ราชาซากศพ - บทที่ 400 งานเลี้ยง
บทที่ 400
งานเลี้ยง
ในไม่ช้าพวกเขาก็มาถึงพระราชวังที่งดงาม เมื่อเห็นด้านหน้าตำหนัก มีป้ายโลหะที่อยู่ที่ด้านบนของตำหนัก เขียนตัวอักษรสีทองว่า ตำหนักทรงงานองค์จักรพรรดิ
หัวหน้าทหารยามและหนิงฉีคุกเข่าลงด้านนอกประตูอย่างรวดเร็วและร้องออกมา: “ฝ่าบาท! เฉินกัง หัวหน้ากองทหารองครักษ์หน่วยที่สาม มีเรื่องสำคัญที่ต้องรายงาน”
ผ่านไปหลายนาที พวกเขาก็ได้ยินเสียงเหนื่อยล้ากล่าวขึ้นว่า: “เข้ามา!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินกังและหนิงฉีก็รีบลุกขึ้นผลักประตู และเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อพวกเขาเห็นร่างที่อยู่หลังโต๊ะทำงาน พวกเขาก็คุกเข่าลงอีกครั้งและร้องว่า “ฝ่าบาท!”
”หืม! เฉินกัง เจ้าต้องการรายงานเรื่องอะไร?” เมื่อมองไปที่ทั้งสองคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น คนที่อยู่หลังโต๊ะพยักหน้าเล็กน้อย แล้วถามอย่างสงสัย
ชายคนนี้คือราชาแห่งอาณาจักรเวเนเชี่ยน มู่หรงหลี่ ชายวัยกลางคนที่ทั้งร่างเปล่งลมปราณอ่อนๆ
”หนิงฉี! รีบรายงานฝ่าบาท ว่าเกิดอะไรขึ้น เฉินกังรีบร้องเรียกหนิงฉีอย่างเร่งรีบ
มู่หรงหลี่เอนกายลงบนเก้าอี้ พลางมองไปที่หนิงฉี ด้วยใบหน้าสนใจ
”ฝ่าบาท! เรื่องเป็นเช่นนี้ … ” หนิงฉีเร่งรีบบอกเล่าและเติมแต่งเรื่องราวเข้าไปพร้อมๆกันให้มู่หรงหลี่ฟัง
”เจ้าหมายความว่าอย่างไร บุตรชายของข้า ถูกลักพาตัว และถูกปล้นชิงหรือ?” มู่หรงหลี่เมื่อได้ยินดังนั้น ใบหน้าก็เปลี่ยนไปทันที และลุกพรวดพราดขึ้นจากเก้าอี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ
”ใช่แล้วฝ่าบาท! พวกเขาไม่เพียงแต่สังหารองครักษ์ขององค์ชายสี่ แต่ยังจับกุมพวกเขาไว้อีกด้วย ว่ากันว่าพวกเขาต้องการรีดไถสิ่งมีค่าจากราชวงศ์” หนิงฉีพยักหน้าอย่างรวดเร็วและกล่าวอธิบาย
”ฮึ่ม! ค่ายหลินเหมิง เจ้าช่างกล้าหาญยิ่งนัก แม้แต่โอรสของข้า ยังกล้าทำถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่า รนหาที่ตายกันจริงๆ” เมื่อได้ยินหนิงฉีแต่งเติมถ้อยคำ มู่หรงหลี่ตบโต๊ะพูดด้วยเสียงเย็นๆ
”เฉินกัง! เจ้าไปรวบรวมหน่วยที่สามของเจ้ามาให้หมด” มู่หรงหลี่กล่าวด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเจตนาสังหาร
”รับทราบ! เมื่อได้ยินคำสั่งของมู่หรงหลี่ เฉินกังก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตู ไม่นานร่างของเขาก็หายลับไป
”ฮึ่ม! ข้านั้นเป็นราชาที่ไม่เคยหวาดกลัวสิ่งใด” มู่หรงหลี่เต็มไปด้วยความมั่นใจบนใบหน้า จากนั้นถามหนิงฉีที่ยังคุกเข่าอยู่ที่พื้น “ค่ายหลินเมิ่งงั้นหรือ? คนที่แข็งแกร่งที่สุดคือใคร? ”
”เอ่อ … ” หนิงฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “กราบทูลฝ่าบาท! ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในค่าย เขาเป็นผู้อัญเชิญขั้นราชาการต่อสู้ มีชื่อว่า หลินเว่ย ข้าได้ยินมาจากคนอื่น ๆ ว่า สัตว์อัญเชิญของเขาคือ ขั้นศักดิ์สิทธิ์ สามารถเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้
“ ขั้นราชาการต่อสู้…..เป็นไปได้อย่างไร เจ้าแน่ใจหรือว่าได้ยินมาถูกต้อง?” เมื่อเขาได้ยินว่า ชายคนนั้น ชื่อหลินเว่ย จากปากของหนิงฉี ที่มีความแข็งแกร่งขั้นอรหันต์ มู่หรงหลี่ก็ตื่นตกใจ และมองไปที่หนิงฉีอย่างสงสัย
”กราบทูลฝ่าบาท! ข้าได้ยินมาไม่ผิด นอกจากนี้ องครักษ์ขององค์ชายสี่ ที่ชื่อว่าตี๋คุน ซึ่งมีการฝึกฝนมาสูงถึงขั้นจักรพรรดิ ระดับแปด ยังเสียท่าให้สัตว์อัญเชิญของหลินเว่ย” หนิงฉีส่ายหัวอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงราวกับอยากจะยืนยัน
”อืม! ข้าเชื่อว่าเจ้าแล้ว มู่หรงหลี่พยักหน้าและขมวดคิ้ว ชื่อของหลินเว่ย ดูราวกับคุ้นเคย คล้ายกับเคยได้ยินมาจากที่ใดสักแห่ง
เมื่อมู่หรงหลี่ครุ่นคิด เขาก็นึกขึ้นได้ว่า ชื่อของหลินเว่ยนั้น ดูคล้ายกับใครบางคน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ มู่หรงหลี่ก็รีบคลี่ม้วนรูปภาพจากโต๊ะขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
”เอ๋นี่ไม่ใช่รูปเหมือนของหลินเว่ยหรือ ข้าไม่คิดว่า องค์ราชาจะมีรูปเหมือนของเขาด้วย?” เมื่อหนิงฉีเห็นภาพก็คลี่ออก เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
”เจ้าหมายถึงอะไร ? เจ้าหมายความว่าหลินเว่ยของค่ายหลินเมิ่ง ดูคล้ายกับชายในภาพวาดนี้มากหรือ?” มู่หรงหลี่ถามด้วยใบหน้าจริงจัง
”กราบทูลองค์ชาย! มันไม่เพียงแต่คล้าย แต่ราวกับแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน ข้ามั่นใจว่าหลินเว่ยในภาพ และ หลินเว่ยที่ค่ายหลินเว่ยคือคนเดียวกันอย่างแน่นอน” หนิงฉีมองไม่เห็นท่าทางของมู่หรงหลี่ ที่มีใบหน้าซีดเผือด
“ ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าพูดละก็…” มู่หรงหลี่รู้สึก ร่างกายอ่อนแรง และสั่นสะท้าน
“ หวือ!” เมื่อนึกถึงข่าวลือที่มีปรมาจารย์ขั้นอรหันต์ ที่ถูกหลินเว่ยสังหาร นอกจากนี้เขายังถูกกำหนดให้เป็นปรมาจารย์คนแรกในดินแดนกังหลัน โดยไม่พูดอะไร เขาก็รีบวิ่งออกจาก ตำหนักทรงงาน และรีบไปที่ส่วนที่ลึกที่สุดของพระราชวัง
“ นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อเห็นมู่หรงหลี่รีบผลุนผลันออกไป หนิงฉีก็รู้สึกโง่งมเล็กน้อย และไม่เข้าใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ยอมให้เขาลุกขึ้น เขาจึงไม่กล้าที่จะออกไป หรือแม้แต่จะลุกขึ้นยืน
เขาทำได้เพียงแค่คุกเข่าต่อไป เพราะเขารู้ว่าในมุมหนึ่งของตำหนักทรงงาน จะต้องมีคนเฝ้ามองทุกการเคลื่อนไหวของเขา
หนิงฉีไม่รู้ มู่หรงหลี่จากไปได้ครึ่งชั่วยามแล้ว และเขาก็ออกไปพร้อมกับชายชราสองคน และตรงไปที่ค่ายหลินเมิ่ง สำหรับเฉินกังหลังจากรวบรวมคนหลายร้อยคน เขาก็ต้องรอองค์ราชาอย่างโง่เขลา เพราะไม่ได้รับคำสั่งใด ๆ
…………
ที่ตั้งของค่ายหลินเมิ่ง
หลังจากคลี่คลายเรื่องขององค์ชายสี่แล้ว หลินเว่ยก็ขอให้คนแขวนองค์ชายสี่ไว้ที่ธงของค่าย จากนั้นขอให้กู่ม่อ ส่งคนไปจัดโต๊ะจำนวนหลายสิบตัว สมาชิกทุกคนของค่ายหลินเมิ่ง จึงเริ่มเพลิดเพลินกับอาหารเลิศรส
มีโต๊ะจำนวนสามโต๊ะ ในโถงต้อนรับขนาดใหญ่ หลินเว่ย และ กู่ม่อ นั่งร่วมโต๊ะกัน อีกสองโต๊ะถูกครอบครองโดยสัตว์เลี้ยงสงคราม และสัตว์อัญเชิญของหลินเว่ย
เพื่อให้อำนวยความสะดวก กู่ม่อจัดให้มีสาวใช้มากกว่าสิบคน สาเหตุหลักมาจากการที่สัตว์เลี้ยงสงครามและสัตว์อัญเชิญของหลินเว่ยกินมากเกินไป พวกเขาเพียงแค่กลืนอาหารของพวกเขา หลังจากนั้น จานก็ว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว
ดังนั้นทั้ง กู่ม่อและ เย่ชิงเฟิงจึงรู้สึกหน้าแดง เพราะพวกเขารับประกันแล้วว่า งานเลี้ยงนี้จะเพียงพออย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามหลินเว่ยไม่ทำให้พวกเขาลำบากใจ เมื่อเห็นว่ามีอาหารไม่เพียงพอ หลินเว่ย จึงหยิบเนื้อ สัตว์อสูร ออกมานับไม่ถ้วน ซึ่งโดยพื้นฐานแล้ว สัตว์อสูรขั้น 8 และขั้น 9
นอกจากนี้ เมื่อนำไปทำอาหาร ไม่เพียงแต่อร่อยเท่านั้น แต่ยังเป็นยาชูกำลังสำหรับกู่ม่ออีกด้วย พวกเขาได้กินเลือดเนื้อของสัตว์อสูรจำนวนมากและในไม่ช้าร่างกายของพวกเขาก็แสดงอาการแข็งแรงขึ้นมากๆ
”คราวนี้กินให้เต็มที่ ข้าเองไม่สามารถกินพวกมันเข้าไปและเพิ่มพูนความแข็งแรงได้แล้ว….ถึงแม้จะไม่สามารถเลื่อนระดับความแข็งแกร่งได้ จากการกินเนื้อของสัตว์อสูรลงไป แต่ช่วยเสริมสร้างร่างกายของเจ้า ซึ่งถือได้ว่าเป็น การปรับปรุงคุณสมบัติของเจ้า ” หลินเว่ยโบกมือและกล่าวอย่างใจกว้าง
หลินเว่ยได้สังหารสัตว์อสูรหลายครั้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ในพื้นที่มิติเต็มไปด้วยซากศพของสัตว์อสูร ถูกกองไว้ราวกับภูเขา สิ่งที่เขาหยิบออกมา ในวันนี้เป็นเพียงหยดน้ำในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
งานเลี้ยงครั้งนี้ ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง และต้องหยุดพักชั่วคราว
หลินเว่ยลุกขึ้นยืนและก้าวออกไปยืดเส้นสาย แม้ว่ากู่ม่อและคนอื่น ๆ ไม่เต็มใจที่จะสละโต๊ะอาหารคุณภาพสูง แต่พวกเขาก็เดินตามหลังของหลินเว่ยไปติดๆ
ที่สนามหญ้า ด้านหน้าค่ายหลินเมิ่ง มู่หรงหลี่และชายชราสองคนที่อยู่ข้างหลังเขา ค่อยๆ ลอยลงมาจากอากาศ โดยธรรมชาติแล้ว พวกเขาย่อมเห็นร่องรอยของการต่อสู้ที่หลงเหลืออยู่รอบ ๆ และองค์ชายสี่ ที่ถูกแขวนอยู่บนธง
เมื่อเห็นเช่นนี้ แม้ว่ามู่หรงหลี่ ต้องการช่วยเขา แต่เขาก็หยุดชะงัก และมองตามสายตาของชายชราทั้งสอง
มู่หรงหลี่หันศีรษะไปด้านใดด้านหนึ่ง และเห็นได้ชัดว่า เขามองไม่เห็นสิ่งใด แต่เมื่อเทียบกับบุตรและตระกูล ย่อมมีความสำคัญมากกว่าบุตรชายเพียงคนเดียว ในฐานะราชาแห่งอาณาจักรเวเนเชี่ยน เขาสามารถชั่งน้ำหนักในใจได้
ไม่ใช่ว่าเขาเลือดเย็น เมื่อเทียบกับเกียรติยศส่วนตัว และความอับอาย ความอยู่รอดของตระกูลเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด บุตรชายสามารถให้กำเนิดได้ใหม่ แต่หากทั้งตระกูลล่มสลาย ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นเรื่องที่น่าสังเวชอย่างยิ่ง
พวกเขาทั้งหมดยืนอยู่ที่นั่นอย่างตรงไปตรงมา พวกเขารู้ว่า เมื่อพวกเขาเพิ่งมาถึง หลินเว่ยก็สามารถรับรู้ได้แล้ว
หลังจากนั้นไม่นาน หลินเว่ยก็พาผู้คนเดินเข้ามา
เมื่อเห็นใบหน้าของหลินเว่ย ชายชราทั้งสองคนมีสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที เขาพยักหน้าเล็กน้อยให้กับมู่หรงหลี่ ซึ่งกำลังเป็นกังวลอยู่บนใบหน้าของเขา
เมื่อเห็นเช่นนี้ หัวใจของมู่หรงหลี่ก็พลันบีบรัด ผู้อาวุโสทั้งสองพยักหน้าให้เขา เพื่อบอกเขาว่าหลินเว่ยที่เดินเข้ามา คือ หลินเว่ยที่มีชื่อเสียงในสงครามการต่อสู้ของอาณาจักรกังหลัน
มู่หรงหลี่ไร้ซึ่งข้อสงสัยใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ และชายชราสองคนที่อยู่รอบตัวเขา เพิ่งกลับมาจากอาณาจักรกังหลัน พวกเขามีประสบการณ์การต่อสู้ระหว่างหลินเว่ย และผู้คนระดับเทพสงคราม ไม่มีทางที่เขาจะจำผิดคน
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ มู่หรงหลี่ก็ปวดหัว เขาได้ศึกษาข้อมูลของหลินเว่ยมาไม่มากก็น้อย เขารู้ดีว่าการโจมตีของหลินเว่ยนั้นรุนแรงมาก และจะไม่ล้มเลิกง่ายๆ
”ปรมาจารย์หลิน! ข้าคือ มู่หรงเจวี๋ย นี่คือมู่หรงเฮ่า พี่เขยของข้า…ข้าไม่คาดคิดว่า หลังจากกลับมาจากอาณาจักรกังหลัน แล้วเราจะได้พบกันอีก” ผู้อาวุโสสองคนหนึ่งก้าวไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นกล่าวกับหลินเว่ยด้วยความเคารพ
”หนึ่งจักรพรรดิ ระดับแปด อีกคนคือ จักรพรรดิ ระดับสาม และจักรพรรดิระดับสี่ พวกท่าสามคนเป็นใคร?” หลินเว่ยเปิดปากของเขา และอธิบายการฝึกฝนของทั้งสามคนทันที จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้วและถามด้วยความสงสัย
”ฮ่าฮ่า! ปรมาจารย์หลิน จำเราไม่ได้เสียแล้ว แต่เรารู้จักกัน เมื่อครึ่งเดือนที่แล้ว เราอยู่ในอาณาจักรกังหลัน มันเป็นช่วงเวลาวิกฤต และด้วยความแข็งแกร่งของท่านช่วยพวกเราไว้” ขณะที่มู่หรงเจวี๋ยอ้าปาก เขาเอ่ยคำชม ราวกับชื่นชอบหลินเว่ย
เป็นพิเศษ แม้ว่าหลินเว่ยจะเฉยชากับคำที่ชายชราพูดคำเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถอ้าปากตำหนิอีกฝ่ายได้ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงอดทนต่อความรู้สึกอึดอัดใจ และยอมรับมันอย่างสงบ