ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 364 จวนชิง-2
บทที่ 364 จวนชิง-2
ครั้นรับเอาเงินจำนวนหนึ่งจากบัญชีจวนชิงและบอกว่าจะไปบุกเบิกเหมืองแร่ทางเหนือบางส่วนเพื่อหาเลี้ยงชีพให้กับตระกูล
ชิงหรานผู้เป็นบิดาคร่ำครวญอาวรณ์คิดถึงภรรยาจนเกินไป
ร่างกายไม่เพียงแต่ซูบผอมลงทุกวัน ทั้งยังหมดอาลัยตายอยากไม่อาจควบคุมดูแลจวนชิงได้อีกต่อไป
นางเสี่ยวจงจึงใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ยึดอำนาจของจวนชิง
ยิ่งนางผลักไสสายเลือดของนางต้าจงออกไปไกลเท่าใดก็ยิ่งดีเท่านั้น
ฉะนั้นจึงตกปากรับตามคำขอของนายท่านจิน
ผู้ใดเล่าจะรู้ว่านายท่านจินจะจากไปหลายปีเพียงนี้
แม้จะหาเลี้ยงชีพได้ไม่เลว ทว่าไม่เคยหวนกลับมาที่จวนชิงอีกเลย ทั้งยังไม่เคยส่งเบี้ยปันผลให้ตระกูลเลยแม้แต่ครั้งเดียว
โชคดีที่จวนชิงเป็นตระกูลใหญ่อาชีพการงานยิ่งใหญ่จึงไม่สนใจเงินบางส่วนเหล่านี้
เมื่อสุขภาพของชิงหรานย่ำแย่ลง นางเสี่ยวจงก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ
เถ้าแก่เนี้ยที่ตอนนั้นยังคงอยู่ในจวนชิงถูกกีดกันและตกเป็นเป้าหมายอยู่ทุกครั้งไป
จนในที่สุด นางก็ทนเรื่องต่างๆ ไม่ไหวจึงก้าวออกจากประตูจวนชิงและโบยบินไปไกลเสียแล้ว
กำไลหยกคู่นั้นเป็นมรดกตกทอดของแม่บังเกิดเกล้าของนาง
มันเป็นสัญลักษณ์แทนใจเมื่อตอนที่ชิงหรานสมรสกับนางต้าจง
ชิงหรานเป็นบุรุษแสนดีผู้หนึ่งจริงๆ
ผู้ที่รักใคร่ภรรยาของตนอย่างสุดซึ้งเช่นนี้ จะชั่วช้าได้สักเท่าใดกัน
แต่เขากลับลืมไปแล้วว่าตนยังคงเป็นประมุขตระกูลชิง
เมื่อบุรุษผู้หนึ่งให้ค่าความสำคัญต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวมากเกินไป ความรู้สึกรับผิดชอบต่อตระกูลก็จะสำคัญน้อยลงมาก
แต่ชิงหรานไม่เคยตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้
แต่ยามที่เถ้าแก่เนี้ยจากไป กลับถูกนางเสี่ยวจงอ้างว่าบิดาของนางสุขภาพย่ำแย่ ไม่อยากให้กังวลใจเพราะเหตุนี้ จึงไม่แม้แต่มาพบหน้า
หลังจากขับไล่คนทั้งสองออกไป จวนชิงในปัจจุบันกล่าวได้ว่านางเสี่ยวจงเป็นเพียงสายเลือดเดียวในตระกูล
นอกเหนือจากพ่อบ้านและคนทำบัญชีผู้ภักดีไม่กี่คนที่ติดตามชิงหรานมาหลายปี
ตำแหน่งสำคัญอื่นๆ ในจวนชิงล้วนถูกนางเสี่ยวจงจัดแจงให้ตระกูลมารดาตนทำหน้าที่แทน
ชั่วพริบตา เดิมทีผู้ที่แซ่สกุลอื่น จากแขกเหรื่อค่อยๆ กลายมาเป็นเจ้าของ
ภายในจวนชิงสามารถตั้งป้อมประจันหน้ากับชิงหรานได้ด้วยซ้ำ
สิ่งเดียวที่นางเสี่ยวจงเสียใจคือนางไม่มีบุตรชาย
มีเพียงบุตรสาวเพียงคนเดียวนามว่าชิงเสวี่ยชิง
อักษรตัวหน้าหลังเป็นคำว่าชิงและเพิ่มตัวอักษรเสวี่ยไว้ตรงกลาง
นามแปลกๆ เช่นนี้มาจากที่นางเสี่ยวจงให้นักพรตอินหยางตั้งให้
นางไม่มีบุตรชาย ทว่านางริษยาและโลภในกิจการตระกูลของจวนชิง
ฉะนั้นจึงนำสกุลชิงขนาบไว้ทั้งหน้าและหลัง วางไว้ทั้งสองที่
หมายความว่าในฐานะบุตรสาว สามารถเป็นทั้งสตรีและไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ
ส่วนคำว่าเสวี่ยที่อยู่ตรงกลางนั้นมีความหมายอย่างไร นางเสี่ยวจงไม่เคยปริปากบอกผู้อื่น
แม้ว่าในตอนแรกชิงหรานจะตั้งคำถามต่อชื่อนี้เล็กน้อย
แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นอาชญากรแห่งยุทธภพจึงไม่ให้ความสำคัญต่อสิ่งนี้เท่าใด
อยากจะนามว่าอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น
แม้จะไม่ปฏิบัติตามลำดับวงศ์ตระกูลก็ไม่สลักสำคัญแต่อย่างใด
ยิ่งกว่านั้นสตรีต้องแต่งออกเรือนไปไม่ช้าก็เร็ว
อีกทั้งไม่อาจเข้าลำดับวงศ์ตระกูลและไม่อาจรวมกับหลุมศพบรรพบุรุษได้
กลับเป็นสตรีที่จิตใจอารีและไร้เดียงสายิ่งนัก
แม้ว่าความสามารถในเรื่องดาบจะสูงมาก อายุไม่ถึงสิบสองปีก็สามารถฝึกฝนจนบรรลุสองดาบแรกของ ‘ดาบตัดเงา’ แล้ว
ทว่านางไม่ชอบอาวุธมีคมเช่นดาบกระบี่ กระทั่งยังต่อต้านและรังเกียจอยู่บ้าง
นางโปรดปรานการร่ายรำมากที่สุด
ยามเช้าของทุกวัน
นางมักจะมาเต้นรำในทะเลเปลี่ยวป่าสีชาดท่ามกลางม่านแสงยามเช้า
ใบไม้พลิ้วไหวตามสายลม
ใบหน้ารูปไข่เนียนลออ สวมใส่อาภรณ์สีม่วงเข้มประดับลูกปัดลายดอกไม้ปักลายแขนเสื้อวิบวับเปลี่ยนสี พร้อมกระโปรงจีนปักลายหงส์สีสันสดใสยาวจรดพื้น
ในป่าไม้ยามเช้ามีความชื้นสูง
ชิงเสวี่ยชิงมักจะสวมอาภรณ์ยืดหยุ่นสีเทาอูฐซึ่งเข้ากันได้ดีกับผ้าคลุมโปร่งปักลายดอกไม้สีแดง
ผมยาวประบ่าดำขลับไร้การประดับตกแต่ง ที่หูทั้งสองข้างมีจี้ลูกปัดงาช้างคู่หนึ่งเดี๋ยวเผยเดี๋ยวบดบังตามผมเผ้าที่ปลิวสยาย
ชิงเสวี่ยชิงสวมกำไลมังกรชิงมุกทองคำ แม้จะไม่มีค่าเท่ากำไลหยกคู่นั้นของเถ้าแก่เนี้ย แต่ก็หาได้ยากจริงๆ
ทั้งยังสวมใส่รองเท้าทรงพระจันทร์เสี้ยวปักลายดอกเหมยและมีกระดิ่งหนึ่งคู่ห้อยอยู่ตรงส้นเท้า
ครั้นขยับเดินมักจะส่งเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊งๆ’ อยู่เสมอ
ทั้งตัวดูสง่างดงามราวกับเทพเซียนตกจากสวรรค์ชั้นเก้าก็ไม่ปาน
ผู้อาวุโสในจวนชิงต่างเกลียดชังนางเสี่ยวจงทั้งสิ้น
แต่กลับเอ็นดูรักใคร่ชิงเสวี่ยชิงมาก
ประการแรก นางคือสายเลือดของชิงหราน
ประการที่สอง นางเป็นแม่นางน้อยที่มีนิสัยอ่อนโยน ใสซื่อบริสุทธิ์จริงๆ
ทุกครั้งเมื่อได้ยินเสียงดัง ‘กรุ๊งกริ๊ง’
ทุกคนในจวนชิงจะรู้ว่าชิงเสวี่ยชิงออกไปแล้ว
เสียงกระดิ่งนี้กลับเป็นความว่างเปล่าในวันที่มืดมนของจวนชิง
“ท่านแม่!”
ชิงเสวี่ยชิงเห็นนางเสี่ยวจงนั่งอยู่ริมโต๊ะหินอ่อนข้างสระน้ำหลักของจวนชิงจึงตะโกนเรียก
แต่นางเสี่ยวจงใจลอยเล็กน้อยจึงไม่ได้ยินเสียงเรียกของบุตรสาว
ชิงเสวี่ยชิงหัวเราะ ย่องเบาๆ และอ้อมไปด้านหลังหมายจะแกล้งมารดา
นางเห็นว่าวันนี้มารดาตนปักหวีสางเงินฉลุลายดอกเหมย พลันคิดจะดึงมันออกอย่างไร้สุ้มเสียง
คิดไม่ถึงว่าขณะที่นางยื่นมือออกไปจะถูกนางเสี่ยวจงคว้าข้อมือเอาไว้
“บอกเจ้าไปกี่หนแล้ว! จวนชิงของเราเป็นสำนักดาบ!”
นางเสี่ยวจงดึงข้อมือของชิงเสวี่ยชิงให้มานั่งเบื้องหน้าตนแล้วพูด
ชิงเสวี่ยชิงถูกมารดาต่อว่าเช่นนี้ก็ไม่ได้รู้สึกกระดากอาย
แค่แลบลิ้นอย่างซุกซนเท่านั้น
“ข้ารู้แล้วน่าท่านแม่! ข้าใกล้จะบรรลุดาบที่สามของ ‘ดาบตัดเงา’ แล้วเจ้าค่ะ!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
ครั้นได้ยินคำพูดนี้ นางเสี่ยวจงจึงโล่งใจเล็กน้อย ดวงตาฉายแววปีติแวบหนึ่ง
ว่ากันตามตรง นางทำทุกสิ่งก็เพื่อบุตรสาวผู้นี้ของตนทั้งสิ้น
กลัวว่ารอตนอายุร้อยปีให้หลังชิงเสวี่ยชิงจะถูกขับไล่ออกจากจวนชิง
สู้เริ่มต้นตั้งแต่เนิ่นๆ และกำจัดเสี้ยนหนามที่มีความเป็นไปได้ให้นางจนสิ้นจะดีกว่า
จริงอยู่ที่นายท่านจินและเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้อยู่ที่จวนชิงแล้ว
แต่ทุกวันนี้นางเสี่ยวจงกลับรู้สึกเสียใจกับการตัดสินใจของนางในปีนั้น
นางรู้สึกว่าตนไม่ควรให้ทั้งสองคนจากจวนชิงไปจริงๆ…
หากยังอยู่ นางก็ยังสามารถใช้ความมั่นคงของจวนชิงข่มการเคลื่อนไหวของสองคนนี้ได้
แต่ตอนนี้ทั้งสองคนจากไปนานแล้ว…ทว่ามหาสมุทรกว้างใหญ่พอให้ปลากระโดด นภาสูงพอให้นกโผบินได้
เรื่องที่ควบคุมไม่ได้มักจะทำให้นางเสี่ยวจงไม่สบายใจเสมอ
ทว่าชิงเสวี่ยชิงนั้นไร้เดียงสาเกินไป
แต่ไหนแต่ไรไม่เคยฟังคำนาง
อย่างเรื่องหยิบรองเท้าห้อยกระดิ่งคู่นี้สวมใส่ไปทั่ว
มือดาบจะเผยตัวเช่นนี้ได้อย่างไร
ผู้ที่เจ้าต้องการสังหารหรือผู้ที่ต้องการสังหารเจ้า สามารถได้ยินเสียงกระดิ่งในระยะห่างแปดจั้งได้
นี่ไม่เป็นการเอาชีวิตไปทิ้งหรอกหรือ
“เจ้าฝึกฝนดาบที่สามมาหนึ่งปีครึ่งแล้ว หากยังไม่บรรลุภายในปลายปีนี้จะต้องทำตามข้อตกลงระหว่างเราอย่างจริงจังด้วยเล่า!”
นางเสี่ยวจงกล่าวอย่างเคร่งขรึม
แม้ว่านางจะเอ็นดูตามใจบุตรสาวของตนยิ่งนัก ทว่าไม่เคยแสดงให้เห็น
มีบางเรื่องชิงเสวี่ยชิงไม่จำเป็นต้องรู้
ตนทำเพื่อนางก็เพียงพอแล้ว
ในสายตาของผู้คนในจวนชิง นางเสี่ยวจงก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว
เป็นเพียงสตรีร้ายกาจที่โลภกลืนกินทรัพย์สินบรรพบุรุษหลายร้อยปีของจวนชิงเท่านั้น
แต่น่าเห็นอกเห็นใจบิดามารดาในใต้หล้านี้เหลือเกิน…
ผู้ใดจะล่วงรู้ว่านางไม่ได้ทำทุกสิ่งนี้เพื่อตนเอง
ไม่มีผู้ใดหลงเชื่อคำกล่าวเหล่านี้
ยิ่งกว่านั้นนางเสี่ยวจงก็หาได้มีผู้ใดให้บอกกล่าว
เพียงสะสมอยู่ในใจทุกวันเช่นนี้
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ! แต่ข้าจะต้องบรรลุแน่นอน!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลางหัวเราะ
เมื่อสองปีก่อน นางเสี่ยวจงได้ทำข้อตกลงกับชิงเสวี่ยชิง
หากฝึกฝนดาบที่สามของ ‘ดาบตัดเงา’ ไม่บรรลุภายในสองปีจะให้นางถอดกระดิ่งที่ห้อยส้นรองเท้าและเปลี่ยนกระโปรงยาวลากพื้นเป็นเครื่องแต่งกายที่สั้นขึ้น
ขณะเดียวกันยังรับปากให้ตนจัดการเรื่องการตบแต่งออกเรือนให้นางด้วย
“ฮูหยิน เหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงและเหวินฉีเหวินบุตรคนรองมาเยือนแล้วขอรับ!”
จู่ๆ พ่อบ้านจากลานด้านหน้าก็เดินเข้ามาแล้วกล่าว
“เตรียมน้ำชารับรองแขกที่โถงด้านหน้า เสวี่ยชิงเจ้าตามแม่มา!”
นางเสี่ยวจงจัดแจงอาภรณ์ครู่หนึ่งแล้วกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงไม่เต็มใจเล็กน้อย
เพราะว่านางไม่เคยพบหน้าเหวินฉีเหวิน บุตรชายของเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหง
เหวินฉีเหวินคือผู้ที่นางเสี่ยวจงจัดแจงเรื่องแต่งงานตามข้อตกลงกับบุตรสาวของตน
ความจริงแล้ว สองปีนี้เป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น
ไม่ว่าอีกสองปีให้หลัง ชิงเสวี่ยชิงจะฝึกฝนบรรลุ ‘ดาบตัดเงา’ หรือไม่ก็ต้องสมรสกับเหวินฉีเหวินอยู่ดี
เหวินฉีเหวินเกิดเดือนและปีเดียวกับชิงเสวี่ยชิง เพียงห่างกันหนึ่งวันเท่านั้น
เนื่องจากผู้ควบคุมรัฐหงเหวินทิงไป๋มีความสัมพันธ์อันดีกับชิงหราน ดังนั้นเมื่อตอนที่ทั้งสองยังเล็ก เหวินทิงไป๋และชิงหรานพูดคุยเรื่องการเกี่ยวดองในงานเลี้ยงสุราไว้เสร็จสรรพแล้ว
แม้เหวินทิงไป๋มีศักดิ์เป็นผู้ควบคุมรัฐหง
แต่ก็ยังรู้ถึงความสำคัญของจวนชิงด้วย
หากบุตรชายของตนสามารถแต่งกับชิงเสวี่ยชิงได้
เช่นนั้นตระกูลเหวินกับจวนชิงก็จะเกี่ยวดองกันแล้วไม่ใช่หรือ
ด้วยเหตุนี้ตำแหน่งของเขาในรัฐหงก็จะมั่นคงยิ่งขึ้น
ยิ่งกว่านั้นเหวินทิงไป๋และบุตรคนรองล้วนแต่เป็นมือดาบ
มือดาบของรัฐหงคนใดจะไม่กระเสือกกะสนอยากได้ ‘ดาบตัดเงา’ ของจวนชิงบ้างเล่า
น่าเสียดายที่จวนชิงมีคำสอนของบรรพบุรุษ
‘ดาบตัดเงา’ นี้ไม่เผยแพร่สู่ภายนอกจนกว่าจะถึงคราวตระกูลดับสิ้น
แต่หลังจากเหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงเกี่ยวดองกัน นี่ก็นับว่าเป็นตระกูลเดียวกันแล้ว
จวนชิงจะมีเหตุผลใดไม่ยอมให้ญาติของตนฝึกฝน ‘ดาบตัดเงา’ เล่า
ทั้งสองฝ่ายต่างมีการคำนวณของตน ต่างมีการวางแผนของตน
เหวินทิงไป๋ต้องการให้บุตรชายของตนสมรสกับชิงเสวี่ยชิง
จึงใช้สกุลตั้งเป็นชื่อทั้งหัวและท้ายของเขาด้วยเช่นกัน
เมื่อมองแวบแรบ เหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงดูเหมือนจะเป็นคู่ที่เหมาะสมอย่างยิ่ง
ยิ่งกว่านั้น เดิมทั้งสองก็เป็นคนรักในวัยเยาว์ เล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่อีกต่างหาก
เหวินฉีเหวินจึงหลงใหลและจริงใจต่อชิงเสวี่ยชิงมาตลอด
แต่ในใจของชิงเสวี่ยชิง เหวินฉีเหวินเป็นเพียงพี่ชายและเพื่อนที่แสนดีเท่านั้น
ไม่เคยมีความรู้สึกระหว่างชายหญิงกับเขา
นางเคยบอกเรื่องนี้กับนางเสี่ยวจงมารดาของตนแล้ว
แต่นางเสี่ยวจงไม่คิดเช่นนั้น
นางรู้สึกว่าเรื่องความรักพรรค์นี้เมื่อตบแต่งไปก็จะมีเอง
ประกอบกับทั้งสองเป็นเพื่อนเล่นแต่วัยเด็ก จะไม่มีความรู้สึกต่อกันได้อย่างไร
ที่สำคัญยิ่งกว่า นางเสี่ยวจงเข้าใจดีว่าความรักกินแทนข้าวไม่ได้ ใช้จ่ายก็ไม่ได้เช่นกัน
แต่หากบุตรสาวของตนแต่งเข้าจวนผู้ควบคุมรัฐหง
เช่นนั้นสถานะของจวนชิงในรัฐหงก็จะไม่มีวันล่มสลาย
ไม่มีผู้ใดสามารถสั่นคลอนได้
หากจะกล่าวว่าเป็นเพราะการแต่งงานเกี่ยวดองของบุตร
สู้กล่าวว่านางเสี่ยวจงและเหวินทิงไป๋ จวนชิงและผู้ควบคุมรัฐหงต่างใช้ประโยชน์ซึ่งกันและกันจะดีกว่า
แต่เรื่องเหล่านี้ทั้งสองฝ่ายย่อมรู้ดีแก่ใจโดยปริยาย
อย่างไรเสียความสัมพันธ์เกี่ยวโยงแน่นแฟ้นนี้ ไหนเลยจะไม่ยินดีอย่างยิ่งเล่า
……………………………………………………………………