รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人] - บทที่ 1064 จิตวิปลาสนี่ติดต่อกันด้วยหรือ คนกลุ่มนี้วิปลาสกันหมด!
- Home
- All Mangas
- รู้สึกตัวอีกที ข้าก็เป็นเซียนซะแล้ว [原來我是世外高人]
- บทที่ 1064 จิตวิปลาสนี่ติดต่อกันด้วยหรือ คนกลุ่มนี้วิปลาสกันหมด!
บทที่ 1064 จิตวิปลาสนี่ติดต่อกันด้วยหรือ คนกลุ่มนี้วิปลาสกันหมด!
บทที่ 1064 จิตวิปลาสนี่ติดต่อกันด้วยหรือ คนกลุ่มนี้วิปลาสกันหมด!
“เจ้าเป็นตัวตลกหรือไร ชอบทำตัวขายหน้าถึงเพียงนี้ ลืมแล้วหรือว่าก่อนหน้านี้เจ้าเกือบถูกพวกเราสังหาร”
ยอดฝีมือวังไท่อี่ผู้หนึ่งหัวเราะ เหน็บแนมนักพรตอัษฎสมบูรณ์โดยไม่ได้รีบร้อนลงมือ
ก่อนนี้เมื่อคราวพวกเขาต่อสู้กับพวกจักรพรรดินีอย่างดุเดือดถูกผลาญพลังไปมหาศาล เหนื่อยล้าเหลือแสน พวกเขาย่อมไม่ต้องการรีบร้อนลงมือ อยากถือโอกาสนี้พักเอาแรงเสียหน่อย
นอกจากนี้ยังอยากประวิงเวลาออกไปอีกหน่อย
ถึงอย่างไรพวกจักรพรรดินีก็ดุร้ายเกินไป หากเป็นพวกจักรพรรดินีที่บุกเข้ามาพวกเขาย่อมยืนหยัดต่อไปได้ไม่นาน
“นั่นเป็นก่อนนี้ ไม่ใช่ตอนนี้ รู้เรื่องหรือไม่”
นักพรตอัษฎสมบูรณ์เลิกคิ้วคุยโว
เขาก็ไม่ได้รีบร้อนลงมือ เพราะรู้สึกว่าตัวเองในยามนี้หล่อเท่เป็นที่สุด อยากดื่มด่ำต่อไปให้นานอีกหน่อย
บอกตามตรง เขาไม่ได้ลิ้มรสช่วงเวลาเช่นนี้มานานแล้ว เพราะต้องประสานภาคแรกกับภาคต่อเขาถึงมีพลังกล้าแกร่งได้เพียงนี้
แต่เขาไม่อยากประสานภาคแรกกับภาคต่อเลย!
ถึงอย่างไรหากรวมภาคแรกกับภาคต่อเข้าด้วยกัน ราชันทมิฬ คู่ปรับของเขาก็ต้องโผล่ออกมาด้วย เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับราชันทมิฬ!
รู้เรื่องกับย่าแกสิ!
ยอดฝีมือวังไท่อี่ขำจนแทบบ้า
ก่อนนี้ไม่ใช่ตอนนี้รึ!
ต่างกันตรงไหน?
นี่ยังผ่านไปไม่ถึงหนึ่งก้านธูปรู้หรือไม่!
เวลาหนึ่งก้านธูปช่วยเปลี่ยนมดปลวกให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้หรือ?
คิดอะไรอยู่!
อย่าล้อเล่นหน่อยเลย!
พวกเขานึกในใจว่านักพรตอัษฎสมบูรณ์เป็นอันใดไป เมื่อครู่ถูกเล่นงานจนเสียสติแล้วหรือ?
เมื่อครู่พวกเขาจดจ่ออยู่กับการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างยอดฝีมือวังไท่อี่ ไม่รู้ว่าภาคแรกกับภาคต่อรวมเป็นหนึ่งแล้ว นักพรตอัษฎสมบูรณ์ในยามนี้ไม่อาจเทียบได้กับอดีต
“พวกเรารู้ เพียงแต่พวกเรานิยมการต่อสู้อย่างเป็นธรรมมาเสมอ ไม่ชอบเอาจำนวนเข้ารุม เอาอย่างนี้ เจ้าเลือกคู่ต่อสู้ได้เลย เลือกหนึ่งในพวกเราออกมาสู้กับเจ้า”
ยอดฝีมือวังไท่อี่ผู้หนึ่งกล่าว
แน่นอนว่าเขาทำเพื่อประวิงเวลา
หาไม่แล้วเขาไฉนเลยจะเปลืองน้ำลายกับคนจิตไม่ปกติอย่างนักพรตอัษฎสมบูรณ์อยู่อย่างนี้ คงตบนักพรตอัษฎสมบูรณ์ตายไปนานแล้ว!
สู้ตัวต่อตัวหรือ?
เช่นนี้ได้อย่างไร!
เช่นนี้แล้วจะสำแดงความไร้เทียมทานของเขาออกมาได้อย่างไร!
นักพรตอัษฎสมบูรณ์เอ่ยขึ้นทันที “ต่อสู้อย่างเป็นธรรมหรือ ได้ ข้าเองก็นิยมการต่อสู้อย่างเป็นธรรม พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันจึงจะเป็นธรรม พวกเจ้าเข้ามากันนิดหน่อยต่างหากถึงไม่เป็นธรรมกับพวกเจ้า”
แน่นอนว่าเขาต้องการสู้กับคนหมู่มากด้วยตัวคนเดียว เช่นนี้จึงจะสำแดงความเก่งกาจและความมหัศจรรย์ของเขาให้เห็นแจ้ง!
หมอนี่บ้าไปแล้วจริง ๆ!
กล่าววาจาเหลวไหลอะไรออกมากัน?!
ยอดฝีมือวังไท่อี่แต่ละคนหัวเราะจนตัวงอ นักพรตอัษฎสมบูรณ์เหมือนผู้ที่ใช้ชีวิตในความฝันอย่างแท้จริง ต่อสู้ตัวต่อตัวยังไม่ใช่คู่มือพวกเขา กลับเอ่ยว่าให้พวกเขาบุกพร้อมกันจึงถือว่าเป็นธรรม หลับยังไม่ตื่นหรือไร!
“ทำเช่นนี้เป็นธรรมจริงหรือ อย่าเลยดีกว่า!”
ทว่าพวกเขายังไม่ได้รีบร้อนลงมือ เพียงแต่เอ่ยไปอย่างนั้น ยืดเวลาออกไปได้นานเท่าไหร่ยิ่งดี
พวกเขาฟื้นพลังได้ไว ประกอบกับยอดฝีมือดินแดนใหม่ที่ตามมาอยู่ระหว่างทางแล้ว การประวิงเวลามีแต่ผลดีต่อพวกเขาทั้งนั้น!
บางทีระหว่างที่พวกเขายืดเยื้อไปเรื่อย ๆ ยอดฝีมือดินแดนใหม่ที่ตามมาอาจถึงแล้วก็ได้
“อืม ข้าขบคิดดูแล้วไม่เป็นธรรมจริง ๆ”
นักพรตอัษฎสมบูรณ์ใคร่ครวญ ก่อนจะพยักหน้าพลางกล่าว
เรื่องเช่นนี้ต้องขบคิดด้วยหรือ?
เห็น ๆ กันอยู่ไม่ใช่หรือ?
บรรดายอดฝีมือวังไท่อี่ต่างมองว่านักพรตอัษฎสมบูรณ์นั้นจิตวิปลาสอย่างชัดเจน สมองมีปัญหา ไร้ยารักษาแล้ว!
หากไม่ใช่ว่าพวกเขาต้องการยืดเวลาออกไป พวกเขานึกอยากฟาดนักพรตอัษฎสมบูรณ์ให้ตายจริง ๆ
พวกเขาไม่สามารถสื่อสารกับคนจิตวิปลาสเช่นนี้ได้เลย!
“ไม่เป็นธรรมแน่ละ เจ้าเลือกมาเถิด! เพื่อความยุติธรรม ข้าช่วยแนะนำขอบเขตพลังของพวกเราให้เจ้าฟังก็ได้ บอกจุดแข็งจุดอ่อนของพวกเราเพื่อให้เจ้าได้ทำการเลือกอย่างดีที่สุด!”
ยอดฝีมือวังไท่อี่ผู้หนึ่งเอ่ย
หลังยอดฝีมือวังไท่อี่ผู้อื่นได้ยินแล้วต่างยกนิ้วโป้งให้คนผู้นั้น!
เขาสุดยอดจริง ๆ!
ใช้กลยุทธ์ประวิงเวลาได้ล้ำเลิศ!
ให้ตาย แนะนำทีละคนต้องใช้เวลานานเพียงใดกัน พวกเขานับถือเหลือแสน ยอดฝีมือวังไท่อี่ผู้นี้หลักแหลมอย่างแท้จริง!
“ไม่!”
หารู้ไม่ หลังนักพรตอัษฎสมบูรณ์ฟังจบกลับสั่นศีรษะ
แย่แล้ว!
คงไม่ใช่ว่าคนวิปลาสผู้นี้รู้ทันจุดประสงค์พวกเขา รู้ว่าพวกเขาจงใจยืดเวลา และไม่ต้องการเปิดโอกาสให้พวกเขาหรือ!
หัวใจของเหล่ายอดฝีมือวังไท่อี่หนักอึ้งกันหมด
หากเป็นเช่นนี้ต้องยุ่งแน่
“ข้าว่าพวกเจ้าลุยพร้อมกันหมดยังไม่เป็นธรรมอยู่ดี! ช่วยไม่ได้ ผู้ใดใช้ให้ท่านนักพรตอย่างข้าทรงพลังเกินไปเล่า!”
นักพรตอัษฎสมบูรณ์เอ่ยด้วยท่าทางอิดหนาระอาใจ “เอาอย่างนี้ ข้าต่อสองมือนี้ให้พวกเจ้า อืม แล้วก็ไม่ใช้ศัสตราวุธด้วย เท่านี้พอเป็นธรรมขึ้นมาบ้างแล้ว”
พรวด!
หลังยอดฝีมือวังไท่อี่ได้ยินคำกล่าวของนักพรตอัษฎสมบูรณ์ก็เกือบหลุดขำออกมา!
บ้าเอ๊ย เขานั้นวิปลาสไปแล้วจริง ๆ!
ต่อสองมือให้อย่างนั้นหรือ ซ้ำยังไม่ใช้ศัสตราวุธด้วย นักพรตอัษฎสมบูรณ์ผู้นี้เสียสติไปแล้วจริง ๆ!
พวกเขาอุทานในใจ ไม่สามารถสื่อสารกับคนวิปลาสเช่นนี้ได้จริง ๆ ลำพังขำก็ขำจะตายอยู่แล้ว!
“…”
หลังพวกจักรพรรดินีได้ยินก็หมดคำพูดกันทั้งหมด
นี่มันอะไรกัน?
นักพรตอัษฎสมบูรณ์แน่ใจหรือว่าไม่ได้ฟั่นเฟือน?
เหตุใดวาจาที่กล่าวออกมาถึงบ้าคลั่งเช่นนี้?
“วางมาดเก่งยิ่ง เป็นบุคคลต้นแบบของคนรุ่นเราอย่างแท้จริง!”
นักพรตอู๋เหลียงตาโต นับถือนักพรตอัษฎสมบูรณ์เหลือแสน!
“มีแต่วาทะชั้นเอกเท่านั้น ต้องจดบันทึกไว้ในสมุด!”
เอ่ยจบเขาก็ทำตามนั้นทันที เรียกสมุดเล่มเล็กเล่มหนึ่งออกมา แล้วจรดพู่กันอย่างรวดเร็ว
“อืม ข้านิยมการต่อสู้อย่างเป็นธรรม พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันจึงจะเป็นธรรม ไม่สิ เช่นนี้ยังไม่เป็นธรรม ข้าต่อสองมือให้พวกเจ้าและไม่ใช้ศัสตรวุธถึงพอเป็นธรรม”
นักพรตอู๋เหลียงจดทุกถ้อยคำ ก่อนจะเอ่ยด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม “รอจนวันหนึ่งข้าแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้ก็จะใช้วาทะนี้บ้าง!”
บ้าเอ๊ย จิตวิปลาสติดต่อได้ด้วยหรือ!
เหตุใดถึงมีคนวิปลาสโผล่เพิ่มมาอีกหนึ่ง ซ้ำยังลอกเลียนแบบอีกต่างหาก
ยอดฝีมือวังไท่อี่เห็นท่าทางของนักพรตอู๋เหลียงแล้วต่างใบหน้ากระตุกอย่างอดไม่ได้
นี่มันอะไรกันนี่ กลุ่มคนวิปลาสหรือไร?
“ต้องเป็นกลุ่มคนวิปลาสอยู่แล้ว สิ่งมีชีวิตมายาริอ่านก้าวสู่ความเป็นจริง หากไม่ได้เสียสติแล้วจะมีเหตุผลอื่นใดอีก”
พวกเขาคิดในใจ รู้สึกว่าพวกตัวเองแตกตื่นไปหน่อย มีคนจิตวิปลาสอยู่ในหมู่สิ่งมีชีวิตมายานับว่าปกติ
“เอาเถิด พวกเจ้าเข้ามาให้หมดเลย ข้าอยากลงมือจนทนไม่ไหวแล้ว! อืม ไม่สิ ข้าพูดผิด ไม่ใช่ลงมือ ข้าต่อสองมือนี้ให้พวกเจ้าแล้ว! ข้าขอโอกาสพูดใหม่ ข้าอยากลงเท้าจนทนไม่ไหวแล้ว!”
นักพรตอัษฎสมบูรณ์เอ่ย
เขารู้สึกว่าเขาวางมาดได้พอสมควรแล้ว ได้เวลาสำแดงความไร้เทียมทานของเขาเสียที!
หาไม่แล้วคงเป็นการวางมาดเกินควร ผู้อื่นคงมองว่าเขานั้น ‘เก่งแต่ปาก’
หลังยอดฝีมือวังไท่อี่ได้ยินคำกล่าวของนักพรตอัษฎสมบูรณ์ก็มองหน้ากันและกัน สื่อสารผ่านสายตา
พวกเขารู้ดีว่าประวิงเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว ต้องออกไปต่อสู้เสียที!
ไม่นานนัก พวกเขาก็จบการสื่อสารทางสายตา
พวกเขาอยู่ด้วยกันมานาน รู้จักนิสัยใจคอกันและกันดี การสื่อสารทางสายตาเพียงระยะสั้น ๆ ก็ช่วยให้พวกเขาเข้าใจความในใจของกันและกันแล้ว
พวกเขาตัดสินใจเข้าไปลุยพร้อมกัน แล้วค่อยยั้งมือระหว่างต่อสู้เพื่อยืดเวลา!
“ได้ เช่นนั้นพวกเราจะต่อสู้กับเจ้า”
พวกเขาตอบ