ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 362 หลงเสน่ห์สายลมประจิม-2
บทที่ 362 หลงเสน่ห์สายลมประจิม-2
เถ้าแก่เนี้ยเคาะประตูเบาๆ แต่ไม่รอให้ผู้ใดอนุญาตก็เปิดประตูเข้าไปทันที
ในมือถือถาดที่มีสุราและเครื่องเคียงวางอยู่
“ข้าไม่ได้สั่งสุรา”
เยว่ตี๋กล่าว
“ห้องสองร้อยตำลึงต่อคืน นี่นับเป็นของแถม”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว ทว่ากลับรินให้ตนเองก่อนหนึ่งจอกแล้วดื่มลงท้อง
“ในเมื่อมอบให้ข้า ไฉนเจ้าจึงดื่มเองเล่า”
น้ำเสียงเยว่ตี๋แกมรำคาญเล็กน้อย แต่เถ้าแก่เนี้ยไม่สนใจ
เพียงดันจอกสุราไปเบื้องหน้าเยว่ตี๋
“เพราะนี่ก็เป็นสุราเลี้ยงส่ง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เลี้ยงส่งหรือ เลี้ยงส่งผู้ใด”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“เจ้าและเจ้า!”
เถ้าแก่เนี้ยชี้เยว่ตี๋กับหลิวรุ่ยอิ่งและกล่าว
“พวกเราไม่ได้บอกว่าจะไป”
เยว่ตี๋กล่าว
“แต่ที่นี่ไม่ต้อนรับพวกเจ้าอีกต่อไป”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งถามแทรก
“สำหรับผู้อื่นน่ะใช่ แต่สำหรับพวกเจ้า ข้าไม่ต้อนรับ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เพราะเหตุใด”
เยว่ตี๋ถาม
“หากเจ้าไม่มา คืนนี้ข้าก็จะพูดกับเขาเช่นนี้”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
‘เขา’ ในที่นี้หมายถึงหลิวรุ่ยอิ่ง
“อย่างท่านนี่เรียกว่ารังแกลูกค้าหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม น้ำเสียงจริงจังยิ่งนัก
เพราะเขาดูออกว่าเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้หยอกเล่น
ทว่าเป็นเช่นนี้จริงๆ
“ผู้ที่เคยไปจวนของพี่ชายข้า ข้าล้วนไม่ต้อนรับทั้งสิ้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แต่ตอนแรกท่านให้ข้าไปหานายท่านจินเอง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าเพียงแนะนำเท่านั้น จะไปหรือไม่ก็แล้วแต่เจ้า ข้าไม่ได้ใช้มีดจี้บีบบังคับให้เจ้าไปกระมัง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ฉะนั้นตราบใดที่ข้าไป ท่านก็จะไล่พวกเราออกไปด้วยเหตุผลนี้ใช่หรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แน่นอน! แม้ข้าจะเป็นสตรี แต่ถึงอย่างไรข้าก็มีเหตุผลมาก รองลงมาก็เป็นเงิน แต่เหตุผลมาก่อนเงิน เจ้าฝ่าฝืนหลักการของข้า เช่นนั้นต่อให้มีเงินมากเท่าใดก็ไร้ประโยชน์”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“หากข้าไม่จากไปแน่ๆ เล่า”
เยว่ตี๋กล่าว
“เช่นนั้นก็ต้องขอคำชี้แนะ!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
เยว่ตี๋ชักกระบี่ออกมาแทงทันที
ทว่าเถ้าแก่เนี้ยพลิกคว่ำจอกสุราลงกลางฝ่ามือ
รับกระบี่นี้ของเยว่ตี๋ไว้
จอกสุราควบบนปลายกระบี่ หมุนคว้างเป็นวงกลม
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นทั้งสองลงมือหมายจะชักกระบี่ออกมาช่วย
ทว่าเยว่ตี๋ใช้สัญญาณมือหยุดไว้เสียก่อน
“ดูไม่ออกว่าเจ้ามีทักษะเช่นนี้ด้วย!”
เยว่ตี๋กล่าว
“ข้าก็ดูไม่ออกว่ากระบี่ของเจ้าไม่ต่างอะไรกับของประดับตกแต่ง!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ประโยคนี้กระชับความสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสองให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
หลิวรุ่ยอิ่งรู้จักกระบี่ของเยว่ตี๋ดี
กระบี่แหวกท้องนภาขณะต่อสู้กับซุนเต๋ออวี่จนเกือบจะปีนไปถึงขอบเขตเทพบริราชเก้าทวีป
ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ในใต้หล้า ไม่ว่าจะบุรุษหรือสตรี เยว่ตี๋นับว่าเป็นบุคคลชั้นยอด
ไหนเลยจะทนวาจาเสียดแทงของเถ้าแก่เนี้ยที่เปิดร้านของชำข้างเหมืองแร่ได้
แสงกระบี่ของเยว่ตี๋ไหลเวียน
ฟันกระบี่ออกไปอีกครั้งทันที
ระหว่างห้องเล็กคับแคบ ทำให้ทั้งสองเคลื่อนไหวกระบวนท่าลำบากยิ่งนัก
ยิ่งกว่านั้นตั้งแต่ที่เริ่มประมือเมื่อครู่ ทั้งสองก็นั่งอยู่ตรงข้ามกัน ไม่ได้ผุดลุกขึ้นมา
เถ้าแก่เนี้ยยกไหล่ขวาขึ้นใช้แขนขวางไว้หน้าลำตัว
เยว่ตี๋เห็นเช่นนี้จึงเปลี่ยนจากการแทงเป็นการฟัน หมายจะฟันแขนของนาง
ทว่าหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่ค่อยเข้าใจการทำเรื่องเกินตัวของเถ้าแก่เนี้ยเท่าไรนัก…
เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนฉลาดเฉลียวยิ่ง
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งมองออกว่านางใช้มีดเป็น หรือนางจะมั่นใจจนคิดว่าแขนของนางสามารถต้านกระบี่ของเยว่ตี๋ได้เล่า
ขณะที่คมกระบี่ของเยว่ตี๋กำลังจะฟันแขนขวาของเถ้าแก่เนี้ย
เถ้าแก่เนี้ยพลิกแขนขวากะทันหัน
กระบี่ปะทะแขน
ไม่เพียงแค่ไม่ได้ฟันแขนขวาเถ้าแก่เนี้ยเท่านั้น คิดไม่ถึงว่ากระบี่ของเยว่ตี๋จะดีดออกไปหลายชุ่น
“มีดซ่อนคม!”
เยว่ตี๋จ้องเขม็งและโพล่งออกมา
สตรีส่วนใหญ่ฝึกฝนมีดซ่อนคม
ซึ่งเอาชนะด้วยคำว่า ‘แปลก’
ใบมีดซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
ยามทั่วไปจะมองไม่เห็น
ยามตอบโต้ศัตรูจึงสามารถกางแขนสกัดกั้นได้ ทั้งยังสามารถเผยคมมีดยามที่อีกฝ่ายพลั้งเผลอ
ดังคำกล่าวที่ว่าสตรีสง่าเลอโฉม แขนเสื้อพริ้วลู่ลมซ่อนมีด
แต่มรดกสืบทอดของมีดซ่อนคมถูกตัดขาดไปแล้ว
กระทั่งเยว่ตี๋ยังเพียงเคยได้ยิน แต่ไม่เคยเห็นกับตาตนเอง
เมื่อครู่คมกระบี่ของนางถูกเบี่ยงออก
เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะมีดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อของเถ้าแก่เนี้ย
“แม้กระบี่เจ้าจะเป็นของประดับ แต่นับว่าสมองรอบรู้ยิ่งนัก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
ลมประจิมพัดเข้าในห้องทางหน้าต่าง
พัดกระพือแขนเสื้อของเถ้าแก่เนี้ย เผยให้เห็นคมมีดสั้นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
กระบี่เยว่ตี๋นั้นยาว
ยามทั้งสองนั่งอยู่ตรงข้ามกันในห้องก็ยากจะเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่
ทว่ามีดซ่อนคมของเถ้าแก่เนี้ยขึ้นชื่อเรื่องสับขาหลอก
อันที่จริงมันเหมาะสำหรับการต่อสู้ระยะประชิดระหว่างสองคน
“รู้ก็ส่วนรู้ เห็นก็ส่วนเห็น ในเมื่อเจ้าไม่ใช่ผู้ที่ไร้อาวุธในมือ ข้าก็จะลงกระบี่โดยไม่ปราณี!”
เยว่ตี๋กล่าว
“ฮ่าๆ…พวกปกครองคนเช่นพวกเจ้ากล่าววาจาต่างออกไปจริงๆ! เรื่องที่ไร้เหตุผลยังฟังดูสูงส่งเช่นนี้ได้!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
เสียดสีเรื่องที่ก่อนหน้านี้เยว่ตี๋ไม่รู้ว่านางใช้มีดซ่อนคมเป็น แต่ก็ยังชักกระบี่ออกมาอยู่ดี
หากเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้รวบรวมพลังปราณในมือสกัดกั้นปลายกระบี่นั้นของเยว่ตี๋ไว้ ป่านนี้เกรงว่าเลือดคงเจิ่งนองล้มลงกับพื้นไปแล้ว
เยว่ตี๋รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดจึงไม่เอ่ยคำให้มากความ
ตอนนี้ทั้งสองตกอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด ต่างฝ่ายต่างขี่หลังเสือแล้วลงได้ยาก
แม้อยากจะหยุดก็หยุดไม่ได้เช่นกัน
เยว่ตี๋จ้องไหล่ขวาของเถ้าแก่เนี้ย
มีดซ่อนคมที่ซ่อนอยู่ในกระบอกแขนเสื้อไม่ทิ้งร่องรอยให้มองเห็น
แต่หากต้องการชักมีด ไหล่ของนางย่อมต้องยกขึ้นหรือกดลงเป็นแน่
ไหล่เถ้าแก่เนี้ยเคลื่อนไหวแปลกๆ ดังคาด
มีดซ่อนคมเผยให้เห็นคมมีดแล้ว พุ่งโจมตีไปที่หน้าอกเยว่ตี๋
เยว่ตี๋เขย่งปลายเท้าใช้แรงกระโดดถีบ
ม้านั่งเลื่อนไปด้านหลัง พริบตาเดียวก็ไปอยู่ข้างเตียงแล้ว
ลากระยะห่างออกไปเช่นนี้เพื่อจะได้ใช้กระบี่ยาวในมือตนเองให้เกิดประโยชน์สูงสุด
“เจ้าถอยไปไกลแล้ว ไฉนจึงไม่ถอยให้ไกลขึ้นอีกหน่อยเล่า”
มีดนี้ของเถ้าแก่เนี้ยคว้าน้ำเหลว
ครึ่งท่อนบนหมอบอยู่บนโต๊ะและเอ่ยปากพูด
ด้านหลังเยว่ตี๋เป็นโครงเตียงนอน
ด้านหลังโครงเตียงนอนเป็นผนัง
ถอยจนไม่อาจถอยได้
แต่ระยะไกลของเถ้าแก่เนี้ย ไม่ได้หมายความว่าให้เยว่ตี๋ล่าถอยออกไปอีกหน่อย
แต่ให้นางและหลิวรุ่ยอิ่งออกจากสถานที่แห่งนี้ไป
เยว่ตี๋แค่นเสียงทว่าไม่ตอบรับ
ตอนนี้ระยะห่างระหว่างทั้งสองคนเกินขีดจำกัดความยาวของกระบี่ซ่อนคมแล้ว
นอกเสียจากว่าเถ้าแก่เนี้ยจะทุ่มสุดตัวปามีดบินออกไปหรือไม่ก็กระโจนเข้าไปสุดตัว
ไม่เช่นนั้นมีดซ่อนคมก็จะเป็นของประดับอย่างแท้จริง
เถ้าแก่เนี้ยแสยะยิ้ม
ร่างที่หมอบอยู่บนโต๊ะกลับมานั่งบนม้านั่งอีกครั้ง
แต่มีดที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกลับพุ่งไปยังใบหน้าเยว่ตี๋ดั่งงูทะลวงรู
ม่านตาเยว่ตี๋หดเล็กน้อย
นางคิดไม่ถึงว่ามีดซ่อนคมของเถ้าแก่เนี้ยจะยาวถึงเพียงนี้!
อีกทั้งยังเล็กเรียวอย่างยิ่ง
แม้กล่าวว่าเป็นมีด
แต่ไม่ได้ต่างจากกระบี่เท่าใดนัก
เพียงแต่หนากว่าตัวกระบี่เล็กน้อยเท่านั้น
“สรุปว่าจะไปหรือไม่?!”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยปากถาม
ยามนี้เยว่ตี๋ไม่ทันได้ออกกระบี่
นางประมาทศัตรูไปเล็กน้อย…
จึงต้องก้มศีรษะลงอย่างกะทันหัน
มีดซ่อนคมของเท้าแก่เนี้ยแทงเข้าไปในโครงเตียง
แต่ทันทีที่แทงก็ชักกลับ ยืดหดได้อิสระ
“เจ้าพยักหน้าแล้ว เมื่อฟ้าสว่างเชิญออกไปด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยผายมือขวา กล่าวพลางชี้ไปทางนอกหน้าต่าง
จริงอยู่ที่เมื่อครู่เยว่ตี๋ก้มศีรษะหลบการโจมตีกะทันหันของมีดเถ้าแก่เนี้ยแล้ว
แต่เถ้าแก่เนี้ยกลับบอกว่าเป็นการพยักหน้าตอบรับของเยว่ตี๋
ยิ่งทำให้เยว่ตี๋รู้สึกอับอายและโกรธจัด…
“เจ้าหาได้ใช้มีดซ่อนคมไม่!”
เยว่ตี๋กล่าว
ในตอนแรกสุดมีดซ่อนคมเป็นเพียงมีดสั้นซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ
มือสังหารหญิงในเวลานั้นส่วนมากจะฝึกฝนมัน
สตรีเหล่านั้นใช้ร่างกายตัณหาราคะล่อลวงอีกฝ่ายจนเคลิ้มหลงใหล สูญสิ้นความระวังตัว
จากนั้นใช้มือนวลผ่องทำทีลูบไล้แก้ม แต่แท้จริงนั้นใช้คมมีดกรีดคอ
มีเพียงภาพแขนเสื้อติดตาตรงหน้าผู้ที่ถูกฆ่าเท่านั้น
ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นและกลายเป็นคนโง่ไปทั้งอย่างนี้
แต่ข้อเสียของมีดซ่อนคมก็เผยออกมาจนหมดเปลือกในยามนี้เช่นกัน
เพราะมันสั้นมาก
สามารถใช้ได้กับการโจมตีระยะประชิดเท่านั้น แต่ไม่อาจต่อสู้ในพื้นที่โล่งได้นานนัก
ต่อมาจึงกลายเป็นสิ่งมีอยู่ที่ไร้ประโยชน์
จะฝึกฝนก็ไร้ประโยชน์ จะทิ้งไปก็เสียดาย
สูญสิ้นการสืบทอดอย่างไม่อาจเลี่ยง
“เมื่อครู่ยังชมเจ้าว่ารอบรู้ความจำดี ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะพูดคำนี้เร็วไปนัก…”
เถ้าแก่เนี้ยแย้มยิ้มกล่าวพลางบีบแขนขวาของตนเบาๆ
“มีดซ่อนคมไม่มีทางยาวถึงเพียงนี้!”
เยว่ตี๋กล่าว
“มีดซ่อนคมเป็นเพียงมีดซ่อนในแขนเสื้อเท่านั้น…มีผู้ใดเคยกำหนดความสั้นยาวด้วยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
กล่าวจบหัวไหล่สั่นไหว ชูข้อมือขึ้นฟ้า
คมมีดโผล่ออกมาจากแขนเสื้อ
คิดไม่ถึงว่าจะยาวกว่ากระบี่ของเยว่ตี๋หลายชุ่นทีเดียว
หลิวรุ่ยอิ่งมองมีดซ่อนคมนี้ของเถ้าแก่เนี้ย มันไม่ใช่มีดที่สมบูรณ์
ส่วนที่เผยออกมามีทั้งหมดห้าข้อต่อ
ทุกข้อต่อมีกลไกเชื่อมต่อทั้งสิ้น สามารถสั้นยาวได้ตามต้องการ
ตราบใดที่ควบคุมกลไกแล้วดีดมันออกทีละส่วน
การออกแบบอันประณีตวิจิตรเช่นนี้ ช่างหาได้ยากและแปลกตาเสียจริง!
“นี่เป็นฝีมือของหนานเจิ้นหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปากถามทันใด
นอกจากหนานเจิ้นแล้ว เขาก็คิดไม่ออกว่าผู้ใดจะสามารถสร้างมีดแปลกตาเช่นนี้ออกมาได้
ตอนอยู่ที่หอทรงปัญญา โอวฉูเคยหยิบกระบี่ที่มีตะขอเขี้ยวคมออกมาจนทำให้ทุกคนตกตะลึงพรึงเพริด
แม้ว่ากระบี่ปลิดวิญญาณเล่มนั้นจะแปลกประหลาด แต่หากกล่าวถึงระดับความประณีตซับซ้อนละก็ ยังด้อยกว่ามีดซ่อนคมหลายข้อต่อเล่มนี้มากทีเดียว
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักหนานเจิ้น ดูท่าแล้วเจ้าจะเป็นผู้ที่รู้จักแยกแยะสิ่งของโดยแท้!”
เถ้าแก่เนี้ยเหลือบมองหลิวรุ่ยอิ่งอย่างตกตะลึงแล้วพูด
ขณะเดียวกันก็เหยียดมือซ้ายออกเผยให้เห็นกำไลหยกแสนล้ำค่าบนข้อมือ
“กำไลนี้นับว่าเป็นสินสอดของข้า มันเป็นคู่น่ะ”
เถ้าแก่เนี้ยพูดต่อทันที
“ส่วนอีกชิ้นหนึ่งคงจะอยู่บนมือภรรยาที่หนีไปผู้นั้นของหนานเจิ้นกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้าไม่ธรรมดาจริงๆ…รู้แม้กระทั่งเรื่องภรรยาหนานเจิ้นหนีไปแล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวชมเชย
สีหน้าหลิวรุ่ยอิ่งฉายแววภาคภูมิใจแวบหนึ่ง
เขาไม่เพียงแต่รู้ว่าภรรยาของหนานเจิ้นหนีไปแล้ว เขายังรู้ด้วยว่าตอนนี้หนานเจิ้นอยู่ที่ใดและกระทำสิ่งใด
กระทั่งในงานเลี้ยงวันเกิดของจิ้นเผิง ทั้งสองยังยกจอกดื่มสุราฉลองไปหลายจอกอีกด้วย
แม้ว่าต่อมาเขาจะเมาปลิ้นแล้วจำไม่ได้ก็ตามที
แต่อ้างตามคำบรรยายของเยว่ตี๋ หลิวรุ่ยอิ่งจะต้องดื่มสุรากับหนานเจิ้นไปแล้วเป็นแน่
“ตอนแรกที่ข้าร้องขอให้หนานเจิ้นสร้างมีดซ่อนคมให้ข้า เขาพูดสิ่งใดก็ไม่ยินยอม รู้สึกว่ามีดเช่นนี้ร้ายกาจเกินไป สร้างมันขึ้นมาก็ไม่รู้ว่าต้องเสียไปกี่ชีวิต แต่เขาเป็นผู้ที่กลัวภรรยา…ภรรยาของเขาบังเอิญไปเห็นกำไลคู่นี้ของข้า ยามนั้นจึงไม่อาจละสายตาไปจากมันได้”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ฉะนั้นท่านจึงใช้สิ่งนี้เป็นช่องโหว่ กำไลแบบเดียวกัน ทำให้หนานเจิ้นสร้างมีดเล่มนี้ให้กับท่านหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“แต่เขาเคยทำข้อตกลงสามประการกับข้า ไม่อนุญาตให้ข้าใช้มีดนี้กระทำเรื่องชั่ว ไม่อนุญาตให้บอกผู้อื่นว่าหนานเจิ้นสร้างมีดนี้ขึ้น ไม่อนุญาตมอบมีดนี้ให้ผู้อื่น”
เถ้าแก่เนี้ยพยักหน้าพลางกล่าว
ประการแรกกับประการที่สามนับว่าไม่เลว ทว่าประการที่สองยิ่งพยายามปกปิดยิ่งเด่นชัด…
ฝีมือเช่นนี้ ในใต้หล้ามีเพียงหนานเจิ้นเท่านั้นที่สามารถทำได้
เพียงเถ้าแก่เนี้ยชักมีดออกมา ผู้ที่เคยพบเห็นย่อมนึกถึงหนานเจิ้นเป็นธรรมดา
แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งยังคิดได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงพวกอาวุโสในยุทธภพเหล่านั้น
“ท่านปฏิบัติตามหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“หากข้าบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ข้าใช้มีด เจ้าจะเชื่อหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ข้าเชื่อ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่หรอก เจ้าไม่เชื่อ เจ้าบอกว่าเชื่อ เพียงเพราะเจ้าไม่อาจโต้แย้งได้ต่างหาก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
เยว่ตี๋มองกำไลข้อมือบนมือเถ้าแก่เนี้ยพลันนิ่งงัน
ก่อนหน้านี้หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่านี่เป็นลักษณะทั่วไปของสตรี มองเห็นสิ่งที่ดูดีย่อมอาลัยอาวรณ์มันเป็นธรรมดา
แต่เมื่อเขาเห็นสีหน้าของเยว่ตี๋ค่อยๆ ซับซ้อนขึ้นมา พลันรู้สึกว่าที่มาของกำไลข้อมือนี้เกรงว่าจะไม่ธรรมดา
…………………………………………………….