ราชาซากศพ - บทที่ 389 สัญญาณบอกเหตุ
บทที่ 389
สัญญาณบอกเหตุ
”ท่านผู้นำ! เราจะมอบ….ให้หลินเว่ย … ” เมื่อเห็นว่าสองพี่สองตระกูลซูจากไปแล้ว ชายหนุ่มในชุดขาว เอ่ยถามด้วยเสียงเยาะเย้ย แม้ว่าคำพูดของเขาเว้นจังหวะลงไป แต่การกระทำของเขานั้นเปล่งความหมายชัดเจน เขาทำท่าทางราวกับเชือดของตนเอง เป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจตรงกันว่า “สังหาร” ซึ่งท่าทางของเขาตกอยู่ในสายตาของเถาจุนและบริวารคนอื่น ๆ ของเขา
”ไม่! หลินเว่ยนั้นดีกับข้ามาก หากไม่ได้เขา… ข้าก็คงไม่ประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้นเขาสร้างค่าย หลินเมิ่งเอาไว้ ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ข้าไม่สามารถทำอะไรที่เป็นการเนรคุณได้ ”
เมื่อได้ยินข้อเสนอของอีกฝ่าย หัวใจของเถาจุนก็เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง แต่ดูเหมือนว่าจะคิดอะไรบางอย่างได้ และรีบส่ายหัว เพื่อยับยั้งความคิดลงทันที และกล่าวอย่างไม่พอใจ
ชายหนุ่มในชุดขาวมองไปที่เถาจุนและมองสังเกตท่าทางของเขา และพบว่าแม้ว่าเถาจุนจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็พบว่าในดวงตากลับปรากฏร่องรอยวูบไหวลึกล้ำของอีกฝ่าย
มันเป็นการแสดงออกของอารมณ์ที่ซับซ้อน แม้ว่าอีกฝ่ายจะแอบซ่อนมันไว้ลึก ๆ แต่เขาก็ยังมองเห็นมันอยู่ดี
เขาเดาว่าในใจของอีกฝ่ายมีความตื่นเต้นบางอย่างสำหรับข้อเสนอของเขา แต่ยังมีร่องรอยของความหวาดกลัวและความไม่ยินยอม
เถาจุนยังคงหวั่นไหวกับข้อเสนอของชายหนุ่มในชุดขาว อย่างไรก็ตาม เขาเป็นผู้นำมาเป็นเวลานาน และหลินเว่ยก็จากไปโดยไม่หวนกลับคืนมา แม้ว่าเขาจะเป็นรองหัวหน้า แต่ใครๆ ก็ถือว่าเขาเป็นผู้นำทั้งนั้น?
หลังจากอยู่ด้วยกันมานาน ไม่มีใครที่จะไม่เรียกเขาว่า หัวหน้าและปฏิบัติตามเขาอย่างเชื่อฟัง
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่หลินเว่ยลบตราในร่างของเขา ซึ่งทำให้เขากังวลใจน้อยลงไปกว่าครึ่ง อย่างไรก็ตาม เขายังคงมีความหวาดกลัวต่อความแข็งแกร่งของหลินเว่ย
ในฐานะอดีตคนรับใช้ของหลินเว่ย เถาจุนคิดว่า เขายังไม่เข้าใจพรสวรรค์ของหลินเว่ยดีนัก ตัวของเถาจุนสามารถสังหารแม้แต่ผู้แข็งแกร่งคนแรกในเมืองเฮยสุ่ย หลายปีต่อมาการฝึกฝนของเขาได้ทะลวงเข้าขั้นจักรพรรดิไม่นานก็อาจจะทะลวงสู่ขั้นมหาจักรพรรดิด้วยซ้ำ ภายในใจของเขายังคงลังเล
ชายหนุ่มในชุดขาวเห็นว่า แม้เถาจุนจะปฏิเสธข้อเสนอของเขา แต่ก็ไม่ได้ดุด่าว่ากล่าวอะไร มันแสดงให้เห็นว่าหัวใจของอีกฝ่ายนั้น มีความคิดเห็นเดียวกันกับเขา ในการสังหารหลินเว่ย ในฐานะคนสนิท เขายังคงเกลี้ยกล่อมเขาอย่างเป็นธรรมชาติ: “นายท่าน! แม้ว่าหลินเว่ยจะใจดีกับท่าน แต่เขาก็กดขี่ท่านมานาน ท่านเองก็ได้ทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อเขา และมันก็น่าจะจบสิ้นไปนานแล้ว
ค่ายหลินเมิ่งแม้ว่าเขาจะก่อตั้งโดยเขา แต่เขาเองก็ไม่ได้เข้ามาดูแลกิจการภายในค่ายตลอดทั้งปี มันเป็นเรื่องที่ท่านควรกังวล ถึงเวลาที่เขาต้องสละตำแหน่งลงแล้ว ”
”ใช่ สิ่งที่ท่านกุนซือพูดนั้น สมเหตุสมผลแม้ว่า หลินเว่ยจะมีส่วนร่วมในการก่อตั้งค่ายหลินเมิ่ง แต่ก็ไม่ได้มาไยดีหรือช่วยเหลือ ท่านผู้นำมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากไม่ใช่ท่านค่ายนี้จะพัฒนาไปถึงระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้อย่างไร? บางทีแม้แต่เมืองเฮยสุ่ยก็ไม่สามารถยึดครองได้”
“ ใช่! หลินเว่ยไม่ควรกลับมา แต่ตอนนี้เขากลับมาแล้ว มันเหมาะสมแล้วที่เขาควรมอบตำแหน่งผู้นำคืนให้กับนายท่าน เนื่องจากเขาไม่ชอบที่จะทำหน้าที่ดูแลกิจการภายใน และชอบออกไปข้างนอกตลอดทั้งปี
จากนั้นให้เขาทำหน้าที่ตำแหน่งผู้อาวุโส นอกจากนี้ยังสามารถแสดงให้เห็นว่าท่านได้มอบความเมตตาและความชอบธรรม แม้ว่าเรื่องนี้จะถูกแพร่งพรายออกไป คนอื่น ๆ ก็จะบอกว่าท่านเป็นคนดี และปฏิบัติต่อผู้คนด้วยความรักและความชอบธรรม”
”อืม! เป็นข้อเสนอที่ดี ปล่อยให้เขาออกไปข้างนอก และมอบทรัพยากรฝึกฝนให้เขาไป ข้าคิดว่าเขาต้องการเช่นนี้!”
”ใช่…..ใช่ข้าคิดว่าคนคน นี้ ต้องเคยได้ยินว่าค่ายของเราไปได้ดี เขาจึงกลับมาเพื่อขอทรัพยากรการฝึกฝน ตราบใดที่ท่านให้ขนมหวานแก่เขา เขาย่อมสละตำแหน่งผู้นำให้ท่าน”
”ข้าคิดว่า หลังจากนั้น เราควรจะเปลี่ยนชื่อค่ายหลินเมิ่งเป็นค่ายเถาน่าจะดีกว่า”
หลังจากได้รับสัญญาณจากชายหนุ่มในชุดขาว ผู้คนรอบข้างก็เริ่มส่งเสียงจอแจและพูดคุยกัน หลังจากพูดไม่กี่คำ พวกเขาก็ตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องราวของหลินเว่ย ราวกับว่าทุกอย่างได้ข้อสรุปมาก่อนหน้านี้แล้ว
เมื่อมองไปที่ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ใต้บังคับบัญชาเขา เถาจุนได้ฟังก็ยิ่งตื่นเต้น เขาเห็นด้วยกับทุกข้อเสนอของพวกเขา อย่างไรก็ตามในอดีตหลินเว่ยไม่ได้สนใจสิ่งต่าง ๆมากนัก ทุกครั้งที่เขากลับมา เขาเพียงขอแก่นคริสตัล
ในกรณีนี้เขาน่าจะไม่ต้องการตำแหน่งผู้นำค่าย ตราบใดที่เขามอบแก่นคริสตัลให้อีกฝ่าย และไล่อีกฝ่ายออกไปอย่างไม่เป็นทางการก็ยังเป็นไปได้
ชายหนุ่มในชุดขาวเห็นว่าเถาจุนถูกโน้มน้าวอย่างสมบูรณ์ และเขาจึงเพิ่มไฟครั้งสุดท้ายและพูดอีกครั้ง “นายท่าน! อย่าลังเล หากท่านกังวลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของเขา เราสามารถขอให้ผู้อาวุโสซวี๋และผู้เฒ่าฉู่ ออกมาและบดขยี้หลินเว่ยได้ ข้าเชื่อว่า หลินเว่ยย่อมรู้กำลังตัวเองดี”
ทันทีที่เถาจุนได้ยินเกี่ยวกับผู้อาวุโสซวี๋และผู้อาวุโส ฉู่ จากปากของชายหนุ่มในชุดขาว เขาก็รู้สึกมั่นใจเต็มเปี่ยม ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจและพยักหน้า เขาพูดกับชายวัยกลางคน “หลินต้า เจ้าช่วยขอให้ผู้อาวุโสทั้งสองคนมาที่ห้องรับรองสำหรับ ข้าจะได้พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้เล็กน้อย ”
ชายวัยกลางคน นั้นคือ หลินต้า เป็นหนึ่งในทหารรับจ้างที่ถูกหลินเว่ยยึดครองในช่วงเวลาเดียวกับเถาจุน อย่างไรก็ตาม หลินเว่ยไม่ชื่นชอบพวกเขา ในเวลานั้นเขาจึงปล่อยให้เถาจุนรับคนพวกนั้นเป็นทาสเสียเองในฐานะลูกน้องของเถาจุน เขากลายเป็นคนสนิทอันดับหนึ่งของเถาจุนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ในความเป็นจริงทุกคนที่นี่ ล้วนตกเป็นทาสของเถาจุน ในตอนแรกเขาเห็นด้วยกับเรื่องจัดการหลินเว่ย เพราะเขาไม่เคยเชื่อว่าจะมีความภักดีอย่างแท้จริงในโลกนี้
เช่นเดียวกัน เขารู้สึกขอบคุณหลินเว่ยมาก ในตอนแรก แต่ในตอนนี้เขาไม่คิดที่จะทรยศหลินเว่ย แม้ว่าวิธีการทำสัญญาจะเป็นการกดขี่เพื่อให้แน่ใจว่า พวกเขาจะภักดีอย่างแท้จริง แม้วิธีจะเป็นวิธีง่ายๆ แต่ก็มีประโยชน์มาก
”รับทราบ” หัวหน้า หลินต้ารับคำสั่งให้ออกไปด้วยความเคารพ จากนั้นผู้คนจะเห็นว่าเถาจุนหยิบป้ายที่มีคำว่า “ค่ายหลินเมิ่ง” สลักอยู่ มันเป็นคำสั่งของผู้นำค่าย มีเพียงชิ้นเดียวในค่ายหลินเมิ่งเท่านั้น หากหลินเว่ยไม่อยู่อีกฝ่ายก็มักจะใช้มันในการออกคำสั่ง
”หลินเอ้อ! เจ้าไปที่คลังสมบัติ และนำแก่นคริสตัลทั้งหมดที่เราเก็บรวบรวมมาตลอดหลายปี” เถาจุนมอบป้ายหยกให้กับชายวัยกลางคนที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้า และพูดด้วยเสียงทุ้ม
”รับทราบ หัวหน้า หลินเอ้อรับคำสั่งและออกไป ผู้คนต่างงงงวยอย่างมาก เกี่ยวกับคำขออย่างกะทันหันของเถาจุน ที่จะนำแก่นคริสตัลทั้งหมดออก อย่างไรก็ตาม ชายชราบางคนรู้บางอย่างเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขารู้ว่าตอนที่หลินเว่ยยังอยู่ พวกเขาได้รับคำสั่งให้รวบรวมแก่นคริสตัลตลอดระยะเวลาหลายปี
ในความเป็นจริงแก่นคริสตัลทั้งหมดเหล่านี้ ถูกรวบรวมไว้สำหรับหลินเว่ย และจุดประสงค์ของการก่อตั้งกองทหารรับจ้างของหลินเว่ยก็เพื่อรวบรวมแก่นคริสตัลให้กับเขาเท่านั้น
หลังจากที่ทุกคนรับรู้ว่าแก่นคริสตัลคือของหลินเว่ย ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับหลาย ๆ คนทันที เพราะมูลค่าของแก่นคริสตัลนั้นสูงมาก โดยเฉพาะจำนวนแก่นคริสตัลที่สะสมโดยค่ายหลินเมิ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นมากมหาศาล แม้ว่าในช่วงสองปีที่ผ่านมา พวกมันไม่ได้ถูกรวบรวมโดยความตั้งใจเดิม แต่การเพิ่มขึ้นทุกปีก็มีมากเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการพัฒนาค่ายหลินเมิ่ง ยังสามารถรวบรวมแก่นคริสตัลระดับสูงจำนวนมาก
สิ่งเหล่านี้คือความมั่งคั่งของหลินเว่ย เช่นเดียวกับความมั่งคั่งของพวกเขา พวกเขาไม่เต็มใจที่จะมอบมันให้กับบุคคลที่หายตัวไปเป็นเวลาหลายปี
ราวกับว่าเถาจุนรู้ว่าคนเหล่านี้กำลังคิดอะไรอยู่ ก่อนที่พวกเขาจะพูด เถาจุนโบกมือและพูดว่า “ข้าคิดอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในเรื่องนี้ท่านไม่ต้องพูด กู่ม่อและ เย่ชิงเฟิงออกไปสักพักแล้ว ถึงเวลาที่เราต้องออกไปพบผู้นำของเรา ”
หลังจากนั้นเถาจุนก็ก้าวไปข้างหน้า คนตรงหน้ารีบถอยหลังออกไป เถาจุนยังคงเดินไปที่ห้องโถงต้อนรับและคนอื่น ๆ ก็เดินตามเขาไปทีละคน
ในห้องโถงต้อนรับก็มีชีวิตชีวามากเช่นกัน แต่โดยพื้นฐานแล้ว กู่ม่อกำลังพูดอยู่และหลินเว่ย และกำลังฟังและเล่าให้ หลินเว่ยเกี่ยวกับสถานการณ์ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แม้ว่า หลินเว่ยจะเคยได้ยิน ซูว่านเล่ามาก่อนหน้านี้ แต่ ซูว่านเองก็ไม่รู้เรื่องหลาย ๆ อย่าง ในเวลานี้การฟังเรื่องราวของกู่ม่อ นั้นน่าสนใจ
ขณะที่เขาพูดแบบนี้ หลินเว่ยก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากระยะไกล ๆ กำลังมาถึงห้องโถงต้อนรับ ในตอนแรกเนื่องจากระยะทางนั้นห่างออกไปมีเพียงหลินเว่ยเท่านั้นที่ได้ยิน หลังจากนั้นไม่นานซูเหมยก็ได้ยิน จากนั้นเป็นซูว่าน และเย่ชิงเฟิงและในที่สุดกู่ม่อก็ได้ยิน
ในตอนนี้สามารถตัดสินลำดับการฝึกฝนของพวกเขาได้ ซูเหมยแข็งแกร่งที่สุด และอยู่ในระดับสูงสุดของราชาแห่งการต่อสู้ ก่อนที่ หลินเว่ยจะจากไปนางก็อยู่ในขั้นราชาแห่งการต่อสู้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามันเป็นเรื่องปกติมากที่จะไปถึงจุดสูงสุด แต่ก็ยากที่จะทะลวงด่าน
อาณาจักรเวเนเชี่ยน ไม่ใช่อาณาจักรเฟิงหยู แม้จะอยู่ในหลายอาณาจักร แต่ทำเลตั้งอยู่กลางแม่น้ำ ซึ่งทำให้ผู้คนทะลวงระดับขั้นจักรพรรดิได้ แต่ก็ไม่มากนัก ซึ่งซูเหมยสามารถเดินทางไปยังอาณาจักรเฟิงหยูเพื่อหาซื้อทรัพยากร แต่คาดว่านางมี หินหยวนไม่เพียงพอ
ซูว่านซึ่งเป็นคนที่สองที่มีความแข็งแกร่งรองลงมา ซูว่านมีความก้าวหน้าอย่างมากในการฝึกฝนของนาง หลังจากการทดสอบในการแข่งขันศิลปะการต่อสู้อู่เจ๋อ ตอนนี้นางอยู่ในระดับแปด ขั้นราชาแห่งการต่อสู้ นางอยู่ห่างจากพี่สาว
เพียงก้าวเดียว อย่างไรก็ตามพลังต่อสู้ที่แท้จริงของนาง ด้วยความช่วยเหลือของอาวุธที่หลินเว่ยมอบให้ มันยากที่จะบอกว่าซูเหมยจะต่อสู้และเอาชนะได้หรือไม่
คนที่สามคือ เย่ชิงเฟิง เมื่อหลินเว่ยจากไป ก็เพิ่งทะลวงขั้นขุนศึกได้ไม่นาน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาได้พัฒนาขึ้นมากเช่นกัน และกลายมาเป็นราชาระดับสอง เห็นได้ชัดว่า บุตรชายของเขา นำหน้าเขาไปแล้ว
กู่ม่อเป็นคนสุดท้าย เมื่อหลินเว่ยออกจากค่ายไป เขาเป็นเพียงนักรบเท่านั้น บางทีเขาอาจจะแก่ชรา และศักยภาพของเขาก็หมดแล้ว แม้ว่าความสำเร็จของเขาจะดูดีขึ้นมาก เมื่อเทียบกับคนอื่น ๆ แต่มันก็แย่กว่ามาก เพราะการฝึกฝนของเขานั้นอยู่ที่ ขั้นขุนศึกระดับสูงสุดเท่านั้น เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าจำนวนมาก ซูว่านนั้นไม่รู้เรื่องราว แต่ใบหน้าของทั้งสามคนเปลี่ยนไปทีละคน แสดงให้เห็นถึงความกังวลใจ
”นายท่าน โปรดระวังเถาจุน!” กู่ม่อกระซิบคำที่ข้างหูของหลินเว่ย แล้วกลับไปนั่งที่เดิมของเขา