ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 242 จันทร์ขึ้น จักจั่นร้อง
บทที่ 242 จันทร์ขึ้น จักจั่นร้อง
ภายในพระตำหนักวังอ๋อง
เบื้องหลังของมือกระบี่ขี้เหล้า
ดวงจันทร์ลอยเด่นแล้ว
เพียงแต่บนนภายามค่ำคืนมีเพียงดวงจันทร์
ไร้ซึ่งร่องรอยของเมฆ
และไร้ซึ่งดวงดารา
มันลอยอยู่อย่างเดียวดายบนท้องฟ้า
ไร้ซึ่งคู่เคียง ไร้ซึ่งสหาย
ไร้การบดบัง เผยให้เห็นใบหน้าเปลือยเปล่าของตน
ฮั่ววั่งมองดวงจันทร์ลอยขึ้นสูงทีละนิดๆ
มือกระบี่ขี้เหล้ายังคงหลงใหลในความงดงามและความคมกริบของกระบี่ในมือเขา
ทันใดนั้น
ฮั่ววั่งเห็นดาวดวงใหญ่หลายดวงกะพริบอยู่ข้างดวงจันทร์
สิ่งนี้ทำให้เขาระบายรอยยิ้ม
เพราะการปรากฏของดาวดวงใหญ่หมายความว่าดวงจันทร์ไม่ได้อยู่เพียงลำพัง
อย่างน้อยก็ไม่เหมือนเขา
แม้จะครอบครองดินแดนพันลี้ อาชาใต้บัญชานับหมื่น
แต่สิ่งเดียวที่เป็นของตัวเขาอย่างแท้จริงมีเพียงสองมือสองเท้าและหัวสมอง
แม้แต่กระบี่ดาราในมือก็ไม่ใช่ของเขา
คืนนี้มีนัดหมาย
คืนนี้มีดวงดารา
แต่คืนนี้กลับมีเพียงสองคน
ไม่ว่าจุดประสงค์ของคนผู้นี้คือสิ่งใด
อย่างน้อยฮั่ววั่งก็ไม่ได้อยู่ลำพังแล้ว
เขาสามารถมองเห็นการเคลื่อนไหวและสัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่ส่งมาจากผู้ที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ไม่ว่าจะดีหรือร้าย อย่างน้อยก็ยังดีกว่าพื้นเย็นเยียบและเสาเอ่ยวาจาไม่ได้ในพระตำหนักมากโข
แสงยามค่ำคืนภายนอกพระตำหนักมืดยิ่งกว่าภายในตำหนัก
เพราะอย่างน้อยภายในพระตำหนักก็จุดตะเกียงสองสามดวง
ฮั่ววั่งไม่โปรดปรานสภาพแวดล้อมที่สว่างมากนัก
เพราะยิ่งไฟส่องสว่างเท่าใด
เงาของเขาก็ยิ่งยาวขึ้นเท่านั้น
ผู้คนก็โดดเดี่ยวยิ่งขึ้นเช่นกัน
ดังนั้นหลังจากพระตำหนักของวังอ๋องเข้าสู่ยามค่ำคืนจึงมืดมิดยิ่ง
เลือนราง มองเห็นสิ่งใดไม่ชัด
เงาจะไม่ปรากฏกะทันหันจนเกินไปเช่นกัน
ในเมื่อมองเห็นไม่ชัด
ก็จะไม่ถูกความเดียวดายปกคลุม
ความกลัวของผู้คนมักมาจากความไม่รู้ไม่เห็น
หากมองไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ตนเองหวาดกลัว
ทั้งสองฝ่ายต่างคลุมเครือ
แต่ก็ต่างยินดีปรีดากันทั้งสิ้น!
ทันใดนั้นฮั่ววั่งพลันได้ยินเสียงจักจั่นร้องดังเข้าหู
เหตุใดฤดูกาลนี้จึงมีจักจั่นได้เล่า
จักจั่นจะปรากฏเฉพาะในช่วงกลางคิมหันต์ฤดูเท่านั้น
ฮั่ววั่งอยู่อาณาจักรติ้งซีอ๋องมาหลายปี ไม่เคยได้ยินเสียงจักจั่นร้องลั่นในวสันต์ฤดู
ทว่าใช้เวลาเพียงชั่วครู่ เขาก็กระจ่างแจ้ง
เสียงที่ดังเข้าหูหาได้เป็นเสียงร้องของจักจั่นไม่
แต่เป็นเสียงอื้ออึงที่มือกระบี่ขี้เหล้างอนิ้วดีดตัวกระบี่เบาๆ
เพียงแต่เสียงหึ่งๆ ดังอื้ออึงเป็นระลอกคล้ายกับเสียงจักจั่นร้องอย่างยิ่ง
ชั่วขณะหนึ่งทำให้ฮั่ววั่งเกิดความเข้าใจผิดเล็กน้อย
“เป็นกระบี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
ฮั่ววั่งกล่าวชื่นชม
มีเพียงกระบี่ที่มีความทนทานและความแข็งแกร่งเป็นเลิศเท่านั้นจึงจะเกิดเสียงอื้ออึงได้
กระบี่อื่นๆ ที่หลอมอย่างสุกเอาเผากินเหล่านั้น ไม่มีทางได้ผลดีอันน่าทึ่งเช่นนี้
“แน่นอนอยู่แล้ว คนดีกระบี่ก็ย่อมดี!”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
แสงสว่างปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
แม้ว่าสีหน้าของเขายังดูซีดเซียวอยู่มากก็ตาม
แต่ในยามนี้เมื่อเข้ากับแสงวาววับจึงเกิดการผสานอย่างลงตัวที่พิเศษยิ่งนัก
ตะวันตกดินไม่เพียงแต่ย้อมขอบฟ้าสีแดงเท่านั้น ปลายสุดเทือกทิวเขายังฝังขอบสีทองอร่ามอีกด้วย
แม้ว่าจะไม่นานนัก แต่ก็กล่าวได้ว่างดงามเกินบรรยาย
มือกระบี่ขี้เหล้าชูกระบี่ขึ้น
ปลายกระบี่ชี้ฮั่ววั่ง
ทว่าปลายกระบี่ของเขากลับสั่นไหวเล็กน้อย
“เจ้าบอกให้ข้าเผชิญหน้ากับปัจจุบัน แต่ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่พร้อม”
ฮั่ววั่งกล่าว
เขาขมวดคิ้วมองปลายกระบี่ที่กำลังสั่นไหวของมือกระบี่ขี้เหล้า
“ไม่ ข้าพร้อมแล้ว”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวพลางส่ายศีรษะ
“กระบี่ของเจ้ากำลังสั่น”
ฮั่ววั่งกล่าว
“แต่มือของข้าไม่ได้สั่น”
มือกระบี่ขี้เหล้ายืนกราน
“มือเจ้าไม่สั่น แล้วเหตุใดปลายกระบี่จึงสั่นได้”
ฮั่ววั่งกล่าวถาม
เดิมคำพูดของมือกระบี่ขี้เหล้าไร้เหตุผลอย่างยิ่งอยู่แล้ว
หากมือไม่สั่น ปลายกระบี่จะสั่นได้อย่างไร
ต่อให้กระบี่จะงดงามเพียงใด ก็เป็นเพียงของตาย
ไม่มีทางสั่นไหวโดยไร้เหตุผลเป็นแน่
“อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ข้าดื่มสุรามากไปและไม่ได้กินสิ่งใดต่างหาก”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
“ดังนั้นเจ้าจึงใช้กระบี่เมาหรือ”
ฮั่ววั่งกล่าวพลางหัวเราะ
แม้กระบี่เมาจะมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้ามาโดยตลอดก็ตาม
ทว่าฮั่ววั่งกลับเอือมระอากับสิ่งนี้มาแต่ไหนแต่ไร
รู้สึกว่าเป็นเพียงการเขียนเกี่ยวกับขี้เมาที่มีวิถียุทธ์ขั้นพื้นฐานเล็กน้อย แล้วตั้งชื่อไพเราะให้กระบี่ที่ตนใช้ยามดื่มสุราก็เท่านั้น
“ข้าใช้กระบี่เมาไม่เป็น ข้าเพียงโปรดปรานการดื่มสุราเท่านั้น”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
ฮั่ววั่งพยักหน้า
รู้สึกว่าเขาค่อนข้างซื่อสัตย์ทีเดียว
แม้จะไม่น่าสนใจพอ แต่อย่างน้อยก็ไม่ทำให้ตนรำคาญใจเพียงนั้น
ก็มีเพียงเท่านี้
ฮั่ววั่งรู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดให้พูดพล่ามมากนัก
จะว่าไปแล้วเดิมทีทั้งสองคนก็ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเสวนา
มีเพียงความตื่นเต้นเมื่อมือกระบี่ขี้เหล้าเห็นว่าตนมีชื่อเสียงเลื่องลือ
ฮั่ววั่งรู้สึกว่าค่ำคืนนี้ช่างยาวนาน แต่ก็นับว่าไม่เบื่อหน่ายและเดียวดายอีกต่อไป
มือกระบี่ขี้เหล้าถอยหลังหนึ่งก้าว
ดูเหมือนว่าจะชักกระบี่ก่อนแล้วค่อยคำนับ
ในใจของเขา เพียงสังหารคนผู้เดียวยังไม่พอ
ต้องให้เขาพ่ายแพ้ย่อยยับเสียก่อน
บางคนสามารถถูกสังหารได้ด้วยกระบี่เดียว
มือกระบี่ขี้เหล้าไม่มีทางเสียเวลากับความพยายามที่ไร้ประโยชน์เช่นนี้เด็ดขาด
“วันนี้เจ้าต้องตาย!”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
เพราะเขาเห็นว่าฮั่ววั่งก็ชักกระบี่ออกมาเช่นกัน
คำว่า ‘ตาย’ ยังไม่ทันจะสิ้นเสียง
แสงกระบี่ของมือกระบี่ขี้เหล้าเรืองรองไปทั่วทั้งพระตำหนัก
แสบตายิ่งกว่าดวงอาทิตย์ยามเที่ยงวันบนยอดเขาในวันที่อากาศสดใสเสียอีก!
ฮั่ววั่งหรี่ตาลงเล็กน้อย
แม้เขาจะชักกระบี่ออกมา
แต่ก็ไม่พร้อมฟาดฟันกระบี่ตอนนี้
คืนนี้นานๆ ทีจะมีเรื่องให้ทำเพื่อฆ่าเวลา
ไม่มีทางให้จบลงอย่างรวดเร็วเช่นนี้เด็ดขาด
ขณะเดียวกันเขาก็อยากดูว่าผู้ที่ยืนกรานจะฆ่าตนให้ตายอย่างไม่ปิดบังมีความสามารถมากเพียงใด
ฮั่ววั่งเอื้อมมือซ้ายออกไป
มือซ้ายของเขากำฝักกระบี่ดาราเอาไว้
เอื้อมมือเข้าไปรับแสงกระบี่อย่างไม่ลังเล
แม้ว่าแสงกระบี่นี้จะสว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ก็ตาม
แต่หาได้มีอุณหภูมิใดๆ ไม่
มือซ้ายของเขาไม่รู้สึกถึงความอบอุ่นหรือความเย็นแม้แต่น้อย
ฮั่ววั่งคลายมือซ้าย
กระแทกกระเบื้องมรกตบนพื้น
จนส่งเสียงดัง ‘เคร้ง’!
เสียงดังลั่นนี้ต้านแสงกระบี่มวลนั้นได้จริงๆ
ทว่ามือกระบี่ขี้เหล้าไร้การตอบสนองใดๆ
เขาไม่ได้เข้าไปรับแสงกระบี่และไม่ปล่อยให้มันไหลไปเองแต่ทำให้มันกระจายออก
ในทางกลับกันก็ยืนอยู่ที่เดิม รวบรวมพลังทั้งหมดผลักมันอย่างแรง
ราวกับเด็กน้อยที่เพิ่งได้รับของเล่นชิ้นโปรดและต้องการอวดต่อหน้าสหาย
ฮั่ววั่งชักมือซ้ายกลับ
ไพล่กระบี่ไว้ด้านหลัง
มองทุกสิ่งตรงหน้านิ่งๆ
เขาไม่รีบร้อน
ในทางกลับกันรู้สึกว่ายิ่งนานยิ่งดี
ครั้นหวนนึกถึงตอนที่เขาเพิ่งได้รับกระบี่ดาราครั้งแรกก็ทำนิสัยเช่นนี้
หากไม่เกี่ยวข้องกับความลับ
เขาจะออกจากพระตำหนักแล้วตะโกนก้องลั่นฟ้าดินแสดงความภาคภูมิใจและความสุขในอกหลายหนแน่นอน
ทุกคนล้วนมีช่วงเวลาเช่นนี้
ฮั่ววั่งเข้าใจเรื่องนี้ดี
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา
แสงกระบี่มวลนี้ค่อยๆ จางหายไป
เผยให้เห็นผู้ที่ถือกระบี่อยู่เบื้องหลังแสงกระบี่นี้
“ขออภัย…ข้าลิงโลดไปหน่อย”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
ฮั่ววั่งระบายยิ้มบางและพยักหน้าสื่อว่าเข้าใจ
“เจ้าตื่นเต้นกับกระบี่ในมือหรืออีกเดี๋ยวจะฆ่าข้าตายเล่า”
ฮั่ววั่งกล่าวถาม
“กล่าวตามตรง ตอนนี้ข้าแยกไม่ออกเล็กน้อย…”
มือกระบี่ขี้เหล้าขมวดคิ้วเป็นปมแล้วกล่าว
เขารู้สึกสับสนในใจจริงๆ
ทั้งๆ ที่ต้องการสังหารฮั่ววั่งเพื่อชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้า
หลังจากที่เขาโด่งดังไปทั่วหล้าก็สามารถไปตามหาสตรีที่มอบกระบี่ให้ตนในสวนหลากสีสันแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
แต่ชั่ววินาทีเมื่อครู่
ความสุขและความตื่นเต้นที่ดาบเล่มนี้ส่งมาให้เขานั้นเกินกว่าสิ่งอื่นใด
“แยกไม่ออกแสดงว่าล้วนมีเพียงเล็กน้อย”
ฮั่ววั่งกล่าว
มือกระบี่ขี้เหล้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งจนในที่สุดก็ส่ายศีรษะ
“แยกไม่ออกก็คือแยกไม่ออก เรื่องที่สามารถแยกแยะชัดเจนได้ในใต้หล้าช่างน้อยยิ่งนัก”
ฮั่ววั่งกล่าวต่อ
มือกระบี่ขี้เหล้าได้ยินถึงตรงนี้ก็แย้มยิ้ม
รอยย่นบนหน้าผากคลายลงทันที
ฮั่ววั่งคลายปมในใจของเขาได้ด้วยประโยคเดียว
ผู้ที่ซื่อสัตย์ไม่จำเป็นต้องไร้เดียงสา แต่ผู้ที่ไร้เดียงสาจะต้องซื่อสัตย์
ความคิดของคนซื่อสัตย์อาจมีสีสันมากกว่าความคิดของคนไม่ซื่อสัตย์
แต่เพราะปัญหาด้านบุคลิกหรือการขาดความสามารถ เขาจึงไม่มีโอกาสหรือเวลาที่จะนำไปใช้ได้
ทว่าคนที่ไร้เดียงสาไม่เคยมีความคิดใดๆ
เรื่องที่มุ่งมั่นย่อมต้องทำให้สำเร็จ
หากบอกว่าไม่สามารถขุดบ่อน้ำในทะเลทรายได้
เขาจะพยายามขุดให้เจ้าดู ต่อให้จนตายก็ยังขุดออกมาไม่ได้ เขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนผิดเด็ดขาด อ้างเพียงเพราะเวลาไม่พอ
ดังนั้นคนที่ไร้เดียงสาจึงมักดื้อรั้น
เรื่องที่ไม่เข้าใจจะต้องเข้าใจให้จงได้ สิ่งที่แยกไม่ออกก็ต้องแยกให้ออกให้จงได้
เดิมทีฮั่ววั่งคิดว่ามือกระบี่ขี้เหล้าเป็นผู้ไร้เดียงสาและคนซื่อสัตย์อย่างยิ่ง
แต่คิดไม่ถึงว่าคำพูดของตนจะทำให้เขามีความสุขได้
นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ซื่อสัตย์ที่ไร้เดียงสาจะทำได้
ผู้ซื่อสัตย์ที่ไร้เดียงสาไม่เพียงแค่ฟังอำนาจบารมีของผู้อื่นเท่านั้น
ไม่ว่าจะพูดจาหรูหราชวนฝันเพียงใดก็ไร้ประโยชน์
มือกระบี่ขี้เหล้างอนิ้วดีดกระบี่อีกครั้ง
แต่คราวนี้เสียงอื้ออึงที่ออกมาจากกระบี่แตกต่างจากครั้งก่อนมากโข
สีหน้าของมือกระบี่ขี้เหล้าเปลี่ยนไปฉับพลัน
ดีดมันอย่างร้อนใจอีกหลายหน
แต่ย่ำแย่กว่าเดิมทุกครั้ง
กระบี่นี้
เสียงที่ดังราวกับจักจั่นร้องก่อนหน้านี้ไม่ออกมาอีก
ขณะเดียวกันทั้งแผ่วเบาและพลังทะลุทะลวงแข็งแกร่งยิ่งนัก
แกร่งจนสามารถตัดผ่านท้องนภายามค่ำคืน ผ่านดวงดาราหลายดวง มุ่งตรงไปยังดวงจันทร์
จนในที่สุดมันก็สลายไปในแสงจันทร์ที่ส่องสว่าง
แต่เสียงอื้ออึงในตอนนี้หนาและเรียบง่าย
เหมือนระฆังทองสัมฤทธิ์ในศาลเจ้า
แม้จะดูห่างไกลออกไปก็ตาม
แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ
“นี่เป็นเพราะเหตุใดกัน!”
มือกระบี่ขี้เหล้าไม่เข้าใจ
ทว่าร้อนรนใจขึ้นเรื่อยๆ
กระทั่งกลายเป็นความหงุดหงิดอยู่กลายๆ
ฮั่ววั่งย่อตัวลงสัมผัสพื้นกระเบื้องมรกตตรงหน้า
เขาเห็นผงสีแดงเข้มบางส่วนเปรอะเปื้อนบนมือของตน
ทันใดนั้นฮั่ววั่งจึงเข้าใจโดยพลัน เหตุใดกระบี่ของมือกระบี่ขี้เหล้าจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
“กระบี่ของเจ้ากระหายเลือด”
ฮั่ววั่งกล่าว
มือกระบี่ขี้เหล้าได้ยินจึงเงยหน้าขึ้น
ดูเหมือนว่าเขาไม่เข้าใจความหมายในคำพูดของฮั่ววั่ง
“กระบี่ของเจ้าจะส่งเสียงแผ่วเบาและว่องไวก็ต่อเมื่อมันเปื้อนเลือดเท่านั้น นั่นเป็นความสุขอย่างหนึ่ง”
ฮั่ววั่งเหยียดฝ่ามือไปทางอีกฝ่ายแล้วกล่าว
ปรากฎว่าผงสีแดงเข้มบนมือของเขาคือสะเก็ดเลือด
เป็นสะเก็ดเลือดที่เหลืออยู่บนตัวกระบี่ตอนสังหารคนครั้งก่อน
เมื่อครู่มือกระบี่ขี้เหล้าระเบิดแสงกระบี่ออกมา ทำให้สะเก็ดเลือดเหล่านี้หล่นลงพื้น
ไร้ซึ่งเลือดบนตัวกระบี่ เสียงย่อมเปลี่ยนไปเป็นธรรมดา
“ยามที่ไร้เลือด มันก็เลือกแน่นิ่ง เช่นเดียวกับงูพิษที่ต้องจำศีลในเหมันต์ฤดู”
ฮั่ววั่งกล่าว
เพียงแต่สภาพอากาศที่ปลุกงูพิษให้ตื่นจากการจำศีลเพิ่มขึ้นทุกวันหลังจากวสันต์ฤดูหวนคืนสู่พื้นดิน
แต่สิ่งที่ปลุกกระบี่เล่มนี้มีเพียงเลือดเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นของตนเองหรือของศัตรูก็ตาม
ล้วนได้ผลเช่นเดียวกัน
…………………………………………………..