปลกไปเล็กน้อยอย่างไม่อาจเลี่ยง
หากในยามปกติ เขาไม่มีทางเป็นเช่นนี้เด็ดขาด
แต่ในยามนี้ เหวินฉีเหวินเดินมุ่งหน้าไปที่กำแพงในสวนด้านหลังอย่างแน่วแน่
“เหวินเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำสิ่งใด”
ขณะที่เหวินฉีเหวินกำลังจะข้ามกำแพงไปนั้น จู่ๆ เสียงของนางเสี่ยวจงก็ดังมาจากด้านหลัง
“น้าจง!”
เหวินฉีเหวินหมุนกายหันกลับมาเอ่ยด้วยความกระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง
“นี่เจ้า…กำลังจะข้ามกำแพงหรือ”
นางเสี่ยวจงเอ่ยถาม
เหวินฉีเหวินเห็นว่าความคิดของตนถูกเปิดเผย จึงพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว
นางเสี่ยวจงค่อยๆ เดินเข้าไปหาเหวินฉีเหวิน
ยังไม่ทันเข้าใกล้ตัวก็ได้กลิ่นสุราฉุนจมูก
“พวกเจ้าไปดื่มสุรามาหรือ”
นางเสี่ยวจงถามด้วยความตกใจ
เหวินฉีเหวินพยักหน้า
“ชิงเอ๋อร์เล่า นางก็ดื่มหรือ”
นางเสี่ยวจงถาม
นี่ย่อมเป็นประโยคสิ้นคิด
สองคนนี้ไม่อยู่ในจวนตลอดทั้งช่วงบ่าย
ย่อมออกไปดื่มสุราเป็นแน่
เป็นห่วงจนสับสน
แม้แต่นางเสี่ยวจงก็ยังเป็นเช่นนี้
เป็นเรื่องปกติ
“น้องชิงหลับไปแล้ว”
เหวินฉีเหวินกล่าว
นางเสี่ยวจงพยักหน้า
ดื่มสุราไม่เป็นอันใด ดื่มจนเมาก็หาได้เป็นอันใด
ตราบใดที่คนสบายดีก็ไม่เป็นอันใด
“น้าจง เช่นนั้นข้ากลับก่อนนะขอรับ…”
เหวินฉีเหวินกล่าวอย่างขี้ขลาด
ไม่กล้ากระทั่งสบตากับนางเสี่ยวจงด้วยซ้ำ
“เหวินเอ๋อร์เจ้าอย่าเพิ่งรีบร้อน มีบางเรื่องข้าอยากจะฝากฝังเจ้าเสียหน่อย”
นางเสี่ยวจงกล่าว
พาเหวินฉีเหวินไปนั่งในศาลาในสวนด้านหลังอาภรณ์ปักลาย
“น้าจงว่ามาได้เลยขอรับ”
เหวินฉีเหวินกล่าว
แม้เขาจะดื่มสุราไปไม่น้อย
ยามนี้ก็ยังมึนศีรษะอยู่บ้าง
แต่ไม่มีทางลืมมารยาทในยามปกติ
หลายต่อหลายคนเมาแล้วโวยวาย แต่นั่นเป็นเพราะจริยธรรมในยามปกติของพวกเขามีปัญหา
เพียงแต่ทั้งข่มและปกปิดไว้ได้ดีมากต่างหาก
คนที่ดูเหมือนจะสุภาพเรียบร้อยและผอมกะหร่องอ่อนแอผู้หนึ่ง หลังดื่มสุราจู่ๆ ก็โกรธเกรี้ยวแล้วพูดพล่ามไม่หยุด
บอกได้เพียงว่าจิตใจเนื้อแท้ของเขาร้ายกาจยิ่งนัก
สุราเป็นเพียงสื่อกลางและกุญแจดอกหนึ่งเท่านั้น
ปลดปล่อยเอาอสูรร้ายที่เลี้ยงไว้ในใจออกมา
แต่เหวินฉีเหวินหาได้เป็นเช่นนี้
เขาเป็นผู้ที่ภายนอกและภายในเหมือนกัน
แม้เขาจะเมาก็จะผล็อยหลับไปเฉกเช่นเดียวกับชิงเสวี่ยชิง
ไม่มีทางออกนอกลู่นอกทางหรือวาจากล้าหาญครึ่งๆ กลางๆ
“เฮ้อ…”
นางเสี่ยวจงครุ่นคิดอยู่นานสองนาน
ทว่ากลับพูดไม่ออกสักคำ
เพียงถอนหายใจยาวเฮือก
ตลอดช่วงบ่ายนางเอาแต่อยู่กับเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหง
คุยกระซิบกระซาบในรถม้าของเขา
บางเรื่องมีเพียงฟ้าดินเท่านั้นที่จะรู้ได้
มากคนก็อันตรายเพิ่มขึ้น
ไม่ว่าจะเป็นจวนชิงหรือจวนผู้ควบคุมรัฐหง
ต่างก็ไม่นับว่าเป็นสถานที่ปลอดภัย
“ท่านพ่อข้าพูดสิ่งใดกับน้าจงแล้วหรือขอรับ”
แม้ว่าเหวินฉีเหวินจะเมาเล็กน้อย
แต่ความนึกคิดยังคงแจ่มแจ้งชัดเจน
เขามองออกในปราดเดียวว่าสีหน้าอารมณ์ที่จนปัญญาเช่นนี้ของนางเสี่ยวจงจะต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นเป็นแน่
“เจ้าก็รู้ว่าข้ามีเสวี่ยชิงเพียงคนเดียว”
นางเสี่ยวจงมองหออาภรณ์ปักลายอันโอ่อ่าแล้วกล่าว
“ข้าทราบขอรับน้าจง”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“ผู้คนใช้ชีวิตทั้งชีวิตก็เพื่อตนเอง แต่ความจริงแล้ว สุดท้ายก็เพื่อลูกหลานทั้งสิ้น”
นางเสี่ยวจงกล่าวต่อทันที
เหวินฉีเหวินไม่รู้จะตอบสนองต่อประโยคนี้อย่างไร
เพราะเขาไม่มีความรู้สึกลึกซึ้งขนาดนั้นจริงๆ
แต่จากข้อเรียกร้องอันเข้มงวดจากเหวินทิงไป๋ที่มีต่อตนก็พอจะเข้าใจได้
“คิดว่าเหวินเอ๋อร์ก็พอจะรู้เรื่องสถานการณ์ของจวนชิง นายท่านชิงหรานเขา…สิ้นหวังไร้ทางช่วยเหลือ”
นางเสี่ยวจงกล่าว
“ไม่มีทาง…ท่านอาชิงเป็นผู้มีบุญนัก! ย่อมต้องพบเจอสิ่งดีๆ เข้ามาเป็นแน่ จากร้ายกลายเป็นดี!”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“มีหลายเรื่องที่เจ้าไม่เข้าใจ…เจ้ายังเด็กเกินไป เขาป่วยเป็นไข้ใจ ว่ากันว่าไข้ใจต้องใช้ยาใจรักษา แต่ว่ายาใจแม้จะพลิกฟ้าสุดแดนสวรรค์ก็หายากยิ่งนัก…”
นางเสี่ยวจงพูดพลางส่ายศีรษะอย่างเศร้าๆ
แม้ว่านางจะโลภลาภยศจนหน้ามืดตามัว
วางแผนรวบกิจการของจวนชิง
แต่ชิงหรานยังคงเป็นสามีของนาง
ยังคงเป็นคนที่นางรักใคร่มากที่สุด
ด้านหนึ่งเป็นผลประโยชน์ ด้านหนึ่งเป็นความรัก
ก็เหมือนกับฝ่ามือและหลังมือของมนุษย์
เลือกได้ยาก
แต่ในฐานะที่เป็นสตรีผู้หนึ่ง เมื่อเห็นสามีคิดถึงสตรีอีกคนจวนจะขาดใจ นางจะไม่รู้สึกเจ็บปวดได้อย่างไร
หลายครั้งนางเสี่ยวจงรู้สึกว่านางเป็นมารดาที่มีคุณสมบัติเพียบพร้อม
แต่หาได้เป็นสตรีที่ประสบความสำเร็จ
เมื่อไม่อาจกุมหัวใจของสามีได้ก็ถือเป็นความล้มเหลวครั้งใหญ่หลวงในฐานะสตรี
……………………………………………………..