ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 303 ชายพเนจรมักคิดถึงบ้าน-3
บทที่ 303 ชายพเนจรมักคิดถึงบ้าน-3
แม้จิ้นเผิงจะคิดว่าเงินทั้งหมดอาจถูกภรรยาของเขาใช้ไปแล้ว
แต่ก็คิดไม่ถึงว่านางจะใช้มากมายขนาดนี้
สตรีต่างกลัวการแก่ชรา
ภรรยาของหนานเจิ้นก็ไม่ต่างกัน
นางไม่มีตบะใดๆ จึงทำให้นางกลัวมากยิ่งขึ้น
กลัวว่าหากตนเสื่อมโทรมลงเมื่อแก่ชรา หนานเจิ้นจะทอดทิ้งนาง
หากถูกหนานเจิ้นทอดทิ้งไปแล้ว นางจะหาคนโง่ที่มีเงินได้จากที่ใดอีก
แต่ความจริงแล้วหนานเจิ้นจะทิ้งนางได้อย่างไรกัน
กลับกันเขารักนางจนหัวปักหัวปำ
ไม่ว่านางจะใช้เงินมากมายเท่าใด หนานเจิ้นก็ยินดีและยอมรับทุกอย่าง
เพียงแต่ตนต้องเหนื่อยลำบากมากขึ้นเท่านั้น
เพื่อคงความงามไม่ให้เสื่อมสลาย
ไม่รู้ว่าภรรยาของหนานเจิ้นได้ยินสูตรลับมาจากที่ไหน
ทุกวันจะต้องบดไข่มุกขนาดเท่าลูกลำไยจากทะเลบูรพาสิบแปดเม็ดให้เป็นผงเพื่อกลืนกิน
ว่ากันว่าวิธีนี้สามารถคงความงามให้เหมือนวัยสิบแปดได้ตลอดกาล
เพียงแต่ขนานนี้ต้องใช้จ่ายเงินของหนานเจิ้นเป็นหมื่นตำลึงต่อวัน
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ สำหรับการกิน การสวมใส่ และการใช้จ่ายของนาง
แค่คนรับใช้ที่ช่วยนางผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ก็มีถึงหกเจ็ดคน
เมื่อจิ้นเผิงเห็นว่าที่บ้านของหนานเจิ้นไม่มีเงินเหลืออยู่แล้ว เขาจึงแอบมองหนานเจิ้นผ่านหน้าต่าง
และพบว่าในเวลาไม่นานนี้
เนื้อหนังมังสาที่เคยอ้วนท้วนบนตัวหนานเจิ้นก็หายไปสิ้น
ว่ากันว่าหลังบุรุษแต่งงานมักจะอ้วนขึ้น แต่หนานเจิ้นกลับตรงกันข้าม
จิ้นเผิงรู้ว่านี่คือความเหน็ดเหนื่อย
ไม่ว่าจะเป็นใคร ทำงานวันละห้าชั่วยามทุกวัน ย่อมผอมลงเป็นธรรมดา
แต่เขาไม่คาดคิดว่าหนานเจิ้นจะผอมลงจนน่าตกใจขนาดนี้
เมื่อเห็นสหายมีรูปลักษณ์เช่นนี้ ใจเขาก็แตกสลาย
แต่เขาตัดสินใจเด็ดขาด
เปิดประตูเข้าไปในห้องนอนของหนานเจิ้น
เกิดเสียงดัง ‘กร๊อบแกร๊บ’
จิ้นเผิงหักแขนทั้งสองข้างของเขา
แล้วพาคนเหล่านั้นหายไปในราตรีทันที
ทิ้งเสียงคร่ำครวญของหนานเจิ้นไว้ข้างหลัง
แต่จิ้นเผิงลงมืออย่างมีขอบเขต
แม้ดูเหมือนว่าแขนทั้งสองข้างจะหัก
แต่เขาหักเฉพาะกระดูก เส้นเอ็นยังคงต่อเชื่อมกันอยู่
มีคำกล่าวว่าหากได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องใช้เวลารักษาหนึ่งร้อยวัน
แต่สำหรับบาดแผลของหนานเจิ้นนั้น เพียงแค่พักฟื้นสองเดือนก็กลับมาเหมือนเดิมได้แล้ว
หากภรรยาของเขาคอยดูแลเอาใจใส่เหมือนตอนที่เพิ่งแต่งงานกัน ไม่แน่ว่าอาจใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือนก็เป็นได้
หลังจากที่จิ้นเผิงกลับถึงเมืองหลวงก็เพิ่มเงินตนเองเข้าไปอีก
รวมกับเงินออมของหนานเจิ้น ในที่สุดเขาก็มีเงินสามพันตำลึงถ้วน
เขาจึงนำเงินสามพันตำลึงนี้ไปลงทุนในโรงน้ำชาที่เขารู้จักดี
เถ้าแก่โรงน้ำชาเดิมก็เป็นคนเก่าคนแก่ของกรมสอบสวน
และเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จและเกษียณอย่างมีเกียรติ
หลังเกษียณจากกรมสอบสวน
เขาหาทำเลในเมืองหลวงและเปิดโรงน้ำชาขึ้น
หลังจากนั้น โรงน้ำชาของเขาก็กลายเป็นสถานที่พบปะสังสรรค์ของเจ้าหน้าที่ในกรมสอบสวน
จิ้นเผิงได้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชา
แน่นอนว่าเมื่อเขามาที่โรงน้ำชาแห่งนี้ก็ได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษ
ด้วยความที่มาบ่อยครั้ง เขาจึงสนิทสนมกับเจ้าของร้าน
การลงทุนสามพันตำลึงที่นี่ ย่อมไม่มีทางขาดทุน
แม้ในสถานการณ์ที่แย่ที่สุดก็ยังมีโอกาสได้ทุนคืน
ไม่คาดคิดว่า ในปีนั้นแดนทางใต้จะประสบภัยแล้งใหญ่
ทำให้การผลิตใบชาลดลงอย่างมาก
ทันใดนั้นราคาก็พุ่งสูงขึ้น
สามพันตำลึงที่จิ้นเผิงลงทุนไว้ก็พลันเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า
และในตอนนั้นเอง
จิ้นเผิงได้ข่าวว่าภรรยาของหนานเจิ้นจากไปโดยไม่บอกไม่กล่าว ตั้งแต่วันที่ห้าหลังจากที่เขาถูกหักแขน
ทิ้งไว้เพียงหนี้สินกองพะเนิน
ตอนที่จิ้นเผิงนำเงินสามหมื่นตำลึงกลับไปหาหนานเจิ้น
เขาได้ขายบ้านและกลายเป็นคนเร่ร่อนอยู่บนถนนแล้ว
แต่เมื่อหนานเจิ้นเห็นจิ้นเผิง เขากลับด่าสาดเสียเทเสีย
“ข้าชนะแล้ว!”
จิ้นเผิงกล่าว
ไม่ได้ใส่ใจคำดูหมิ่นจากหนานเจิ้นแม้แต่น้อย
จิตใจสงบนิ่ง
เมื่อหนานเจิ้นได้ยินถ้อยคำเกี่ยวกับแพ้ชนะนั้น
พลันนึกถึงเรื่องที่เขาเคยเดิมพันกับจิ้นเผิงไว้
หนานเจิ้นจึงเริ่มร้องไห้อย่างน่าสงสาร
จิ้นเผิงเดินไปข้างหลังและผลักรถเข็นสี่ล้อของเขาไปยังโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในพื้นที่นั้นและจองห้องพักที่ดีที่สุดให้
เขายังไปตลาดเพื่อซื้อชุดใหม่ให้หนานเจิ้น
หลังจากที่หนานเจิ้นอาบน้ำแต่งตัวเสร็จ และเห็นจิ้นเผิงเดินเข้ามา
“ข้าไม่มีแม้แต่เงินซื้อข้าวกิน ยิ่งไม่มีเงินเลี้ยงสุราเจ้าและกินเลี้ยงหนึ่งเดือน”
หนานเจิ้นกล่าว
“ข้ามี! อันที่จริงเป็นเงินของเจ้า”
จิ้นเผิงหยิบตั๋วเงินสามหมื่นตำลึงออกมาและส่งให้หนานเจิ้นพลางกล่าว
หนานเจิ้นมองดูตั๋วเงินอย่างว่างเปล่า
เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีเงินมากมายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร
จิ้นเผิงนั่งลงและเล่าทุกอย่างให้เขาฟังอย่างละเอียด
หนานเจิ้นพยักหน้า แต่ก็หยิบไปเพียงสามพันตำลึงเท่านั้น
สามพันตำลึง นั่นคือจำนวนเงินที่จิ้นเผิงขโมยมาจากบ้านของหนานเจิ้น
ดังนั้นตอนนี้ เขาเพียงต้องการเงินสามพันตำลึงคืน
“สุราและอาหารข้าจะเลี้ยงเจ้าแน่นอน จะเลี้ยงแน่นอน…”
หนานเจิ้นพูดก่อนที่จะจากไป
“เจ้าจะออกจากกรมสอบสวนหรือไม่”
หนานเจิ้นหันกลับมาถามอย่างกะทันหัน
จิ้นเผิงเข้ากรมสอบสวนก็เพื่อช่วยเหลือหนานเจิ้นเท่านั้น
หนานเจิ้นเข้าใจในจุดนี้เป็นอย่างดี
ตอนนี้ทุกอย่างสิ้นสุดลงแล้ว ความจริงปรากฏ เขาคิดว่าจิ้นเผิงก็ควรออกจากกรมสอบสวนที่ราวกับกรงขังนั้นเสียที
“ไม่ ข้าจะไม่ไปแล้ว”
จิ้นเผิงกล่าว
“เพราะอะไร”
หนานเจิ้นถามด้วยความประหลาดใจ
“เพราะข้าก็อยากมีครอบครัวเช่นกัน”
จิ้นเผิงตอบ
“ขอแค่เจ้าอย่าได้เป็นอย่างข้าก็พอ…กรมสอบสวนนั่น ข้าเข้าไปไม่ได้หรอก อย่าหวังว่าข้าจะช่วยเจ้าได้”
หนานเจิ้นกล่าว
หลังจากนั้นเขาก็ไม่หันกลับมาอีกและจากไปทันที
จิ้นเผิงบอกว่าเขาต้องการสร้างครอบครัว
อันที่จริงเขาได้พบกับคนที่อยากสร้างครอบครัวด้วยแล้ว
ครั้งแรกที่เขาพบกับเยว่ตี๋ ก็คือที่โรงน้ำชาแห่งนั้น
ในตอนนั้น เยว่ตี๋ยังใช้ชื่อว่าอวิ้นเหวิน
เป็นหนึ่งในสองผู้กำกับการกรมของกรมสอบสวน
อำนาจสูงส่ง คนธรรมดาไม่อาจเข้าใกล้
เยว่ตี๋นั่งดื่มชาคนเดียวอย่างสงบ
ผู้ที่ผ่านไปมาก็ล้วนเป็นคนจากกรมสอบสวน
เขาเองก็รู้ดีว่านางเป็นใคร
แม้เยว่ตี๋กำลังดื่มชาอยู่
แต่บนโต๊ะก็ยังวางสุราเอาไว้ด้วย
วิธีดื่มชาของนางแปลกอย่างยิ่ง
ดื่มสุราก่อนหนึ่งอึกและอมไว้ในปาก
จากนั้นจึงจิบชาร้อนหนึ่งถ้วย
สุดท้ายกลืนทั้งสองอย่างลงไปพร้อมกัน
กลิ่นหอมของชาผสานกับกลิ่นสุราลอยฟุ้งอยู่นาน
จิ้นเผิงไม่ใช่คนแรกที่สังเกตเห็นวิธีการดื่มของนาง
แต่เขาเป็นคนแรกที่กล้าเข้าไปถามนางว่าเหตุใดถึงดื่มเช่นนั้น
“นี่เป็นโรงน้ำชา ดื่มสุราเพียงอย่างเดียวดูไม่ค่อยให้เกียรติเจ้าของร้านนัก”
เยว่ตี๋กล่าวอย่างเย็นชา
จิ้นเผิงพยักหน้า นั่งลงตรงข้ามนาง แล้วเลียนแบบวิธีการดื่มของนาง
แต่เขากลับสำลัก
ไอรุนแรงจนจอกสุราบนโต๊ะตกพื้นแตกกระจาย
เยว่ตี๋มองจิ้นเผิงแล้วยิ้มเบาๆ ก่อนหมุนกายเดินจากไป
“จอกที่แตกคิดเงินที่เขา”
แม้ว่าจิ้นเผิงยังคงไออยู่
แต่เขาก็ได้ยินคำพูดนั้นอย่างชัดเจน
นั่นเป็นเพียงประโยคเดียวที่เขาได้พูดกับเยว่ตี๋
แม้ว่าเขาจะได้รับตำแหน่งผู้บังคับบัญชาในกรมสอบสวนที่เหมือนกรงขังแห่งนี้
แต่แก่นแท้ของเขานั้นยังคงเป็นผู้พเนจร
อิสระของผู้พเนจร ไม่เพียงมุทะลุและไม่ยึดติด
แต่ยังหมายถึงชวนฝัน
กรมสอบสวนทำให้เขาสูญเสียอิสระ แต่กลับทำให้เขาพบกับความชวนฝัน
แต่เมื่อเยว่ตี๋จากไป แม้แต่ความชวนฝันก็หายไปด้วย
นั่นจึงเป็นเหตุผลที่จิ้นเผิงตัดสินใจจากไป
ไม่รู้ด้วยบังเอิญหรือชะตากรรม เขาก็มาที่เมืองหยางเหวิน
และเมืองหยางเหวิน ก็คือเมืองที่หนานเจิ้นเลือกที่จะใช้ชีวิตอย่างสันโดษ
เงินสามพันตำลึงในเมืองหลวงอาจไม่สามารถทำอะไรได้มากมาย
แต่ในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองหยางเหวิน
มันกลับมีค่าเพียงพอที่จะใช้ชีวิตอย่างร่ำรวยตลอดสิบปีเลยทีเดียว
หลังจากที่จิ้นเผิงได้รับตำแหน่งในเมืองหยางเหวิน เขาก็หาหนานเจิ้นพบอย่างรวดเร็ว
หนานเจิ้นเรียกเขาว่าแมลงวัน คอยบินวนเวียนทำให้คนรำคาญ
แต่จิ้นเผิงตอบกลับว่าแมลงวันจะไม่กัดไข่ที่ไร้รอยต่อ
หนานเจิ้นยอมรับการเดิมพัน เลี้ยงอาหารจิ้นเผิงเป็นเวลาหนึ่งเดือนในร้านสุราของเมืองหยางเหวิน
แม้ว่าจะไม่มีรังนก หูฉลามตุ๋น หรืออุ้งตีนหมี
แต่ก็ยังคงเป็นอาหารที่ดีที่สุดในเมืองหยางเหวิน
อย่างไรก็ตาม เขายังคงโทษจิ้นเผิงเรื่องที่ภรรยาของเขาจากไป
หลังจากทานมื้อสุดท้ายเสร็จ หนานเจิ้นจึงบอกกับจิ้นเผิงว่า
จากนี้ไป จิ้นเผิงก็ทำหน้าที่หัวหน้าอาคารไป
ส่วนตัวเขาจะทำการค้าขายเล็กๆ ของเขาเอง
ต่างคนต่างอยู่ไม่เกี่ยวข้องกัน
จิ้นเผิงเองก็ปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด
เดิมเขาก็ไม่ได้อยู่ในเมืองหยางเหวินนานเท่าไรนัก
เมื่อเขาออกไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าสหาย เขาก็หวังที่จะตามหาข่าวคราวของเยว่ตี๋
เพียงแต่ว่าเมื่อเยว่ตี๋ออกจากกรมสอบสวน นางก็เปลี่ยนชื่อและรูปลักษณ์
ชื่อของอวิ้นเหวินย่อมไม่มีใครรู้จัก
ทำให้จิ้นเผิงพยายามอย่างมากจนถึงตอนนี้ก็ยังคว้าน้ำเหลว
……………………
“ข้าแค่กำลังตามหาคน ไม่ได้ตั้งใจจะเข้ามาในร้านและรบกวนเวลาพักผ่อนของเจ้า”
จิ้นเผิงเอ่ย
“ที่นี่ไม่มีคนที่เจ้ากำลังตามหา! ข้าไม่สนว่าเจ้าจะตั้งใจหรือไม่ เข้ามาแล้วก็เท่ากับเข้ามาแล้ว รีบออกไปจากร้านของข้าเดี๋ยวนี้เลย! เจ้าก็ด้วย ออกไปให้หมด!”
หนานเจิ้นกล่าว
แม้แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ถูกเหมารวมไปด้วย
“เมื่อครู่ข้าเพิ่งเห็นคนที่ข้าอยากจะสร้างครอบครัวด้วย”
จิ้นเผิงเอ่ยอย่างครุ่นคิด
เมื่อหนานเจิ้นได้ยินเช่นนั้นจึงลองอธิบายรูปลักษณ์ของเยว่ตี๋
“ใช่แล้ว เจ้าเคยเห็นนางหรือไม่”
จิ้นเผิงถามอย่างตื่นเต้น
“ไม่เคย”
หนานเจิ้นตอบพลางยิ้ม
แต่นั่นกลับทำให้จิ้นเผิงกัดฟันกรอด
หากเขาไม่เคยเห็นแล้วจะบรรยายได้แม่นยำเช่นนี้ได้อย่างไร
เขาแค่ไม่ต้องการบอกตนก็เท่านั้น
“คนที่ท่านพูดถึง…ข้ารู้จักนาง ไม่ทราบว่าท่านตามหานางด้วยเรื่องใด”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“น้องชายรู้จักอวิ้นเหวินด้วยหรือ”
จิ้นเผิงถามด้วยความประหลาดใจ
“ตอนนี้นางใช้ชื่อเยว่ตี๋ แต่ท่านกลับรู้ว่านางชื่ออวิ้นเหวิน ท่านคงจะเป็นหนึ่งในคนกรมสอบสวนด้วยกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งถามลองเชิง
“ใช่แล้วๆ…ไม่แปลกใจที่ข้าหานางทั่วทุกหัวระแหงแต่ก็ไม่พบร่องรอยของอวิ้นเหวิน ที่แท้นางเปลี่ยนชื่อเป็นเยว่ตี๋นี่เอง”
จิ้นเผิงเมินเฉยคำถามหลังจากนั้นของหลิวรุ่ยอิ่ง
จมดิ่งอยู่กับความยินดีที่ได้รู้ข่าวคราวของอวิ้นเหวิน
“ขอถามน้องชายเสียหน่อย ตอนนี้นางอยู่ที่ใด”
จิ้นเผิงเอ่ยถาม
“นางบอกว่าอยากจะเดินเล่นคนเดียว แล้วนัดพวกเราให้พบกันที่ประตูโรงเตี๊ยมอีกสองชั่วยามข้างหน้า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ข้าน้อยผู้บังคับบัญชากรมสอบสวนกลาง หัวหน้าอาคารกรมสอบสวนเมืองหยางเหวิน จิ้นเผิง!”
จิ้นเผิงกล่าว
“ข้าน้อยหลิวรุ่ยอิ่ง นายกองกองสัคคะเนตรแห่งกรมสอบสวนกลางขอรับ”
หลังได้ยินว่าที่แท้คนผู้นี้คือหัวหน้าอาคารที่เหมาโรงเตี๊ยมจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิด ทั้งยังเป็นผู้บังคับบัญชาอีกด้วย
หลิวรุ่ยอิ่งจึงรีบกล่าวทำความเคารพ
“ไม่คิดเลยว่าน้องชายก็เป็นคนของกรมสอบสวนกลาง ข้าก็ว่าเหตุใดถึงรู้สึกถูกชะตานัก”
จิ้นเผิงกล่าว
“ใต้เท้าผู้บังคับบัญชาชมเกินไปแล้วขอรับ”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“เยว่ตี๋นัดเจ้าสองชั่วยามให้หลังใช่หรือไม่”
จิ้นเผิงถามอีกครั้ง
เพื่อยืนยันข้อมูลอีกรอบ
“ขอรับ ใต้เท้าผู้บังคับบัญชา”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบอย่างเคารพนบนอบ
“ดีมากๆ! มา ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมเมืองหยางเหวิน! หากเห็นสิ่งใดที่ถูกใจก็บอกได้เลย!”
หลังจิ้นเผิงได้ฟังก็ไม่พูดอะไรให้มากความ ดึงหลิวรุ่ยอิ่งออกจากร้านของหนานเจิ้น
ตอนแรกเขายังคิดว่าจะใช้เวลาสองชั่วยามที่เหลือให้คุ้มค่าและช้าหน่อย
แต่ตอนนี้เขากลับหวังว่าสองชั่วยามนั้นจะผ่านไปในพริบตา!
“อย่าลืมมางานเลี้ยงฉลองวันเกิดคืนนี้! หากเจ้าไม่มา ข้าจะเอาสุราในงานไปสาดหน้าประตูร้านเจ้าแล้วจุดไฟเผาเสีย ดูสิว่าเจ้าจะออกมาหรือไม่!”
หลังจากเดินไปได้สิบกว่าก้าว
จู่ๆ จิ้นเผิงก็หันกลับไปตะโกนใส่ร้านของหนานเจิ้นเสียงดัง
แต่สิ่งที่ได้กลับมามีเพียงการแค่นเสียงเย็นครั้งหนึ่งเท่านั้น
………………………………………………………