ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 367 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-2
บทที่ 367 ค่ำคืนฟ้าปลอดโปร่ง-2
“พวกเราเคยดื่มชา เคยเล่นโคลน เคยจับคางคกแต่ไม่เคยดื่มสุราด้วยกันเลย”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“ฮ่าๆ จะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องจริง”
เหวินฉีเหวินกล่าวพลางหัวเราะลั่น
เสียงหัวเราะช่างเบิกบานทำเอาปลาในบ่อตกใจกันเป็นแถบๆ
“แต่ว่า…หากข้าพาเจ้าไปดื่มสุรา กลัวว่าท่านป้าจงจะไม่ยอมปล่อยข้าไปง่ายๆ น่ะสิ”
จู่ๆ เหวินฉีเหวินก็ยิ้มอย่างขมขื่นและส่ายศีรษะ
“ไม่ให้แม่ข้ารู้ก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวเสียงเบา
“เจ้าหมายความว่าแอบออกไปหรือ”
เหวินฉีเหวินกล่าว สายตามองไปทางผนังตรงสุดทางของสวน
ครั้นนึกถึงตอนนั้น ชิงเสวี่ยชิงมักจะก้มศีรษะยามเดินออกจากประตูหออาภรณ์ปักลายเสมอ
เพราะนางเสี่ยวจงไม่ให้เด็กสาวกระโดดเต้นแร้งเต้นกาในท่าทางที่ไม่เหมาะสม
ด้านนอกหออาภรณ์ปักลายในยามนั้นยังปูพรมแดงยาวด้วยซ้ำไป
ชิงเสวี่ยชิงประดับปิ่นทองบนผมดำขลับ มีลูกปัดห้อยอยู่บนปิ่นหลายลูก
ล้วนแล้วแต่มาจากทะเลบูรพา มีราคายิ่งนัก
แต่ทันทีที่เดินออกจากหออาภรณ์ปักลาย ฝีก้าวของนางก็จะเบาลงในทันใด
เพียงแต่ส้นรองเท้ายังไม่มีกระดิ่งเท่านั้น
ดูเหมือนชิงเสวี่ยชิงจะไร้เดียงสา แต่ความจริงแล้วกลับเข้าใจชะตากรรมของตนอย่างถ่องแท้
เกิดที่จวนชิงดูเหมือนจะเป็นเกียรติยศ
แต่มันก็ถูกกำหนดไว้แล้วว่านางไม่อาจมีความสุขที่แท้จริงได้และย่อมไม่อาจมีความโศกเศร้าที่แท้จริงเช่นกัน
แม้แต่ชะตาชีวิตของนางยังต้องเกี่ยวข้องกับเกียรติและความเสื่อมเสียของวงศ์ตระกูล
นางเข้าใจเรื่องเหล่านี้ตั้งแต่นางยังเล็กแล้ว เพียงแต่นางซ่อนมันไว้อย่างดี
แม้แต่นางเสี่ยวจงมารดาของนางยังไม่อาจมองออกได้ว่าบุตรสาวของตนมีความคิดที่หนักอึ้งเช่นนี้
แต่มารดาของนางก็ยังคงบอกบางอย่างกับนางอยู่ดี
“หากสตรีผู้หนึ่งต้องการครอบครองทุกอย่างในมือตน เช่นนั้นไม่ว่าจะความสุขหรือความโมโหโกรธาก็ต้องรอจนถึงยามเที่ยงคืน”
เพราะกลางดึกไร้ผู้คน ทุกอย่างเงียบงัน จึงสามารถระบายความในใจได้จนหมด
เพราะคำพูดนี้ ชิงเสวี่ยชิงจึงเข้าใจความยากลำบากของมารดานางอย่างถ่องแท้
ทั้งยังทำให้นางรู้ว่าเสียงสะอื้นที่ได้ยินทุกค่ำคืนนั้นมาจากผู้ใด
ชิงเสวี่ยชิงมองสาวใช้ด้านนอก แต่ละคนต่างเบิกบานมีความสุข
แม้ว่าต่างก็พับแขนเสื้อขึ้นและกำลังกวาดลานก็ตามที
แต่ความสุขล้นที่ออกมาจากใจนั้นไม่อาจฝืนกลั้นมันไว้ได้
ยามพ่อบ้านตรวจตรา พวกนางก็จะเคร่งขรึมขึ้นมา
แต่ทันทีที่หันกลับไปก็จะแอบเด็ดดอกไม้ในแปลงมาทัดหู
มีเพียงยามที่เห็นร่างของเหวินฉีเหวิน ชิงเสวี่ยชิงจึงจะเปิดหน้าต่างห้องนางและทำหน้าตาทะเล้นใส่เหวินฉีเหวินอยู่บนชั้นสูงของหออาภรณ์ปักลาย
หลังจากพวกเขาแอบย่องอ้อมไปทางด้านหลังหออาภรณ์ปักลายแล้ว
ซึ่งในยามนั้นยังไม่มีสวนทิวทัศน์เหล่านี้
ทั้งสองเดินไปยังฐานกำแพงที่เหวินฉีเหวินมองไปเมื่อครู่และเตรียมพร้อมกระโดดออกไปเที่ยวเล่น
เหวินฉีเหวินใช้ไหล่อุ้มชิงเสวี่ยชิงปีนข้ามกำแพงไปก่อน จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวเบาๆ กระโดดข้ามไป
ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาทั้งสองทำเช่นนี้ก็เป็นช่วงเวลานี้ของปีเช่นกัน
ปลายวสันต์ที่หญ้าเติบใหญ่นกกระจิบโผบิน
ค่ำคืนอันแสนอบอุ่นในอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
รัฐหงก็เช่นเดียวกัน
หญ้าด้านนอกที่เพิ่งงอกนุ่มละมุนยิ่งกว่าเส้นผมของชิงเสวี่ยชิง
ทั้งสองเดินเท้าเปล่าและถือรองเท้าเล่นสนุกสนานอยู่บนพื้นหญ้า
ฝนตกมาได้พักหนึ่งแล้ว ทั้งสองหาได้สนใจไม่
ผมเผ้าเปียกโชก พื้นหญ้าก็เปียกชุ่ม
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเปียกชุ่มน้ำฝนหรือไม่ พื้นหญ้าหลังจากฝนตกมักจะทิ่มฝ่าเท้าของทั้งสองจนชาเล็กน้อย
เดินตามพื้นหญ้าไปก็จะถึงทะเลเปลี่ยวป่าสีชาด
ยามนั้นยังเป็นเพียงป่าไม้ทั่วไปเท่านั้น ไม่มีร่องรอยการก่อสร้างหรือการปรับปรุงซ่อมแซมใดๆ ของคนจากจวนชิง
ในความทรงจำของเหวินฉีเหวิน ป่าในยามนั้นยังมีต้นท้อและต้นซิ่งอยู่หลายต้น
ทว่างดงามยิ่งกว่าต้นเฟิงในตอนนี้มาก
อย่างน้อยในใจเหวินฉีเหวินก็รู้สึกเช่นนี้
เมื่อชิงเสวี่ยชิงเดินมาถึงใต้ต้นท้อ มักจะชี้ไปที่ดอกท้อสูงด้านบนและมองเหวินฉีเหวินโดยไม่เอื้อนเอ่ยวาจา
เหวินฉีเหวินหัวเราะและปีนขึ้นไปบนต้นไม้
เพียงแต่ปีนไปถึงกิ่งก้านแล้วแต่ก็ยังเกี่ยวไม่ถึงดอกท้อดอกนั้นเสียที
ทำได้เพียงใช้เท้าเกี่ยวบนกิ่งไม้และใช้แรงเขย่ามันเท่านั้น
ช่วงวัยเด็ก เหวินฉีเหวินร่าเริงยิ่งกว่าชิงเสวี่ยชิงเสียอีก
ทว่าเด็กชายจะร่าเริงยิ่งกว่าเด็กสาวก็เป็นเรื่องปกติ
เมื่อเหวินฉีเหวินลงมาจากต้นไม้พร้อมกับถือดอกท้อ ชิงเสวี่ยชิงก็เห็นสีหน้าเขาสดใสและแววตาเปล่งประกายเต็มไปด้วยความไร้เดียงสาและความซุกซนตามประสาเด็กน้อย
ชิงเสวี่ยชิงรับดอกท้อมาและยิ้มหวาน
ทว่าเหวินฉีเหวินเอาแต่ถามนางไม่หยุดว่าเมื่อครู่ที่ตนปีนต้นไม้ขึ้นไปมีเสน่ห์หรือไม่
“น่าเสียดาย…”
ชิงเสวี่ยชิงมองดูแผ่นหลังของเหวินฉีเหวินแล้วพูดพลางถอนหายใจ
“น่าเสียดายอันใด”
เหวินฉีเหวินเอ่ยถาม
“น่าเสียดายที่ท่านไม่มีหาง…ไม่เช่นนั้นจะเหมือนเจ้าลิงจ๋อตัวหนึ่งจริงๆ!”
ชิงเสวี่ยชิงว่าจบก็ยิ้มหวานแล้วเผ่นหนี
ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดใบไม้ในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดล้วนร่วงโรยเสมอ
สัมผัสยามเหยียบย่ำบนหญ้าต่างจากการเหยียบย่ำบนใบไม้ร่วงหล่น
ยามที่ชิงเสวี่ยชิงไม่ทันระวังจนหกล้ม เหวินฉีเหวินมักจะอ้าแขนโอบอุ้มนางไว้เสมอ
ทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เหวินฉีเหวินจะรู้สึกราวกับว่าตนโอบอุ้มต้นท้อที่เต็มไปด้วยดอกไม้
ทั้งยังรู้สึกเหมือนโอบอุ้มกองไฟ โดยรวมแล้วทั้งร่างกายอบอวลไปด้วยกลิ่นหอมและความอบอุ่น
………………………
“เจ้าอยากดื่มสุราจริงหรือ”
เหวินฉีเหวินถามอีกหน
ชิงเสวี่ยชิงไม่เอ่ยคำใด เพียงพยักหน้าแรงๆ
“ก็ได้!”
เหวินฉีเหวินพาชิงเสวี่ยชิงเดินไปที่ฐานกำแพง
ทั้งยังเตรียมจะใช้ไหล่ของตนอุ้มชิงเสวี่ยชิงออกไปก่อน
สองเท้าแกว่งไกว กระดิ่งส่งเสียงดัง
เหวินฉีเหวินหัวเราะ
เกรงว่าชิงเสวี่ยชิงไม่ต้องใช้ไหล่เขาอุ้มพยุงก็สามารถกระโดดข้ามไปได้ตั้งนานแล้ว
แต่เมื่อเห็นชิงเสวี่ยชิงปีนข้ามกำแพงอย่างชำนาญเช่นนี้ ในใจของเหวินฉีเหวินรู้สึกสับสนงุนงงยิ่งนัก…
หรือนางจะทำเรื่องเช่นนี้บ่อยครั้ง
หากว่าบ่อยครั้ง เช่นนั้นนางจะปีนข้ามกำแพงเพื่อการใดกับผู้ใดเล่า
ว่ากันว่าเด็กสาววัยแรกแย้มทั้งอ่อนไหวทั้งขี้สงสัย
อันที่จริงวัยหนุ่มสาวก็เช่นกัน
ตราบใดที่โปรดปรานอย่างแท้จริงก็จะสนใจอย่างยิ่ง
ชายหญิงล้วนขี้สงสัยทั้งสิ้น
เหวินฉีเหวินเก็บความขี้สงสัยเช่นนี้ไว้ในใจแล้วปีนข้ามกำแพงไป
พลันรู้สึกเศร้าในใจเล็กน้อย…
ครั้นร่วงสู่พื้น อาภรณ์ยังเกี่ยวกับกำแพงเล็กน้อยเพราะเหม่อลอย
“พี่เหวินเป็นอันใดหรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร…”
เหวินฉีเหวินมองดูคิ้วเรียวของชิงเสวี่ยชิงขมวดเล็กน้อย
ในใจพลันรู้สึกสบายใจขึ้นมาอีกครั้ง
ชั่วครู่หนึ่ง ตนแอบสบถในใจว่า ‘ไม่ได้เรื่อง’
แต่ความได้เรื่องประเภทนี้ ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนไม่มี
“เจ้าจะไปที่ใด”
เหวินฉีเหวินกล่าวถาม
“ตามข้ามาก็พอ!”
ชิงเสวี่ยชิงเป็นผู้นำทาง ครู่เดียวก็เดินออกไปไกลหลายจั้ง
เหวินฉีเหวินตะลึงงัน
เท่าที่เขาจำได้ ชิงเสวี่ยชิงแทบจะไม่เคยออกจากจวนชิงเลยด้วยซ้ำ
แม้ว่าจะออกไปข้างนอกเป็นครั้งคราวและออกไปเยี่ยมเยือนตระกูลใหญ่มั่งคั่งอื่นๆ เหล่านั้นในรัฐหงกับมารดาของนางบ้าง
ไฉนจึงคุ้นเคยกับถนนเส้นทางนี้เพียงนี้เล่า
ไม่มีเวลาให้คิด เหวินฉีเหวินจำต้องตามหลังนางไป
แม้ว่าชิงเสวี่ยชิงจะไม่เหมือนเมื่อก่อนที่ต้องพึ่งไหล่เขาปีนข้ามกำแพงและวิ่งโดยไม่ล้มอีก
แต่เหวินฉีเหวินก็เต็มใจตามอยู่ด้านหลังและคอยเฝ้าระวังให้นางเช่นนี้อยู่ดี
เพียงเช่นนี้ก็มาถึงหัวเมืองรัฐหงแล้ว
ชิงเสวี่ยชิงเดินเข้ามาในตรอกเล็กๆ
สุดตรอกเล็กๆ มียายเฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่ข้างถังสุราใบใหญ่
ดูเหมือนเป็นโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
แต่โรงเตี๊ยมแบ่งออกเป็นหลายระดับ
โรงเตี๊ยมพูนโชคบนถนนม้าผ่านย่อมเป็นอันดับหนึ่งในหัวเมืองรัฐหง
แต่โรงเตี๊ยมประเภทนี้อย่างมากก็นับได้ว่าเป็นระดับท้ายๆ
ยิ่งกว่านั้นไม่มีป้ายหน้าร้านอีกต่างหาก
เหวินฉีเหวินชะโงกหน้ามองเข้าไปข้างในและพบว่าในร้านไม่มีที่นั่ง
มีลูกคิดวางอยู่บนโต๊ะคิดเงินแต่เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ
มองแวบเดียวดูเหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน
เหวินชิงเหวินและชิงเสวี่ยชิงยืนอยู่ที่นี่ครู่หนึ่ง ทว่ามีเพียงสามถึงห้าคนมาดื่มสุราเท่านั้น
มองดูการแต่งกายแล้วล้วนเป็นเหล่าแรงงานที่ทำงานหาเลี้ยงชีพในหัวเมืองรัฐหง
พวกเขานำอาหารเครื่องเคียงมาเอง
บ้างก็มีเนื้อตากแห้งชิ้นเล็กๆ
บ้างก็บิดปั้นหมั่นโถวสีขาวครึ่งลูก
ดูเหมือนคนเหล่านี้จะรู้จักคุ้นเคยกันดี
พวกเขาไม่เพียงแต่รู้จักคุ้นเคยกันเท่านั้น แต่ยังรู้จักมักจี่กับชิงเสวี่ยชิงด้วย
ยามที่พวกเขาเห็นชิงเสวี่ยชิงล้วนแต่เริ่มทักทายนางด้วยรอยยิ้ม
กระทั่งยังมีแรงงานผู้หนึ่งล้วงเมล็ดแตงผสมกับถั่วลิสงกำหนึ่งยื่นให้ชิงเสวี่ยชิง
“โอ้! ไยวันนี้จึงมีแตงด้วยเล่า”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวถาม
“วันนี้มีงานรื่นเริงที่เมืองทางใต้จ้างข้าขนย้ายของ ครั้นใกล้ช่วงท้ายๆ พ่อบ้านตระกูลนั้นเทจานเมล็ดแตงและถั่วลิสงให้พวกเราน่ะ ข้ากินมาตลอดทางก็เหลือเพียงเท่านี้แหละ”
แรงงานกล่าวพลางหัวเราะ
“ข้าชอบกินถั่วลิสง แตงนี่ให้เจ้า!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลันหยิบถั่วลิสงสองสามเม็ดจากมือแล้วนำเมล็ดแตงที่เหลือคืนให้กับแรงงานผู้นั้น
แรงงานปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ชิงเสวี่ยชิงก็ยังยัดเมล็ดแตงกลับเข้าไปในกระเป๋าของเขา
“เช่นนั้นก็กินด้วยกันเถิด!”
แรงงานไร้ทางเลือก ทำได้เพียงล้วงเมล็ดแตงออกจากกระเป๋าอีกหนแล้ววางบนหินริมทางด้านข้าง
คนอื่นๆ ที่เหลือซื้อสุราเรียบร้อยแล้ว
ทุกคนยกชามกระเบื้องเคลือบหยาบในมือและยืนเรียงกันเป็นแถวชิดริมถนน
จากนั้นดื่มทีละน้อยแล้วพูดคุยกันอย่างออกรส
แม้ว่าจะไม่ใช่การดื่มเต็มคราบ แต่เพียงดื่มเข้าปากทีละนิดก็สามารถตอบสนองความกระหายได้แล้ว
“น้องชิงมาที่นี่บ่อยหรือ”
เหวินฉีเหวินใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะปรับตัวเข้ากับฉากที่อยู่ตรงหน้าได้
“ใช่แล้ว…แต่พี่เหวินท่านต้องช่วยข้าปิดเป็นความลับนะเจ้าคะ!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
นางดึงรั้งแขนเสื้อของเหวินฉีเหวินและเริ่มขอร้องอ้อนวอน
“ตอนนี้ข้ารู้แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่กล้าบอกข้าว่าเจ้าทำสิ่งใดหลังจากฝึกดาบ…ที่แท้แล้วแอบมาดื่มสุราที่นี่!”
เหวินฉีเหวินกล่าวพลางหัวเราะพร้อมเอื้อมมือไปเขี่ยปลายจมูกของชิงเสวี่ยชิงเบาๆ
“ช่วยเจ้าเก็บเป็นความลับน่ะไม่มีปัญหา แต่เจ้าต้องรับปากข้าว่า ต่อไปหากมาที่นี่ลำพังห้ามเอาแต่ดื่มจนกลายเป็นแมวขี้เมาเด็ดขาด!”
เหวินฉีเหวินกล่าว
“ต่อไปหรือ ต่อไปข้าไม่มีทางมาเพียงลำพังเป็นแน่!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
เหวินฉีเหวินยิ้ม
ทั้งสองต่างเติบใหญ่แล้ว
ทว่าเปลี่ยนจากดอกท้อผืนหญ้าในอดีตกลายเป็นถังสุราในตรอกดังปัจจุบัน
เพียงแต่เขานึกสงสัยยิ่งนัก ชิงเสวี่ยชิงคุณหนูใหญ่แห่งจวนชิงหาตลาดชั้นล่างเช่นนี้พบได้อย่างไร
เหวินฉีเหวินไม่มีอคติใดๆ ต่อแรงงานเหล่านี้
ในสายตาของเขาไม่ว่าจะกระทำสิ่งใดล้วนเพียงเพื่อประทังชีวิตเท่านั้น
ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสูงต่ำรวยจน
ต่อให้เหวินทิงไป๋บิดาของเขาจะเป็นผู้ควบคุมรัฐแห่งรัฐหง แต่ก็ยังต้องกินและนอนหลับไม่ใช่หรือ
ฉะนั้นเขาคิดว่าไม่ว่าผู้ใดล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น
ไม่จำเป็นต้องถือตนเย่อหยิ่ง ตะโกนโวยวายดูแคลนผู้อื่นเพียงเพราะจำนวนเงินในกระเป๋าหรือคุณภาพอาภรณ์สวมใส่
“ยังมีอีกหนึ่งเรื่อง!”
จู่ๆ เหวินฉีเหวินก็ปริปากเอ่ยอีกครั้ง
“เรื่องใดหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงกำลังจะไปซื้อสุรา จากนั้นหันกลับมาถามอีกครั้ง
“เจ้าต้องเลี้ยงสุราข้า!”
เหวินฉีเหวินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงหัวเราะพร้อมตบเงินจำนวนมากลงบนโต๊ะในร้าน
ยายเฒ่าตักสุราสองชามให้ชิงเสวี่ยชิงโดยไม่มองด้วยซ้ำ
ครั้นชิงเสวี่ยชิงรับเอาชามสุรา เงินที่วางบนโต๊ะก็หายวับไป
“ยายเฒ่านี่เก่งกาจยิ่งนัก!”
เหวินฉีเหวินกล่าวขณะถือชามสุราที่ชิงเสวี่ยชิงยื่นมาให้แล้วกล่าว
“เก่งกาจเช่นไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“คิดไม่ถึงว่าในสถานที่เสียงดังจอแจวุ่นวายเช่นนี้ยังได้ยินเสียงเงินที่เจ้าวางไว้ว่าต้องสั่งเท่าใด อีกทั้งชั่ววินาทีที่เจ้ารับเอาชามสุรา นางก็เก็บเงินเข้าแขนเสื้อทันที”
เหวินฉีเหวินกล่าวชม
“คนที่นี่มีผู้ใดบ้างที่ไม่มีทักษะเฉพาะตัวเล่า อย่างเขาผู้นั้นก็สามารถยกจานชามสูงกว่าหนึ่งจั้ง หรืออาศัยกำลังขาก็สามารถเดินไปทางเหนือทางใต้ของหัวเมืองรัฐหงได้แล้ว”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย
จากนั้นหยิบเมล็ดแตงที่แรงงานวางไว้บนหินริมถนนขึ้นมาแทะกิน
อาทิตย์ขึ้นยามเช้าจนกระทั่งอาทิตย์อัสดง
ยามที่เหวินฉีเหวินออกจากเรือนวันนี้ก็ยังหันหน้าไปทางดวงอาทิตย์
ตอนนี้ท้องนภาเต็มไปด้วยเมฆสีอมแดง
สาดส่องดอกท้อราวกับไฟระอุ
ยามอาทิตย์อัสดงถือชามสุราในมือ ดื่มลงท้องราวกับไฟแผดเผา
แต่สิ่งที่คุ้มค่าแก่ความปีติยินดีก็คือ แม้ดอกท้อไม่อยู่
แต่ผู้ที่ยืนอยู่ใต้ดอกไม้ในยามนั้นก็ยังเป็นคนเดิม
เพียงแต่ดอกท้อในมือเปลี่ยนเป็นชามสุราก็เท่านั้นเอง
…………………………………………………………