ราชาซากศพ - บทที่ 385 ละทิ้ง
บทที่ 385
ละทิ้ง
“ นายหญิง! ในขณะนี้ ข้าน้อยสามารถฟื้นฟูพลังชีวิตได้เพียงสามส่วนเท่านั้น ข้าคิดว่าในตอนนี้หลินเว่ย น่าจะไม่มีสิ่งใดมาปกป้องตนเองได้อีกต่อไป เนื่องจากแผ่นหินยักษ์นั้น ก็ไม่ได้อยู่ติดตัวเขาแล้ว ในตอนนี้มันเป็นดั่งเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ ข้าจะอาสาไปสังหารเขาเอง “มู่ผิงคิดว่าหลินเว่ย ไร้ซึ่งการปกป้องจากสมบัติที่แข็งแกร่ง ย่อมทำให้กำลังของเขาลดลง มันเป็นโอกาสดีของนาง ที่จะสังหารหลินเว่ย ดังนั้นนางจึงขันอาสา ร้องอุทานออกมาว่าจะจัดการกับหลินเว่ยเอง
“ ดี! เอาเถอะ รีบลงมือเลย !” เมื่อได้ยินคำขอร้องของ มู่ผิง มู่ชิวเสวี่ยลังเลในใจ แต่ในไม่ช้านางก็ตัดสินใจได้ และพยักหน้าให้มู่ผิง และตกลงยินยอมทำตามคำขอของอีกฝ่าย
เหตุผลที่มู่ชิวเสวี่ยลังเลก็คือ มู่ผิงเป็นคนเดียวที่คอยปกป้องความปลอดภัยของนาง อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาว่าความแข็งแกร่งของหลินเว่ย ในตอนนี้อ่อนแอที่ขีดสุด นางมีทางเลือกเพียงสองทางเท่านั้น ต้องชิงลงมือจัดการกับ หลินเว่ยก่อนที่ไพ่ลับของพวกนางจะหมดฤทธิ์ลงไป
“ ทราบแล้ว! นายหญิง มู่ผิงพยักหน้าตอบรับด้วยความเคารพ จากนั้นนางไม่สนใจยักษ์ทองคำและแผ่นหินที่กำลังต่อสู้กัน และวิ่งเข้าหาหลินเว่ยพร้อมกับรอยยิ้มที่ตื่นเต้นบนใบหน้าของนาง
”ไม่! มู่ผิงกำลังจะใช้ประโยชน์จากสมบัติที่หายไปของหลินเว่ย เพื่อเข้าโจมตี ทางฝ่ายเหลยเป่ามองเห็นและร้องอุทานอย่างเป็นกังวล
”ไม่เป็นไร….หลินเว่ยย่อมมีวิธีของเขาเอง เราเพียงเฝ้าดูความแข้งแกร่งของเขา หากเราเข้าไปรังแต่จะสร้างภาระให้กับหลินเว่ยเท่านั้น” ซางกวนฮ่าวหยางเองก็เป็นกังวล อย่างไรก็ตามเขาเชื่อว่าหลินเว่ยต้องมีวิธี
หลินเว่ยขยับร่างกาย ภายใต้สายตาที่จับจ้องของเหลยเป่า และคนอื่น ๆ สายฟ้าสีม่วงสว่างวาบไปทั่วร่างกายของเขา เช่นเดียวกับฟ้าผ่า ความเร็วพุ่งสุดขีด และเขาเองก็พุ่งเข้าไปยังร่างของมู่ผิง พร้อมรับมือ
”ฮึ่ม! เมื่อเห็นว่า หลินเว่ยไม่ได้หลบหนีไป มู่ผิงก็รีบวิ่งมาหาเขา เพื่อเปิดการโจมตี นางคิดเข้าข้างตัวเองว่า หลินเว่ยนั้นโง่เขลายิ่งนัก แต่นางพลันฉุกคิดขึ้นได้ว่า เขามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมเช่นนี้ อาจจะมีไพ่ลับซ่อนอยู่อีกก็เป็นได้ แต่หลังจากนั้น นางก็สะบัดหน้า ไล่ความคิดนี้ไปซะ และให้กำลังใจตัวเองว่า หลินเว่ย คงจะคำนวณพลาดไป
เนื่องจากมู่ผิงคิดว่า ความแข็งแกร่งก่อนหน้านี้ของ หลินเว่ยนั้นมีขีดจำกัดเนื่องจากยืมพลังจากสมบัติที่ทรงพลัง ท้ายที่สุดสมบัติเช่นนี้ กลับถูกทิ้งไว้ยังเกาะร้างที่นี่ แม้จะอยู่ในดินแดนของนางก็หาได้ยาก ดังนั้นนางจึงลองเสี่ยงกับหลินเว่ย เนื่องจากไม่คิดว่าหลินเว่ยจะหาไพ่ลับใดๆ มาแสดงต่อหน้านางได้อีก
มู่ผิงคาดเดาได้ถูกต้อง หลินเว่ยไม่สามารถนำสมบัติชิ้นที่สองออกมาได้ เขาได้แต่พึ่งพาความแข็งแกร่งของเขาเอง
”เจ้าเด็กน้อย! สมบัติของเจ้า ไม่อยู่กับตัวแล้ว ในตอนนี้ เหลือเพียงตัวคนเดียวจริง ๆ แล้ว ข้าจะทำให้เจ้าเป็นศพเย็นชืด เพื่อนายหญิงของข้า” มู่ผิงมองไปที่หลินเว่ย เบื้องหน้า และร้องตะโกนเรียกหลินเว่ย
”โง่เง่า! คิดจะสังหารข้าหรือ ข้าสามารถตบเจ้าให้ตายได้เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น” หลินเว่ยไม่เคยยอมแพ้ในการต่อสู้ เขาหวาดกลัวว่าอีกฝ่าย จะเพียงแค่พ่นน้ำลายและรีบหนีไปเท่านั้น
”ไอ้ตัวเล็ก ข้าจะทุบปากของเจ้า!” มู่ผิงโกรธมาก และร่างกายพลันเพิ่มความเร็วขึ้นอีกหนึ่งจุด นางจับคฑาในมือแน่น และปรากฏใบมีดลม พุ่งออกมาสองสามใบ และมุ่งไปยังมิศทางของหลินเว่ย
ความเร็วของมู่ผิงไม่ลดลง และใบมีดลมก็กลั่นตัวมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแววตา ปรากฏจำนวนใบมีดลมขนาดมหึมาก่อตัวขึ้น ใบมีดล้วนพุ่งไปยังร่างของหลินเว่ย
”ฮึ่ม! เมื่อเห็นใบมีดจำนวนนับไม่ถ้วนมุ่งมาหาเจ้า หลินเว่ยโค้งริมฝีปากของเขา เขายกมือชี้ไปที่ท้องฟ้า และพลันเกิดเสียงที่เคร่งขรึมดังขึ้น
เมฆซึ่งแต่เดิมได้สลายหายไปแล้ว ได้มารวมตัวกันอีกครั้ง โลกใบนี้ราวกับตกอยู่ในความมืดมิด แต่ในไม่ช้าใน เมฆมืดก็ปรากฏแสงสีม่วงสว่าง เหนือศีรษะของหลินเว่ย
คล้ายกับละครก่อนหน้านี้ ที่ทุกคนได้เคยพบ เห็น จำนวนใบมีดลมจากมู่ผิงไม่สามารถฝ่าสายฟ้าเข้ามาทำอันตรายต่อร่างกายของหลินเว่ยได้ หลังจากที่มันกำลังเคลื่อนตัวเข้าใกล้ หลินเว่ยก็จะถูกสายฟ้าสีม่วงฟาดลงไปและสลายไปในทันที
สายฟ้าที่อยู่รอบๆ ตัวของหลินเว่ย พลันรวมตัวกันเกิดเป็นเกราะสายฟ้า ซึ่งตรงเข้าห่อหุ้มร่างกายของหลินเว่ยไว้ทั้งหมด หลงเหลือเพียงใบหน้าที่เปิดเผยออกมา
“ เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงยังแข็งแกร่งขนาดนี้ หรือเจ้าไม่เคยพึ่งพาสมบัติชิ้นนั้นมาก่อน เมื่อเห็นว่าการโจมตีของตนเองไร้ผล และไม่ต่างอะไรจากในตอนแรก ใบหน้าของมู่ผิงเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน นางหยุดร่างที่กำลังพุ่งเข้าไปหา หลินเว่ยทันที
ระยะทางที่ห่างกันไม่ถึง100 เมตร นางตื่นตระหนกและชี้นิ้วไปที่หลินเว่ย อ้าปากแต่ไร้เสียงใดๆ ออกมา
”เจ้าคิดเสมอว่า ก่อนที่ข้าจะสามารถเอาชนะเจ้า และสังหารสหายของเจ้าไป เป็นเพราะสมบัติที่ทรงพลัง ไม่น่าแปลกใจที่เจ้ามั่นใจมากมาจนถึงตอนนี้ ต้องการแย่งชิงสมบัติจากข้าอย่างไร้ยางอาย”
เมื่อได้ยินคำพูดของมู่ผิง หลินเว่ยก็พลันเข้าใจสถานการณ์ทันที และชี้ไปที่มู่ผิง
”เจ้า … ” ใบหน้าของมู่ผิงโกรธจัด แต่ในใจของนาง ตื่นตระหนกกับหลินเว่ย เนื่องจากหลินเว่ยพูดเช่นนั้น หมายความว่า เขานั้นแข็งแกร่งกว่านาง เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ นางดูเราวกับจะเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง นางเพ่งมองไปที่หลินเว่ยด้วยความประหลาดใจ
และร้องอุทาน “เจ้าเข้าใจพลังลึกลับและขอบเขตแห่งการรู้แจ้งทั้งหมดหรือ?
ทันทีที่นางอ้าปากถามหลินเว่ย นางรีบส่ายหัวอย่างรีบร้อน และปฏิเสธการคาดเดาของตนเองทันที แต่แล้วนางก็คิดว่าหลินเว่ยได้ประสบกับการทะลวงด่านขั้นอรหันต์ ซึ่งต้องผ่านพลังหายนะจากพลังสวรรค์และโลกที่น่าหวาดหวั่น
จากนั้นนางก็คิดถึงความแข็งแกร่งของอีกฝ่าย นางอดคิดไม่ได้ว่า: “เขาต้องเข้าใจพลังลึกลับและขอบเขตแห่งการรู้แจ้งทั้งหมดแน่นอน”
“ เจ้าเข้าใจพลังลึกลับทั้งหมดจริง ๆหรือ?” มู่ผิงไม่มีความตั้งใจที่จะปล่อยใบมีดลมออกมาโจมตีหลินเว่ย นางเอ่ยถามหลินเว่ยด้วยความกระตือรือร้น
”แล้วอย่างไร” หลินเว่ยขมวดคิ้ว เนื่องจากเขาไม่ต้องการพูดคุย เมื่ออีกฝ่ายโจมตีหยุดโจมตี ร่างของเขาก็พลันปรากฎต่อหน้ามู่ผิงแล้ว ฝ่ามือที่มีควบแน่นพลังสายฟ้าถูกตบลงไปที่ศีรษะของ มู่ผิง
”เจ้า…” ใบหน้าของมู่ผิงเปลี่ยนไปทันที และนางก็หลบหลีก อย่างไรก็ตามหลินเว่ยไม่ได้เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้หลบหนี หลังจากที่ได้รู้ถึงพลังลึกลับและขอบเขตแห่งการรู้แจ้งของอีกฝ่าย มู่ผิงก็ได้สร้างชุดเกราะอาวุธศักดิ์สิทธิ์เพื่อปกป้องร่างกายทันที นางมองว่าหลินเว่ยเป็นคู่ต่อสู้ในระดับเดียวกันกับนาง และไม่มีทีท่าเลินเล่อ
“ มันเกิดขึ้นได้อย่างไร ? มู่ผิงกลับถูกเขาไล่ต้อน ” มู่ชิวเสวี่ยขมวดคิ้วแน่น ในสายตาของนางล้วนเต็มไปด้วยความไม่ยอมรับ จากนั้นดูเหมือนนางจะตัดสินใจแล้ว ดวงตาของนางแน่วแน่มาก นางเอื้อมมือไปแตะแหวนมิติ ปรากฏอุปกรณ์ที่ดูคลาย
จานขนาดใหญ่ ปรากฏขึ้นในมือของนาง
ทันใดนั้น ช่องว่างมิติก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของมู่ชิวเสวี่ย มู่ผิงรับรู้ได้ทันทีและมองไปยังมู่ชิวเสวี่ย
หลังจากนั้น ใบหน้าของมู่ผิงเปลี่ยนไปอีกครั้ง และนางก็รีบหันหน้าไปดูมู่ชิวเสวี่ย เมื่อนางพบว่า มีช่องว่างมิติ ปรากฏอยู่ด้านบนของศีรษะของมู่ชิวเสวี่ย นางก็ร้องเรียกด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า“ นายหญิง! อย่าทิ้งข้าไว้คนเดียว โปรดพาข้าไปด้วย
หลังจากที่มู่ผิงพูดจบ นางก็สลัดหลินเว่ยทิ้ง และรีบวิ่งไปที่มู่ชิวเสวี่ยทันที
”นี่คือค่ายกลเคลื่อนย้าย นางจะหลบหนีอย่างนั้นหรือ?” เมื่อเห็นร่างของมู่ชิวเสวี่ยถูกปกคลุมไปด้วยลำแสงที่เปล่งออกมาจาก จานมิติ ดวงตาของหลินเว่ยก็หรี่ลง และเขาเพิ่มความเร็วของร่างกายสุดขีด พร้อมเรียกใช้งานปีกสายฟ้า
อีกไม่กี่อึดใจ ราวกับชั่วพริบตา ร่างของมู่ชิวเสวี่ยก็วูบไหวและกำลังสลายร่างหายไป ก่อนที่หลินเว่ยจะทันได้คิดอะไร เขาสะบัดมือไปที่จานมิติ อย่างไรก็ตาม มู่ชิวเสวี่ย ซึ่งอยู่ในลำแสงนั้น ไร้ซึ่งผลกระทบใดๆ นางมองไปที่หลินเว่ยด้วยความหยิ่งยโส
ในเวลานี้การโจมตีของหลินเว่ยกระทบบนจานมิติ แต่ในเวลาเดียวกันช่องลำแสง ก็หายไปในทันที และ มู่ชิวเสวี่ยก็หายตัวไป เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินเว่ยเปลี่ยนไปคว้าจับ จานค่ายกลโดยไม่รู้ตัว
”กึก!” ทันทีที่หลินเว่ยเพิ่งแตะจานค่ายกล เขาได้ยินเสียงแตกร้าว ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขามองไปที่จานค่ายกลในมือ อย่างไรก็ตามเขาพบว่ามีรอยแตกบนจานค่ายกล เห็นได้ชัดว่ามันเสียหาย และไม่สามารถใช้งานได้
“ ไม่ … !”
ในเวลานี้เสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านหลังของ หลินเว่ย ดวงตาของมู่ผิงกลายเป็นสีแดงก่ำ และใบหน้าของนางเต็มไปด้วยความบ้าคลั่ง เมื่อนางเห็นหลินเว่ยมองมาที่นาง แววตาแห่งความสิ้นหวังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง
ไม่ต้องพูดถึงว่าพลังงานของยักษ์ทองคำจะหมดลงไม่ช้าก็เร็ว แผ่นหินวิเศษก็จะกลับคืนมายังมือของหลินเว่ย นางไร้ความหวังที่จะเอาชนะ ที่สำคัญที่สุด ความเร็วของหลินเว่ยที่เปิดเผยก่อนหน้านั้น เร็วกว่านางเล็กน้อย เดิมทีนางเข้าใจความลึกลับของธาตุลม และความเร็วเองเป็นจุดแข็งของนาง ในความเป็นจริงแล้ว นางพบว่า ความเร็วของหลินเว่ยนั้นดีกว่านางมากโข วันนี้นางได้พบกับหลินเว่ยที่บรรลุของเขตแห่งความรู้แจ้งของสายฟ้า
ความเร็วหรือพลังของเขา สามารถบดขยี้นางได้โดยตรง
ในขณะนี้นางถูกคนรอบข้างทอดทิ้ง พลันทำอะไรไม่ถูก ความรู้สึกสิ้นหวังพรั่งพรูออกมาในใจ ในใจยากจะยอมรับ
”ข้าจะสละทรัพย์สินทั้งหมดของข้า และขอเพียงให้เจ้าปล่อยข้าไป ข้าสาบานได้ว่าข้าจะออกจากเกาะร้างนี่ทันที และข้าจะไม่ก้าวเข้ามายังที่นี่อีกในช่วงชีวิตของข้า”
เมื่อเห็นหลินเว่ยหยิบจานค่ายกลที่เสียหาย แล้วเหาะมาหานางมู่ผิงกัดฟันและลดท่าทีลงอย่างรวดเร็ว พลางขอความเมตตาต่อหลินเว่ย