ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 252 จมดิ่งง่ายดาย ผุดขึ้นช้านัก-2
บทที่ 252 จมดิ่งง่ายดาย ผุดขึ้นช้านัก-2
“ไปหาหมอก็แล้ว กินยาก็แล้วอาการไม่ดีขึ้นเลยหรือ”
ฉู่คั่วถาม
เขามองสุราที่อุ่นบนเตาดินเผาเริ่มเดือดจากก้นหม้อ
เหมือนจะได้ที่แล้ว
“อาจารย์ของข้าก็คือหมอ เขาเลี้ยงดูข้ามาตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“นั่นอาจเป็นเพราะว่าอาจารย์ของเจ้าไม่ใช่หมอที่ดี”
ฉู่คั่วพูดมากเกินไป
สีหน้าพลันฉายแววกังวลอีกครั้ง
เขาเพียงพูดจ้อไปเรื่อยเท่านั้น
อย่างไรเสียเขาก็เป็นคนที่ไร้ระเบียบวินัย เดิมทีคำพูดก็ไร้ความรอบคอบ
ทว่าเขาก็รู้ดี ไม่ควรจะกล่าวถึงอาจารย์ผู้อื่นเช่นนี้
“เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง จริงอยู่ที่เขาไม่ใช่หมอที่ดี จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้แน่ชัด วิธีจับชีพจรและการสั่งยาของเขาน่าเชื่อถือได้เพียงใด”
ฮั่ววั่งกล่าวพลางหัวเราะ
เขาปล่อยวางสิ่งนี้ไปนานแล้ว ไม่สนใจแม้เพียงนิด
“สุรานี้…ยังดื่มไม่ได้อีกหรือ”
ฉู่คั่วถามพลางมองสุราที่เดือดปุดๆ
“เจ้าอยากดื่มก็ดื่ม ยังเหลือความร้อนอีกระดับข้าถึงจะดื่ม เหลือไว้ให้ข้าเล็กน้อยก็พอ”
ฮั่ววั่งกล่าว
ฉู่คั่วถาม
มือที่กำลังจะหยิบกาสุราของเขาพลันชะงักกึก
“ในที่สุดเจ้าก็ถาม…ข้านึกว่าเจ้าจะเมินคำถามนี้เพราะนิสัยของเจ้าเสียอีก”
ฮั่ววั่งหัวเราะพลางกล่าว
“อย่างไรเสียข้าก็ใช้กระบี่เช่นกัน แม้จะไม่ละเอียดเพียงนั้น แต่ข้าก็ไม่โง่”
ฉู่คั่วกล่าวพลางเม้มริมฝีปาก
“ในเมื่อเจ้าไม่โง่ เจ้ายังเดาไม่ออกอีกหรือว่าเหตุใดข้าจึงเชิญเจ้าดื่มสุรา”
ฮั่ววั่งโน้มตัวไปข้างหน้า ถามเสียงทุ้มต่ำ
“เจ้ามีเรื่องให้ข้าทำ”
ฉู่คั่วกล่าว
ฮั่ววั่งพยักหน้า แต่ต่อมาก็โบกมือ
“ถูกต้องและไม่ถูกต้อง”
“เช่นนั้นเรื่องนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อทั้งเจ้าและข้า อีกทั้งเจ้าเชื่อมั่นว่าข้าทำได้แน่นอน ฉะนั้นเจ้าจึงเชิญข้าดื่มสุรา”
ฉู่คั่วกล่าว
“เจ้าไม่โง่เขลาดังที่คิด”
ฮั่ววั่งกล่าว
ฉู่คั่วไม่เอ่ยคำใดอีก
วาจาสิ้นสุดลงที่ตรงนี้
การดื่มสุรายังคงเป็นสิ่งสำคัญ ไม่สนว่าจะร้อนลวกก็หยิบกาสุราขึ้นมากระดกดื่ม
“ในเมื่อมีเรื่องต้องทำ ก็ไม่อาจดื่มสุรามากเกินไป”
“เรื่องนี้ เกรงว่าไม่ดื่มสุราจะทำไม่สำเร็จจริงๆ”
ฮั่ววั่งครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“เพราะเหตุใด”
ฉู่คั่วไม่เข้าใจ
“เพราะครั้งก่อนตอนที่เจ้าบอกจะฆ่าข้า ก็ดื่มสุราหนักมาก”
ฮั่ววั่งอธิบาย
เขาเติมสุราเต็มกาอีกครั้ง
“ฉะนั้นเรื่องในครั้งนี้ก็ยังต้องสังหารคน เพราะเจ้าคิดว่าก่อนข้าจะสังหารคนต้องดื่มสุราไม่น้อยเป็นแน่ ตอนนี้จึงให้ข้าดื่มให้มากขึ้น”
ฉู่คั่วกล่าว
“เจ้ามักจะพูดทุกสิ่งที่เจ้าคิดในหัวหรือ”
ฮั่ววั่งถามอย่างกะทันหัน
“คำพูดที่คิดในหัวก็มีไว้เพื่อให้พูดออกมาไม่ใช่หรือ หากเอาแต่คิดอยู่ในหัวตลอดทั้งวัน เช่นนั้นจะไม่เป็นคนเสียสติเอาหรือ”
ฮั่ววั่งกล่าว
“คนเสียสติก็พูดสิ่งใดโดยไม่ต้องคิด ผู้ที่ใช้สมองล้วนไม่ใช่คนเสียสติ เจ้าคิดว่าเขาฟั่นเฟือน แต่แท้จริงแล้วเพียงเสแสร้งแกล้งทำ”
ฮั่ววั่งกล่าว
เห็นได้ชัดว่า เขาไม่เห็นด้วยกับสิ่งนี้
“คนเสียสติมีอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งคือคนเสียสติภายนอก อีกประเภทหนึ่งคือคนเสียสติภายใน ที่เจ้าพูดคือคนเสียสติภายนอก”
ฉู่คั่วกล่าว
คำนี้ค่อนข้างสดใหม่ยิ่งนัก
อย่างน้อยนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฮั่ววั่งได้ยินว่าคนเสียสติยังแบ่งออกเป็นภายในและภายนอก
ในที่สุดฮั่ววั่งก็จิบสุรา
ดูเหมือนตอนนี้เพิ่งจะถึงระดับความร้อนที่เขากล่าวแล้ว
“เดิมมนุษย์ล้วนไม่ปกติ แม้ว่าจะไม่เสียสติ ก็ต้องมีนิสัยติดตัวอยู่บ้าง นิสัยติดตัวมากๆ นานวันเข้าก็กลายเป็นความคลั่งประเภทหนึ่ง”
ฉู่คั่วกล่าว
เขาก็จิบไปหนึ่งอึก
ทั้งคู่เพียงจิบกันคนละอึกเท่านั้น
แบ่งสุราในกาสุราจนสะอาดเกลี้ยง
รอจนกระทั่งจิบสุราอึกสุดท้ายลงท้อง
ฮั่ววั่งจึงลุกขึ้นยืน ถือกระบี่และเดินออกจากพระตำหนัก
ระหว่างทางฉู่คั่วเอาแต่ถามคำถามไม่หยุด
แต่ฮั่ววั่งไม่ตอบแม้แต่ประโยคเดียว
กระทั่งยามที่ทั้งสองพูดคุยกันอีกครั้ง ก็มาถึงเมืองจี๋อิงแล้ว
“ในเมืองจี๋อิงมีโรงเตี๊ยมพูนโชคอยู่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“เจ้าอยากดื่มสุราอีกหรือ”
ฉู่คั่วถาม
“ขึ้นชื่อว่าโรงเตี๊ยม ไม่จำเป็นต้องดื่มเพียงสุราเสมอไป”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ในเมื่อเรียกโรงเตี๊ยม หน้าที่หลักของมันย่อมเป็นการดื่มสุรา”
ฉู่คั่วกอดกระบี่
ระหว่างการปะทะฝีปากย่อมไร้การอ่อนข้อ
“ไปทางตะวันตกของเมืองจี๋อิงอีกหน่อย ก็คือราชสำนักทุ่งหญ้า”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ข้าไม่รู้”
ฉู่คั่วกล่าว
ไม่เพียงแต่ราชสำนักทุ่งหญ้า เขาไม่รู้แม้แต่เมืองจี๋อิงและโรงเตี๊ยมพูนโชคด้วยซ้ำ
เดิมฉู่คั่วก็ไม่เคยมาเยือนเมืองจี๋อิง และไม่เคยเข้าโรงเตี๊ยมพูนโชค
เขาจะรู้ได้อย่างไรเล่า
“ตอนนี้ข้าพูดแล้ว เจ้าก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ตอนนี้ข้ารู้แล้ว แต่ก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าต้องการให้ข้าทำสิ่งใด”
ฉู่คั่วกล่าว
“เหตุใดเจ้าไม่ถามให้ตรงไปตรงมากว่านี้เล่า”
ฮั่ววั่งก็ลงจากรถม้าเช่นกัน
“อย่างไรจึงจะนับว่าตรงไปตรงมา”
ฉู่คั่วถาม
“ถามตรงๆ ว่าข้าสังหารใคร สังหารอย่างไร สังหารไปเพื่อสิ่งใด”
ฮั่ววั่งกล่าว
“คำถามเหล่านี้ ข้าถามออกมาตอนนี้ ก็ฟังคำตอบของเจ้าไม่เข้าหูอยู่ดี”
ฉู่คั่วกล่าว
ฮั่ววั่งพยักหน้า
“ขึ้นรถ!”
ม้าหนุ่มชั้นยอดลากรถม้าแล้วรีบวิ่งเข้าไปในเมืองจี๋อิง
หากการตอบสนองของฉู่คั่วช้าไปสามนาที
เขาก็ทำได้เพียงเดินตามหลังรถม้าและกินดินเป็นแน่
รถม้าหยุดอยู่หน้าประตูโรงเตี๊ยมพูนโชค
ประตูโรงเตี๊ยมเปิดแง้มไว้
ฉู่คั่วเห็นเพียงเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งนอนงีบหลับอยู่บนโต๊ะผ่านประตูที่แง้มไว้
‘แอ๊ด!’
ฮั่ววั่งเปิดประตู
เสี่ยวเอ้อร์เห็นฮั่ววั่งเดินเข้ามา ดวงตาเป็นประกาย
ทันใดนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยเป็นอันเข้าใจ
“แขกทั้งสองท่านจะพักแรมหรือทานอาหารขอรับ หากทานอาหารละก็ ครัวยังไม่พร้อม เกรงว่าจะต้องรออีกสักพักขอรับ!”
เสี่ยวเอ้อร์ประสานมือแน่น เดินเข้ามากล่าว
“ไม่ทานอาหาร เพียงต้องการสั่งสุราดีหลายกา เปิดห้องชั้นบน”
ฮั่ววั่งกล่าว
ครั้นเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินจึงกล่าว ‘ขอรับ!’
แล้วพาทั้งสองคนขึ้นไปชั้นบนก่อน
เพียงครู่เดียว สุรากลิ่นหอมเข้มข้นหลายกาก็วางบนโต๊ะในห้อง
“ตอนนี้ฟังเข้าหูได้แล้วกระมัง”
ฮั่ววั่งถาม
“ยังขาดความร้อนไปอีกหน่อย”
ฮั่ววั่งยกกาสุราชนกับอีกกาหนึ่งที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างขอไปที
จากนั้นดื่มรวดเดียวจนเกลี้ยง
ฉู่คั่วหยิบสุรากาที่ฮั่ววั่งชนขึ้นมา
แต่เขากลับดื่มมันอย่างเชื่องช้า
กลืนลงไปทีละอึก
“สุราดี…บริสุทธิ์ยิ่งนัก!”
ฉู่คั่วกล่าวพลางเม้มเลียริมฝีปาก
จากนั้นหนึ่งมือหนึ่งกา
ดื่มสุราที่เหลือบนโต๊ะทั้งหมดจนเกลี้ยง
“ความร้อนได้ที่แล้วหรือ”
ฮั่ววั่งถาม
“พอประมาณแล้ว”
ฉู่คั่วส่ายกาสุราที่ว่างเปล่าพลางกล่าว
“จากที่นี่ตรงไปทางทิศตะวันตกเรื่อยๆ ก็จะเข้าสู่อาณาเขตของราชสำนักทุ่งหญ้า”
ฮั่ววั่งกล่าว
“เมื่อครู่เจ้าพูดไปแล้ว”
ฉู่คั่วใจร้อนเล็กน้อย
เขาก็ยังไม่ได้ยินคำตอบที่เขาอยากได้ยิน
“พูดซ้ำอีกรอบหนึ่ง กลัวว่าเจ้าจะลืม”
ฮั่ววั่งมองท่าทางแปลกๆ บนสีหน้าของเขาแล้วเอ่ย
“หรือว่าเจ้าต้องการให้ข้าสังหารคนของราชสำนักทุ่งหญ้า?”
ฉู่คั่วถาม
“ไม่ผิด”
ฮั่ววั่งพยักหน้า
“หากข้าคิดไม่ผิดละก็ นี่มันมีประโยชน์ต่อเจ้า แต่มีประโยชน์ต่อข้าอย่างไร”
ฉู่คั่วถามเชิงหยอกล้อ
“เจ้าสังหารคนผู้นี้ ไม่เพียงช่วยเหลือข้าได้มากเท่านั้น ยังสามารถทำให้เจ้าเลื่องชื่อไปทั่วหล้าอีกต่างหาก”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ผู้ใด”
ครั้นฉู่คั่วได้ยินว่าสามารถทำให้เขาโด่งดังไปทั่วหล้า จึงเกิดความสนใจขึ้นมาทันที
“ซือเฟิง ผู้นำหน่วยสามของหน่วยกลืนจันทราแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า ซือเฟิง”
ฮั่ววั่งกล่าว
………………..
“ท่านปู่ ข้ายังนอนไม่พอเลย!”
เด็กน้อยผู้หนึ่งเดินไปพลางสะดุดล้มไปพลาง
จากรูปลักษณ์ของเขา ดูเหมือนว่าวินาทีต่อมาจะล้มลงพื้นแล้วลุกไม่ขึ้น นอนหลับฝันอีกยาวนาน
“ในเมื่อจะออกเดินทางก็ต้องออกแต่เช้าตรู่”
ผู้เฒ่าผู้หนึ่งกล่าว
เขาแบกคันเบ็ดตกปลา
ปลายคันเบ็ดห้อยกระบี่สั้นเอาไว้
“ท่านปู่ เหตุใดจึงไม่ใช้ความสามารถในการย่อหดเพียงชุ่นเดียวเล่า การไปถึงวังติ้งซีอ๋องก็เป็นเรื่องในชั่วพริบตาแล้วไม่ใช่หรือ”
เด็กน้อยถาม
“ปู่อยากเดิน”
ผู้เฒ่ากล่าว
“ยามทั่วไปข้าก็อยากเช่นกัน…แต่วันนี้ตื่นเช้าเกินไปจริงๆ!”
เด็กน้อยส่ายศีรษะอย่างไม่พอใจ
“หรือจะให้ปู่แบกเจ้าเดินเล่า”
ผู้เฒ่าถาม
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด…ท่านบอกจะแบกข้าทีไรก็มักจะห้อยข้าบนตะขอนั่นเสมอ อย่างกับปลาตายตัวหนึ่ง ข้าไม่เอาด้วยหรอก…”
เด็กน้อยกล่าว
พูดจบก็เร่งฝีเท้าขึ้น
เพียงอึดใจเดียวก็เดินนำหน้าผู้เฒ่าไปหลายสิบก้าว
“เจ้าเดินเร็วเช่นนี้ สุดท้ายหมดแรง ก็ยังต้องโดนปู่ห้อยบนตะขออยู่ดีไม่ใช่หรือ”
ผู้เฒ่ากล่าว
“เช่นนั้นข้าจะไปปล้นม้า!”
นิสัยซุกซนของเด็กน้อยเพิ่มขึ้นอีกและกล่าวอย่างไม่ยอมแพ้
“หากเจ้าปล้นได้ก็ดี แต่ไม่ว่าเจ้าจะขี่ม้าหรืออย่างไรก็ตาม ปู่ก็จะเดิน”
ผู้เฒ่ากล่าว
เด็กน้อยประหลาดใจเล็กน้อย
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านปู่ที่ตามใจตนมาตลอด วันนี้จึงยืนกรานไม่ยอมแพ้
หรือว่าท่านปู่จะรู้ว่ามีสิ่งลึกลับอะไรตลอดทางนี้
ทว่าแม้จะมีสิ่งลึกลับก็ไม่จำเป็นต้องเดินไปแล้วจึงจะพบเจอเสียหน่อย
เมื่อเทียบกับการรอคอยอย่างอดทน
เด็กน้อยอารมณ์ร้อนจนอยากเป็นคนแรกที่ตามหาเจอ
“เพราะคนบางคนคุ้มค่าที่จะค่อยๆ เดินไปเจอทีละก้าว”
ผู้เฒ่าถอนหายใจยาวพลางกล่าว
เด็กน้อยไม่เอ่ยคำใดอีก
ท่านปู่กล่าวเช่นนี้แล้ว เขาจะดึงดันอีกก็ใช่เรื่อง
ทำได้เพียงเดินตามทุกย่างก้าวและเคียงข้างท่านปู่ไปเช่นนี้
ทว่าแมลงหรือมดที่โผล่ออกมาบนพื้นบางครั้งบางคราว ทำให้ตลอดทางเขาไม่รู้สึกเบื่อเกินไป
บางครั้งก็เตะก้อนหินเล็กๆ ลอยลิ่ว และมองหินก้อนนั้นตกในระยะที่มองไม่เห็น
นับเป็นวิธีคลายความเบื่อประเภทหนึ่งกระมัง
…………………………………………………………………..