ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 255 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-3
บทที่ 255 วสันต์ฤดูและสารทฤดู-3
สถานที่ที่เถี่ยกวนอินอาศัยอยู่จะมีหิมะตกในช่วงเหมันต์ฤดู
แสดงว่าเขาจะต้องอยู่ทางเหนือแน่นอน
มีเพียงเหมันต์ฤดูในทางเหนือเท่านั้นจึงจะมีหิมะตก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเถี่ยกวนอินยังไม่สร้างเรือนใหม่
ช่วงสารทฤดูอากาศยังคงอบอุ่น
นอนบนผ้านวมก็ยังดูมีเหตุผล
แต่จนถึงบัดนี้ เมื่อหิมะปกคลุมและน้ำกลายเป็นน้ำแข็ง
ไม่มีบ้านเรือนที่สามารถบังหิมะบังสายลมได้จะทำอย่างไรดีเล่า
ทว่าเมื่อต้องเผชิญกับความขาวโพลนทั้งผืนเช่นนี้
มนุษย์มักจะปล่อยความคิดของตนเป็นอิสระ
เถี่ยกวนอินเดินอยู่บนพื้นหิมะไปเรื่อยๆ
หิมะบนภูเขาลึกมาก
ฉะนั้นเขาต้องระมัดระวังในทุกย่างก้าว
ด้วยวิธีนี้ ราวกับกลัวว่าจะใช้แรงมากไปจนทำให้หิมะเจ็บปวดก็ไม่ปาน
เดินไปไม่กี่ก้าว
เถี่ยกวนอินพลันหยุดฝีเท้า
เขาโน้มตัวใช้มือปัดหิมะบนพื้นออก
พบว่าหญ้าใต้หิมะยังคงเขียวสดอยู่หลายส่วน
เขาระบายยิ้ม
กลบหิมะอีกครั้ง
การเคลื่อนไหวนั้นช่างเบาบางอ่อนโยนยิ่ง
ราวกับดึงผ้านวมที่ถูกเขาถีบตกเตียงในยามค่ำคืนห่มให้ลูกน้อยแรกเกิดของตนอย่างไรอย่างนั้น
และเนื่องจากเถี่ยกวนอินอาศัยอยู่ทางเหนือ
เขาจึงรู้จักหิมะดี
แม้ว่าหิมะจะตกในเมืองหลวงช่วงเหมันต์ฤดู
แต่ไม่เคยตกหนักและตกจนขาวโพลนเพียงนี้มาก่อน
สี่ฤดูกาลของเมืองหลวงแตกต่างกันชัดเจน
ทว่าทางเหนือ มีเพียงเหมันต์ฤดูและคิมหันต์ฤดูเท่านั้นที่มีขอบเขตชัดเจน
เถี่ยกวนอินเป็นชาวไร่ เขาจึงใส่ใจเหมันต์ฤดูกับสารทฤดูมากกว่า
ทว่ามองเห็นโลกที่แต่เดิมเขียวชอุ่มเปลี่ยนเป็นขาวบริสุทธิ์ในชั่วพริบตา ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งไม่คุ้นชินจริงๆ
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเป็นผู้ชมที่ถอดจิตมาก็ตาม
แต่เขาก็ยังพยายามกะพริบตาแรงๆ
แสงสะท้อนจากพื้นหิมะแกร่งเกินไป
ทำให้เขารู้สึกไม่สบายตาเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณตามจังหวะการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเช่นนี้ไม่ทัน
ยังไม่ทันได้มองสัมผัสสุดท้ายของสารทฤดูด้วยซ้ำ
ในเบ้าตาพลันเต็มไปด้วยความเลือนราง
สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งเดิมก็เอาแต่มองตามเถี่ยกวนอินอยู่ตลอดเวลา
แต่ในยามนี้
เขากลับตกอยู่ในอาการมึนงง
แต่อาการมึนงงก็เป็นเพียงลักษณะภายนอกเท่านั้น
ผู้ที่ตกอยู่ในความมึนงงอย่างแท้จริง ไม่อาจบอกกล่าวความมหัศจรรย์ในสมองให้คนภายนอกเข้าใจได้
เรื่องราวมากมายในอดีตหลั่งไหลเข้ามาในสมองของเขาช้าๆ ราวกับแม่น้ำไหลเชี่ยว
ใบไม้ร่วงยามสารทฤดูตลอดจนผลไม้ที่เก็บไม่ทัน
บ้างก็ตกลงไปในแม่น้ำ
บ้างก็ฝังลงไปในหิมะ
ใบไม้ร่วง ผลไม้หล่น
ราวกับคนที่ลาจากไป
แต่สิ่งที่ดีกว่าคนก็คือรูปร่างของพวกมันคงอยู่เพียงชั่วครู่เท่านั้น
แต่ผู้คนสามารถจดจำได้เป็นเวลานานแสนนาน
……………….
สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งมองตามเถี่ยกวนอินอีกครั้ง
สายลมหนาวพัดจนเขาหดต้นคอ
เขากลัวความหนาวเย็นด้วยหรือนี่
ผู้ที่มีวิชายุทธ์ยอดเยี่ยมเช่นนี้จะกลัวความหนาวเย็นได้อย่างไร
เถี่ยกวนอินในยามนี้ดูแล้วไม่ต่างจากคนธรรมดาทั่วไปนัก
เพียงการหดคอนี้ก็สามารถพิสูจน์ได้แล้ว
แต่สิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้คือ
เถี่ยกวนอินไม่ได้กลัวความหนาว
แต่ต้องการให้อาภรณ์บนกายปลอดภัยและเป็นส่วนหนึ่งกับร่างกายเท่านั้น
แต่บางครั้งก็หวังว่าจะมีผู้คนที่สามารถพูดคุยกับตนได้
ซึ่งหมายถึงการสนทนาโต้ตอบไปมา
แทนที่จะกอดต้นไม้ในสวนแล้วพึมพำยกใหญ่หลังจากดื่มสุราหนัก
แต่ทุกครั้งที่ไปดื่มสุราที่ตลาดมักจะมีสตรีคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาไม่ใช่หรือ
เช่นนั้นก็มีคนที่สามารถพูดคุยได้แล้วกระมัง
ความขัดแย้งกันดังกล่าว
ทำเอาหลิวรุ่ยอิ่งปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่งนัก
แต่พอคิดอีกครั้งก็เข้าใจทันที
เถี่ยกวนอินหาสตรีดื่มเป็นเพื่อนตน ก็เหมือนกับทังจงซงที่มาดื่มสุรากับเขาในวันนั้น
อย่างแรกต้องการถามว่ามีเรื่องใหม่ๆ หรือไม่
อย่างที่สอง คงเพียงอยากชนจอกกับใครสักคนก็เท่านั้น
ผู้ที่ชนจอกนี้จะสนิทสนมไม่ได้
เพราะผู้ที่สนิทสนมย่อมมีคำพูดให้เอ่ยมากมาย
ครั้นได้พูดคุยจะเสียเวลาดื่มสุราอย่างเลี่ยงไม่ได้
แต่หากไม่สนิทสนม เหตุใดต้องชนจอกกับเจ้าด้วยเล่า
ฉะนั้นจ่ายเงินเรียกสตรีสองนางมาดื่มสุราด้วยจึงเหมาะสมที่สุด
แม้ยามที่เขามีนิสัยสนุกสนานก็จะพูดนั่นนี่ไม่น้อย
แต่จุดประสงค์หลักก็เพื่อชนจอกเท่านั้น
ทว่ายามที่ชนจอกยังนับว่าน้อยครั้ง
ตลอดชีวิตของเขา ใช้เวลาส่วนใหญ่มองหาใครสักคนพูดคุยด้วยมากไปหน่อย
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็พบนิสัยประหลาดของเถี่ยกวนอินอยู่หนึ่งอย่าง
ยามที่เขาไม่ดื่มสุราก็ไม่อยากจะพูดจา
ทันทีที่ได้ดื่มสุรา คำพูดจะมีอารมณ์ขันอย่างมาก
แต่พูดได้ไม่กี่ประโยคก็จะอยากดื่มสุราอีก
ครั้นอยากจะพูดคุยอีก ข้างกายพลันว่างเปล่าไร้ผู้คน
สิ่งที่อยากพูดกลายเป็นเสียงถอนหายใจยาว…
นี่ควรจะเป็นอารมณ์แบบใดกัน
หลิวรุ่ยอิ่งหาคำที่เหมาะสมมาบรรยายไม่ได้
เขาไม่รู้เรื่องราวในอดีตของเถี่ยกวนอิน
แม้ว่าเรื่องในตอนนี้จะเป็นเพียงผู้ชมก็ตาม
หากมีคนต้องการถาม
ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มพูดหรือเอ่ยจากตรงไหนดี
แต่นั่นเป็นทั้งหมดที่เขารู้สึก
วันเวลาที่สั่งสม วงจรวสันต์และสารทฤดู
สิ่งทำให้เถี่ยกวนอินตัดใจนั้นมีมากมายเหลือเกิน
มากจนถึงขั้นปกป้องหิมะบนพื้นและหญ้าใต้หิมะด้วยความปวดใจ
กระทั่งเหมันต์ฤดู
หลิวรุ่ยอิ่งพบว่าเถี่ยกวนอินแทบไม่ได้นอนและไม่ค่อยดื่มสุรา
ไม่ดื่มสุราอาจเป็นเพราะเขาไม่มีเงิน
แต่การไม่มีบ้านเรือน ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะไม่นอน
อาจเป็นเพราะเขาไม่อยากเสียเวลาไปกับการนอน
ช่างประหลาดพิลึกยิ่งนัก
ทั้งๆ ที่เป็นช่วงควรขยันที่สุด เขากลับเลือกเสียเวลาไป
ทว่าในฤดูกาลที่ไม่ควรทำสิ่งใดมากมาย เขากลับไม่อาจอยู่นิ่งเฉยได้แม้เพียงชั่วครู่
อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ทำสิ่งใด
เพียงเดินไปเรื่อยๆ
เดิมข้ามเนินเขาที่อยู่ใกล้เคียงทุกแห่ง
เดินผ่านพื้นที่สวนผลไม้ของตนทุกส่วน
ตบต้นไม้ทุกต้นที่เดินผ่านเบาๆ
เหมือนพบปะสหายเก่าที่ไม่ได้เจอกันมานาน
แต่แค่ตบๆ แล้วก็เดินต่อ
ไม่เอ่ยวาจาสักคำ
ไม่พึมพำคุยกับตนเองด้วยซ้ำ
ครั้นกระหายน้ำก็หยิบหิมะหนึ่งกำมือยัดเข้าปาก
และต้องเป็นหิมะที่ตกอยู่บนกิ่งไม้ด้วย
น้ำหิมะนี้จะต้องเย็นจนเสียวฟันเป็นแน่
แต่เขากลับไม่สนใจ
เดินไปสองสามก้าวก็หยิบหนึ่งกำแล้วกินเข้าไป
เคี้ยวกร้วมๆ ไม่หยุด
เหมือนเป็นอาหารแสนอร่อยในโลก
แต่ในความเป็นจริงเป็นเพียงน้ำอึกเดียวเท่านั้น
…………………
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเขาพูดเป็นครั้งแรกในเหมันต์ฤดู
เพราะคนผู้นั้นกำลังกวาดหิมะหน้าประตู
เถี่ยกวนอินกระโจนไปข้างหน้าด้วยความโมโหและกระโดดหลบไม้กวาดของคนผู้นั้น
ใช้นิ้วเขี่ยเบาๆ ก็หักออกเป็นสองส่วน
เจ้าของเรือนมองเถี่ยกวนอินด้วยความสับสน
ต่างก็เป็นชาวไร่ นับว่าคุ้นเคยกันดี
หลังจากเถี่ยกวนอินหักไม้กวาดชี้เจ้าของเรือนพร้อมด่ากราด
ตำหนิไปหลายคำทีเดียว ล้วนเป็นสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเป็นครั้งแรก
“ไม่กวาดแล้วๆ!”
เจ้าของเรือนดูเหมือนจะรู้ว่าเถี่ยกวนอินมีนิสัยพิลึกเช่นนี้จึงไม่ถือสาเขา
โบกมือแล้วหมุนกายกลับเข้าไปในเรือน
แต่เถี่ยกวนอินก็ยังคงตำหนิไม่หยุด
ตำหนิจนเหนื่อยแล้วจึงนั่งพักบนเสาหินหน้าประตู
จากนั้นใช้ไม้กวาดครึ่งหนึ่งในมือกวาดหิมะที่เจ้าของเรือนกวาดออกไปกวาดคืนกลับมาอีกครั้ง
ปูจนเรียบเนียนเท่ากันราวกับเพิ่งตก
เถี่ยกวนอินไม่ต้องการให้ผู้ใดมาเปลี่ยนกฎธรรมชาติของฤดูกาลนี้
ในเมื่อหิมะตก เช่นนั้นก็ต้องมีเหตุผลของมัน
เหตุใดต้องกวาดด้วยเล่า
เจ้ากวาดออกแสดงว่าเจ้าต้องการเปลี่ยนฤดูกาลและธรรมชาตินี้
แต่เถี่ยกวนอินรู้ สิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างแท้จริงมีเพียงตนเองเท่านั้น
เปลี่ยนแปลงทัศนคติตนเองต่อฤดูกาลและธรรมชาติ
ทว่าเขาก็รู้ชัดเจนดี
หลังจากเขาไปแล้ว
เจ้าของเรือนจะต้องเปลี่ยนไม้กวาดด้ามใหม่มากวาดหิมะอีกครั้ง
แต่นั่นก็อยู่เหนือการควบคุมของเขาแล้ว
เพราะเมื่อเขาพบเจอ เขาได้กระทำและตอบสนองในที่สิ่งต้องการทำไปแล้ว
ในส่วนอื่นๆ เขามองไม่เห็น
ไม่มีสิ่งใดพูดและควบคุมได้
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีทางนั่งอยู่บนเสาหินนี้ตลอดเหมันต์ฤดู
เขายังต้องเดินไปข้างหน้าต่อ
แม้ไม่รู้ว่าจะไปหนแห่งใดก็ตาม
แต่การเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ ถูกต้องเสมอ
……………………………………………….